โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมเขียนถึงญี่ปุ่นเพราะหลังจากได้ผู้นำประเทศคนใหม่ ก็ได้มีการเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และปัจจุบันกำลังเร่งพิมพ์เงินใหม่เดือนละ 70,000 ล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่พิมพ์เงินใหม่เดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะมีขนาดเพียง 1/3 ของเศรษฐกิจสหรัฐ ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมค่าเงินเยนจึงอ่อนตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่ผู้ว่าการธนาคารกลางคนใหม่จะมาเข้ารับตำแหน่งเสียอีก เพราะนายกรัฐมนตรีอาเบะมีความมุ่งมั่นอย่างสูงที่จะทำให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดให้ได้ภายใน 2 ปี และต้องการให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว
ผมเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของญี่ปุ่นเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง และเนื่องจากญี่ปุ่นจะยังดำเนินนโยบายการเงินแบบแหวกแนวเช่นนี้อีกนานเป็นปี (โดยนักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าเงินเยนจะอ่อนค่าลงจากปัจจุบันที่ 97 เยนต่อหนึ่งดอลลาร์ไปสู่ระดับ 110-120 เยนต่อหนึ่งดอลลาร์) เช่นเดียวกับธนาคารกลางของสหรัฐ ยุโรปและอังกฤษ ก็น่าจะเชื่อได้ว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้อีก เพราะธนาคารกลางของประเทศที่เป็นเงินสกุลหลักของโลกตั้งใจพิมพ์เงินทำให้เงินเสื่อมค่า (เพื่อช่วยให้สภาพคล่องสูงและเศรษฐกิจของเขาฟื้นตัว)
ดังนั้น นักลงทุนจึงมองหาเงินตราและพันธบัตรของประเทศที่ธนาคารกลางมีวินัยทางการเงิน (กล่าวคือตั้งดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับสูงและจำกัดปริมาณเงินที่พิมพ์ออกมา) ซึ่งเงินบาทและพันธบัตรของทางการไทย (รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย) นั้นมีลักษณะที่พึงประสงค์ของนักลงทุนต่างชาติทุกประการ ดังนั้น การแข็งค่าของเงินบาท (หรือการอ่อนค่าของเงินสกุลหลักของโลก) จึงเป็นเรื่องที่เราจะสามารถพูดคุยกันต่อไปได้อีกหลายครั้งในอนาคต
ดังนั้น ในครั้งนี้ผมจึงขอเขียนถึงเรื่องอื่นบ้าง และเมื่อได้กล่าวถึงความสำเร็จของนโยบายเศรษฐกิจของนายอาเบะแล้ว (ประชาชนญี่ปุ่นตอบรับนโยบายเศรษฐกิจของนายอาเบะอย่างมาก ทำให้เข้าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยม 60-75% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น) ก็ขอมาเขียนถึงนโยบายการเมืองของนายอาเบะบ้าง ทั้งนี้ ผมขอรับว่าไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางการเมืองและขอนำข่าวและบทวิเคราะห์ของผู้รู้มาสรุป ผมคิดว่าประเด็นนโยบายการเมืองของนายกรัฐมนตรีอาเบะนั้นน่าจะส่งผลที่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชียได้ ซึ่งหมายความว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่นในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองด้วย
