Q1CY47 กำไรโตประมาณ 40% จาก Q1CY46

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ล็อคหัวข้อ
Boring Stock Lover

Q1CY47 กำไรโตประมาณ 40% จาก Q1CY46

โพสต์ โดย Boring Stock Lover » อังคาร พ.ค. 18, 2004 5:24 pm

ดูผ่านตาแล้วไม่น่าเชื่อว่าโดยรวมกำไรโต 40%



Boring Stock Lover

โพสต์ โดย Boring Stock Lover » อังคาร พ.ค. 18, 2004 7:31 pm

น่าจะเป็นเพราะหลายบริษัทพลิกจากขาดทุน เป็นกำไร

ดูเหมือนกำไรโดยรวมจะดีกว่า Q4CY46 ด้วย เดี๋ยวต้องค้นข้อมูลดู



Boring Stock Lover

โพสต์ โดย Boring Stock Lover » พุธ พ.ค. 19, 2004 5:03 pm

ตัวเลขทางการออกแล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 42

--------------------------------------------------------------------------------------


ฉบับที่ 40 / 2547
19 พฤษภาคม 2547

ไตรมาสแรกปี 47 บริษัทจดทะเบียนทำกำไรรวมกว่าแสนล้านบาท

บริษัทจดทะเบียนประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาสแรก ปี 2547 มีผลกำไรสุทธิรวมถึง 107,834 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจาก 76,101 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปีก่อนเป็นจำนวนสูงถึง 31,733 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลกำไรสุทธิสูงสุด คือ กลุ่มธุรกิจการเงิน มีกำไรรวม 30,178 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มทรัพยากร
มีกำไรรวม 20,033 ล้านบาท ด้านธนาคารพาณิชย์มีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 77 เนื่องจากรายได้จากการลงทุนในภาวะตลาดทุนที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
ไตรมาส 1 ปี 2547 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 ว่า บริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI)
ได้นำส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 แล้วจำนวน 395 บริษัท หรือคิดเป็นร้อยละ 92 จากบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 428 บริษัท
(ตลท.416 บริษัท + MAI จำนวน 12 บริษัท)

"บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 386 บริษัท จาก 416 บริษัท มียอดขายรวม 769,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13
และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 107,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 76,053 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 โดยบริษัทที่มี
ผลกำไรสุทธิมี
จำนวน 326 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 84

ส่วนบริษัทจดทะเบียนใน MAI จำนวน 12 บริษัท ได้นำส่งงบการเงินจำนวน 9 บริษัท มีผลกำไรสุทธิ 7 บริษัท ซึ่งทั้ง 9 บริษัทมียอดขายรวม 1,3
24
ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุท
ธิ 49 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11"นายกิตติรัตน์กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) จำนวน 353 บริษัท
(ไม่รวมหมวดอื่นๆ (Others) และหมวด REHABCO) ซึ่ง ตลท.ได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 นั้น มีกำไรสุทธิรวม 102,102 ล้านบาท

คิดเป็นร้อยละ 95 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม โดยเรียนลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุดได้ ดังนี้

1. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในหมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิตรวม
จำนวน 61 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 30,178 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม และมีอัตราการเติบโตจากงวดเดียว
กันของปีก่อนร้อยละ 83
2. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วยบริษัทในหมวดพลังงาน 12 บริษัท และหมวดเหมืองแร่ 1 บริษัท ปรากฏผลกำไรสุทธิเท่ากับ 20,033 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9 โดยมีสาเหตุหลักจากหมวดพลังงานที่มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เนื่องจากปริมาณการใช้พลังงาน
เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ และดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 15
3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในหมวดวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รวมจำนวน 53
บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 17,983 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 50 ซึ่งเป็นผลจากยอดขายเติบโตร้อยละ 19 เนื่องจากความต้อง
การ
วัสดุก่อสร้างภายในประเทศเพิ่มขึ้นและราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20 โด
ยหมวด
วัสดุก่อสร้างและตกแต่งที่มีสัดส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 78 ของกลุ่มอุตสาหกรรม มีการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20
4. กลุ่มบริการจำนวน 75 บริษัท มีกำไรสุทธิ 14,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29 เป็นผลจากการเติบโตของยอดขายร้อยล
ะ 15
โดยหมวดขนส่งที่มีสัดส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 64 ของกลุ่มอุตสาหกรรม มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25

