โค้ด: เลือกทั้งหมด
สหรัฐฯ ยุโรป ภาพจริงหรือลวงตา
วรวรรณ ธาราภูมิ
20 สิงหาคม 2555
(สัมภาษณ์ในรายการมันนี่แชนแนล ของน้องเฟิร์น 20 สค 55 15.30-16.00น.)
1. สัปดาห์ที่ผ่านมาเราเห็นตลาดทุนและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้นถ้วนหน้า รับข่าวดีจากยุโรปและอเมริกา มีข้อมูลอะไรที่ส่งผลบวกต่อตลาดบ้าง (อเมริกา+ยุโรป)
ทั้งตลาดหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ปรับตัวดีขึ้น จากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีขึ้น เช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 163,000 คน หรือ +154% จากเดือนก่อนหน้า เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ข้อมูลเศรษฐกิจเป็น weekly/monthly ซึ่งมีทั้ง+/- ซึ่งเป็นระยะสั้น หรือมองแบบ shot ต่อ shot
สัญญาณบวกจากยุโรป ว่า ECB จะเข้าแทรกแซงการซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีปัญหาซึ่งยังไม่ได้ประกาศว่าจะมีการดำเนินการใดๆ โดยทันที เพียงแต่มีโทนในเชิงให้ความมั่นใจเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดคาดหวังว่าอาจจะมีการดำเนินการที่เร็วกว่าที่คาด
การ Rally หรือปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง จึงเป็นเพราะอารมณ์/Sentiment ที่คาดหวังมากไปว่า Policymakers (US,EU,China) จะมีมาตรการอะไรออกมา มากกว่าจะเกิดจากปัจจัยพื้นฐาน
2. ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศ สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของอเมริกาได้มาก-น้อยแค่ไหน
สัญญาณของการฟื้นตัว ยังไม่ชัดเจน (เป็นแค่ sideway ที่ไม่น่าจะทรุดไปกว่านี้) ซึ่งสหรัฐยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากยุโรปและการเกิดภาวะ Fiscal Cliff (การสิ้นสุดมาตรการลดหย่อนภาษี พร้อมกับการเริ่มรัดเข็มขัดของภาครัฐบาลตาม Budget Act Control 2011) ทำให้ภาคธุรกิจมีความกังวลและชะลอการลงทุนออกไปก่อน ส่วนเรื่องหนี้สินใกล้แตะเพดานอีกครั้งหนึ่งนั้นรัฐบาลยังคงไม่ได้พิจารณาแก้ไขหรือบรรเทาปัญหา เนื่องจากอยู่ในช่วงกำลังเลือกตั้ง
3. ข้อมูลที่เป็นตัวบอกว่าเศรษฐกิจอเมริกากลับเข้าสู่ภาวะปกติคืออะไร
- การจ้างงาน - การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน ก.ค. เพิ่มมากสุดนับแต่เดือน ก.พ.
- ยอดผู้ตกงานที่ขอรับสวัสดิการครั้งแรก มีแนวโน้มชะลอตัว
- ยอดค้าปลีก - ดีขึ้น หลังจากที่แย่มา 3 เดือนติดต่อกัน
- ตลาดที่อยู่อาศัย - ตัวเลขขอสร้างบ้านเดือน มิ.ย. เพิ่มมาอยู่ที่ 754,000 หลัง สูงสุดใน 3-4 ปี (ก.ค.ล่าสุดอยู่ที่ 746,000 หลัง) สะท้อนว่าผู้สร้างบ้านเชื่อมั่นต่อความต้องการ
ซื้อบ้านมากขึ้น สอดคล้องกับดัชนีตลาดบ้าน และยอดสั่งซื้อบ้านใหม่ที่เพิ่มขึ้น
- ภาคการผลิต - ยังไม่ปกติ ยังได้รับผลกระทบจาก EU ทำให้ยอดคำสั่งซื้อลดลง
- ล่าสุดดัชนี ISM เดือน ก.ค. ปรับลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 49.80 จุด (ต่ำกว่า 50 แสดงว่าแนวโน้มภาคการผลิตแย่ลง)
4. สรุปว่าข้อมูลเชิงบวกของอเมริกาเป็นภาพลวงตา หรือข้อเท็จจริง
- ยังไม่ได้กลับมาสู่ normal เหมือนคนไข้ที่ยังต้องการเวลาในการพักฟื้น
- ส่วนตัวเลขการว่างงานเป็นตัวเลขพรางตาจากวิธีในการคำนวณ หรือการเปลี่ยนวิธีในการคำนวณสัดส่วนการว่างงาน
- ข้อมูลการบริโภคที่เพิ่มขึ้นก็มาจากผลของฤดูกาล ซึ่งเป็นปกติที่การบริโภคของชาวสหรัฐจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเนื่องจากเป็น Driving Season (มิ.ย.-ส.ค.) รวมถึงเป็นช่วงเวลาจับจ่ายก่อนเปิดภาคเรียนของบรรดาผู้ปกครอง (Back-to-school sales)
- ตัวเลขสินเชื่อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยถึงแม้ธนาคารพาณิชย์จะผ่อนคลายมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลง อาจเป็นสัญญาณว่าประชาชนยังคงไม่แน่ใจกับภาวะเศรษฐกิจ
5. การร่วมมืออุ้มประเทศที่มีปัญหาในยุโรโซนของประเทศยักษ์ใหญ่ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจที่แท้จริงแค่ไหน
- การเพิ่มหนี้ เพื่อไปก่อหนี้สินไม่ใช่วิธีในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงคือควรจะลดรายจ่ายและหาวิธีในการเพิ่มรายได้
- การเข้าไปร่วมอุ้ม เป็นการช่วยตลาดการเงินมากกว่าจะไปช่วยภาค Real Sector ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือมากกว่า
- การเข้าไปอุ้มภาคการเงิน และกดดอกเบี้ยต่ำ ช่วยไม่ให้รัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยกู้ในอัตราสูง และทำให้สถาบันการเงินมีเงินสดต้นทุนต่ำกองไว้เยอะ แต่ยังไม่กล้าปล่อยกู้ และภาคเอกชนก็ยังไม่กล้าขยายการลงทุน หรือไม่กล้ารับความเสี่ยง ก็เลยยังเป็นวงจรอุบาทว์ ที่ยังไม่หลุดจากวังวน
6. คำพูดของผู้นำเยอรมันที่ย้ำว่าจำเป็นต้องหาทางออกที่มีความยั่งยืนในระยะยาว สะท้อนภาพปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจริงๆ ใช่หรือไม่
ใช่ เพราะที่ผ่านมาเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือซื้อเวลามากกว่า เพราะปัญหาคือความไม่สามารถในการจัดการแก้ไขปัญหา (มีความล่าช้าในกระบวนการที่ต้องพูดหลายรอบ และต้องขอมติที่ประชุมจากรัฐสภาอีก เพราะขาดองค์กรกลางที่มีอำนาจ) และยังมีความไม่ลงรอยกันในมุมความคิดในการแก้ปัญหาภายในกลุ่มเอง และอยากแก้ปัญหาเฉพาะของตนเอง ทำให้ไม่ได้มองในภาพรวม
7. ในส่วนของยุโรปข้อมูลที่สดใสเป็นภาพลวงตาหรือข้อเท็จจริง
ยังไม่เห็นข้อมูลที่สดใสของฝั่งยุโรปออกมามากนักโดยเฉพาะตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับการยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เช่น
- อัตราการว่างงานที่ยังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปสู่ระดับ 11.2% แล้วในเดือนมิ.ย. ซึ่งประเทศที่มีอัตราการว่างงานสูงสุดในกลุ่มคือ สเปน 24.8%
- GDP ยุโรปในไตรมาส 2 ที่ออกมาหดตัว 0.2% จากไตรมาสก่อนที่ไม่ขยายตัว (0.00%) ประกอบกับผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งข้อเท็จจริงคือเศรษฐกิจเยอรมนีได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้แล้ว จากตัวเลขส่งออก (ส่งออก 40% GDP) ที่เริ่มลดลงตั้งแต่เดือน มิ.ย. เพราะความต้องการสินค้าจากกลุ่มประเทศยูโรโซนลดลง อีกทั้ง ความต้องการบริโภคในประเทศ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน ต่างลดลงต่อเนื่อง
8. ข้อคิดกับนักลงทุนถึงการเลือกรับและกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร
ปัจจัยเสี่ยงต้องจับตาเฝ้าระวังในครึ่งหลังปีนี้
ปัจจัยเสี่ยงจะเข้มข้นในเดือนกันยายน และเป็นอีกจุดที่จะกำหนดทิศทางตลาดเงินและเศรษฐกิจโลกปีหน้า
- 12 กันยายนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีจะพิจารณาว่ารัฐบาลกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ที่จะไปตั้งกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (อีเอสเอ็ม) แบบถาวร ถ้าศาลเห็นว่าผิด นักลงทุนจะขาดความเชื่อมั่น อาจเกิด Panic และเกิดวิกฤติลุกลามได้อีกรอบ เพราะเยอรมนีเป็นเสาหลักในยูโรโซน
- วิกฤติจะลามจากสเปนไปอิตาลีหรือไม่ ต้องตามดูใกล้ชิดไปถึงต้นปีหน้า
- เจ้าหนี้จะเอาอย่างไรกับกรีซที่ขอผ่อนปรนระยะเวลาที่ถูกกำหนดให้ทำให้ได้ภายใน 2 ปี
เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมีมาก และมีการส่งถึงที่เร็ว ดังนั้น เราต้องแยกระหว่าง Fact กับ Opinion แล้วพิจารณาว่า อะไรที่ตลาดได้รับรู้ไปแล้ว กับอะไรที่ตลาดยังไม่ได้คาดการณ์
ดังนั้น อย่าไปตื่นตูมแล้วเต้นไปตามกับ Headline news นักลงทุนคุณภาพต้องประมวลภาพรวมให้ได้