เป็นร้อยละ 29 เนื่องจากปริมาณการใช้บริการเพิ่มขึ้นและอัตราค่าระวางการขนส่งทางน้ำปรับตัวดีขึ้น
5. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในหมวดสื่อสาร ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์รวม 38 บริษัท
มีกำไรสุทธิรวม 11,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 22 เป็นผลจากการเติบโตของยอดขายร้อยละ 16 และดอกเบี้ยจ่ายลดลง
ร้อยละ 13 โดยหมวดสื่อสารที่มีสัดส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 81 ของกลุ่มอุตสาหกรรม มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของ
ปีก่อน
โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นและมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 961 ล้านบาท
6. กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรมจำนวน 39 บริษัท มีกำไรสุทธิ 5,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6 เป็นผลมาจากมี
ยอดขาย
เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ตามการขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ และดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 37 โดยหมวดเคมีภัณฑ์และพลาสติกที่มีสัดส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 7
0
ของกลุ่มอุตสาหกรรม มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 6
7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร รวมจำนวน 41 บริษัท มีกำไรสุทธิ
1,165 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1 โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มมีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 24 และมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากงว

เดียวกันของปีก่อนเป็นร้อยละ 19 จากเดิมร้อยละ 23 เนื่องจากวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่หมวดธุรกิจการเกษตรมีผลขาดทุนลดลงร้อยละ 72
เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9 จากเดิมร้อยละ 7
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวน 33 บริษัท มีกำไรสุทธิ 1,137 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12 เป็นผลมาจากในไตรมาส 1/2547

มียอดขายลดลงร้อยละ 1 โดยหมวดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่มีสัดส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 69 ของกลุ่มอุตสาหกรรม มียอดขายลดลงจากงวดเดียวกันของป

ีก่อนร้อยละ 5 เนื่องจากปริมาณขายลดลง

นายกิตติรัตน์กล่าวต่อไปว่า "สำหรับผลประกอบการของหมวดธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ 13 แห่ง และ
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีผลกำไรสุทธิรวมดีขึ้นจากปีก่อน โดยมีผลกำไรสุทธิรวม 24,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 77
เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13,832 ล้านบาท โดยมีสาเหตุจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ซึ่งเ
กิดจากกำไรจากเงิน
ลงทุนอันเนื่องมาจากภาวะตลาดทุนที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน และรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิก่อนหักหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เป็นผลม
าจากสิน
เชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ทั้งนี้หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 130 โดยมีการขาดทุนจ
ากการปรับโครง
สร้างหนี้จำนวน 5,881 ล้านบาท"

ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง) จำนวน 1
8 บริษัท
มีกำไรรวม 3,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,524 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 141 โดยมีสาเหตุหลักจากร
ายได้ธุรกิจ
หลักทรัพย์สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายการกู้ยืมเงินและค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายของบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 120 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก
รายได้ค่านายหน้า
และรายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ทำให้นักลงทุน
ลงทุน
ในตลาดทุนมากขึ้นส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นมาก รายได้อื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 45 เนื่องจากกำไรจากการขายเงินลงทุน
อันเนื่องมาจากภาวะตลาดทุนที่ดีขึ้นดังกล่าว สำหรับบริษัทเงินทุนมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ซึ่งเกิดจากรายได้
จากการให้
้สินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์มียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นมาก โดยเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ทั้งนี้มีหน
ี้สูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 125

ด้านผลการดำเนินงานของหมวดประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งประกอบด้วยบริษัทประกันชีวิต 2 แห่ง และประกันภัย 16 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 1,081

ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 94 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 558 ล้านบาท มีสาเหตุหลักจากรายได้จากการลงทุนและกำไรจากการล
งทุน
ในหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 770 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 181 เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ โดยมีเบี้ยปร
ะกันภัย
รับเพิ่มขึ้น 1,006 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23

"สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงานหรือกลุ่ม REHABCO นั้น ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2547 มีจำนวน 41 บริษัท
นำส่งงบการเงินจำนวน 28 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 68 ของบริษัทหมวด REHABCO ทั้งหมด มีกำไรสุทธิรวม 5,506 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,896 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 803 โดยเป็นบริษัทที่มีผลกำไรสุทธิ 15 บริษัท และมีผลขาดทุนสุทธิ
13 บริษัท
เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้น 13,307 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และ มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 3,107 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 2,822 ล้านบาท" กรรมการและผู้จัดการกล่าว

บริษัทจดทะเบียนที่มีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 มีบริษัทจดทะเบียนที่มีหนี้คงค้างของกลุ่มบริษัทนี้รวม
202,512
ล้านบาท ลดลง 5,944 ล้านบาท จากเมื่อสิ้นปี 2546 ซึ่งมีมูลหนี้ทั้งสิ้น 208,456 ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถสรุปสถานะการฟื้นฟูกิจการ
ของบริษัทในหมวด REHABCO ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-18 พฤษภาคม 2547 ได้ดังนี้
- บริษัทที่เปิดซื้อขายในหมวด REHABCO มีจำนวนทั้งสิ้น 14 บริษัท โดยไม่มีบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เปิดซื้อขายในหมวด REHABCO เพิ่มเต
ิม
- บริษัทที่ย้ายเข้าหมวด REHABCO เพิ่มจำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บมจ. ทุนเท็กซ์ (ประเทศไทย) (TUNTEX), บมจ. บางกอกรับเบอร์ (BRC)
- บริษัทที่ย้ายกลับไปซื้อขายหมวดปกติจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บมจ. อีเอ็มซี (EMC), บมจ.แนเชอรัล พาร์ค (N-PARK) และ บมจ.
มิลเลนเนียม สตีล (MS)

เอกสารประกอบข่าวตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ฉบับที่ 40 /2547 วันที่ 19 พฤษภาคม 2547

ตารางแสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานไตรมาส1 ปี 2547 และอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547
หน่วย : ล้าน
รายการ บริษัทจดทะเบียนรวม บริษัทจดทะเบียนใน Main Market (386 บริษัท) บริษัทจดทะเบียน
(395 บริษัท) 7 กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่ม REHABCO กลุ่มอื่นๆ ใน MAI
(299 บริษัท) (61 บริษัท) (21 บริษัท) (5 บริษัท)(9 บริษัท)
Q1/2547 Q1/2546 Q1/2547 Q1/2546 Q1/2547 Q1/2546 Q1/2547 Q1/2546 Q1/2547 Q1/2546 Q1/2547 Q1/2546
กำไร (ขาดทุน)สุทธิ 107,834 76,101 71,924 58,885 30,178 16,493 5,506 610 172 65 54 49
%กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 100% 100% 67% 77% 28% 22% 5% 1% 0% 0% 0% 0%
ยอดขาย 770,836 679,437 652,334 575,242 76,158 73,613 39,629 28,322 1,392 1,233 1,324 1,026
สินทรัพย์รวม 10,214,985 10,002,076 3,087,885 2,895,250 6,896,716 6,875,500 213,522 215,030
12,053 11,872 4,809 4,424
หนี้สิน 8,203,237 8,107,542 1,682,871 1,593,969 6,309,978 6,297,805 202,512 208,456 5,560
5,348 2,317 1,965
ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,947,357 1,833,359 1,345,378 1,244,862 583,418 574,351 9,718 5,314
6,442 6,462 2,401 2,370

ตารางเเสดงกำไรสุทธิของกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 8 กลุ่ม
กลุ่ม ธุรกิจการเงิน ทรัพยากร อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง บริการ เทคโนโลยีวัตถุดิบและอุตสาหกรรม เกษตรและอุตสาหกรร
มอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค
%growth 83% 9% 50% 29% 22% 6% (1)% (12)%






หมวดอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก (ไม่นับรวมสถาบันการเงินและ REHABCO)

หมวด กำไรสุทธิ (ลบ.) อัตราการเติบโต (%) สัดส่วนต่อกลุ่มอุตสาหกรรม (%) สัดส่วนต่อบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด(%)
ไตรมาส1/2547 ไตรมาส 1/2546
1. พลังงาน 19,949 18,330 9 99 19
2. วัสดุก่อสร้างและตกแต่ง 14,034 8,622 63 78 13
3. ขนส่ง 9,290 7,123 30 64 9
4. สื่อสาร9,069 6,722 35 81 8
5. เคมีภัณฑ์ 4,193 3,962 6 70 4

ตารางแสดงผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มบริษัทเงินทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
หมวด กำไร (ขาดทุน) สุทธิรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับ ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ NPL
Q1/47 Q1/46 Q1/47 Q1/46 Q1/47 Q1/46 Q1/47 Q1/46 Q1/47 % Q1/46 %
ธนาคาร 25,861 13,797 39,060 33,343 4,481,287 4,414,424 287,335 289,768 1,074,846 96 718,420 95

(13 แห่ง)
บริษัทเงินทุน 2,314 1,435 3,349 2,385 253,330 240,667 27,217 26,797 30,330 3 20,948 3
(8 แห่ง)
IFCT (1,323) 35 242 188 151,672 153,840 8,937 10,845 15,481 1 16,673 2
รวม 26,852 15,267 42,651 35,916 4,886,289 4,808,931 323,489 327,410 1,120,657 100 756,041 100


ตารางแสดงผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มประกันชีวิตและประกันภัย

ไตรมาส 1/47 ไตรมาส 1/46 % growth
เบี้ยประกันภัยรับ 5,380 4,371 23%
ค่าใช้จ่ายในการประกัน 4,113 3,120 32%
รายได้+กำไรจากการลงทุน 1,194 424 181%
กำไรสุทธิ 1,081 558 94%

http://www.settrade.com/brokerpage/SET/ ... 87/83.html



ล็อคหัวข้อ