นายกรัฐมนตรีอาเบะเป็นนักการเมืองที่กล่าวได้ว่ามีแนวคิดอนุรักษนิยมอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าเขามีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1946 โดยกองทัพสหรัฐซึ่งยึดครองญี่ปุ่นหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยในสาระสำคัญนั้นเขาต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญที่ปฏิเสธการสู้รบ (pacifist) และพัฒนากองทัพของญี่ปุ่นให้มีศักยภาพที่เหมาะสมกับความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในปัจจุบันญี่ปุ่นมีกำลังทางทหารที่จำกัดอย่างมากโดยเรียกว่าเป็นกองกำลังเพื่อป้องกันตนเอง (self defense force) ซึ่งนายกรัฐมนตรีอาเบะมีความประสงค์จะพัฒนาให้เป็นกองทัพ (military) เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอาเบะเห็นว่าการที่รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นถูกเขียนขึ้นโดยกองทัพต่างชาติที่เข้ามายึดครองประเทศเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องในหลักการและกล่าวว่ารัฐธรรมนูญซึ่งมีอายุยาวนานถึง 66 ปีนั้นมีความล้าสมัยสมควรต้องปรับปรุง นักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์ปัจจุบัน กล่าวคือความตึงเครียดระหว่างญี่ปุ่นกับจีนและการข่มขู่ของเกาหลีเหนือเป็นข้ออ้างให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยกขึ้นมาเพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ นายอาเบะแสดงความพร้อมที่จะใช้กำลังทหาร เช่นเขาเคยกล่าวในรัฐสภาว่าหากจีนพยายามเข้ามาบุกรุกหมู่เกาะเซนกากุที่ญี่ปุ่นยืนยันความเป็นเจ้าของ เขาได้ออกคำสั่งให้กองกำลังของญี่ปุ่นดำเนินการอย่างหนักแน่น (resolute measures) เพื่อปกป้องดินแดนของญี่ปุ่น และหากจีนพยายามจะยกพลขึ้นเกาะของญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นก็จะไม่ลังเลที่จะใช้กำลังเพื่อขับไล่จีนออกไป
ประเด็นที่ทำให้บางประเทศในเอเชีย เช่น จีนและเกาหลีใต้แสดงความกังวลและไม่พอใจอย่างมากคือ ความรู้สึกว่าญี่ปุ่นไม่เคยแสดงความเสียใจหรือขอโทษกับการกระทำที่ทารุณของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้การที่นายกรัฐมนตรีอาเบะและคณะรัฐมนตรีของเขาไปเยี่ยมสักการะศพของทหารที่สุสานยาสุคุนินั้น ถูกประเทศจีนและเกาหลีใต้ประณามว่าเป็นการยกย่องสิทธิการใช้กำลังทางทหารและความรุนแรงซึ่งรัฐบาลและผู้นำญี่ปุ่นไม่เคยเลยที่จะยอมรับความผิดพลาดและกล่าวขอโทษกับการรุกรานและการทำทารุณกรรมต่างๆ ในอดีตของญี่ปุ่นเลย
นอกจากการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟื้นฟูกองทัพของญี่ปุ่นแล้ว พรรคแอลดีพีของนายกรัฐมนตรีอาเบะยังได้เสนอให้แต่งตั้งจักรพรรดิญี่ปุ่นเป็นประมุขของประเทศ (Head of State) ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่ได้ลดความสำคัญของจักรพรรดิลงมาให้มีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ (symbol) มากกว่าการมีสถานะที่โดดเด่นในรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับปัจจุบันนั้นทำได้ยาก เพราะจะต้องมีเสียงสนับสนุนมากถึง 2/3 ของสภาล่างและสภาบนตามด้วยการขอประชามติ (national referendum) เพื่อให้เห็นชอบกับการแก้ไขดังกล่าว อย่างไรก็ดี การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเทศหลักอื่นๆ นั้นก็มักจะมีเงื่อนไขคล้ายคลึงกันเช่น ในกรณีของสหรัฐอเมริกาจะต้องใช้เสียง 2/3 ของสภาผู้แทนและวุฒิสภา ตลอดจนการให้สัตยาบรรณโดยเสียง ? ในแต่ละมลรัฐของสหรัฐ และสำหรับประเทศเยอรมนีและเกาหลีใต้นั้นก็ต้องให้ได้เสียงสนับสนุนถึง 2/3 ของรัฐสภาโดยในกรณีของเกาหลีใต้นั้นต้องผ่านประชามติอีกด้วย
ปัจจุบันรัฐบาลของนายกอาเบะมีเสียงสนับสนุนเพียงพอในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่จะต้องรอผลการเลือกตั้งวุฒิสภาในกรกฎาคมนี้ ซึ่งผลการสำรวจความเห็นของประชาชนในสำนักต่างๆ คาดว่าพรรคแอลดีพีน่าจะได้คะแนนเสียงท่วมท้น ทำให้น่าจะมีจำนวน วุฒิสมาชิกเพียงพอต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจากกระแสข่าวในขณะนี้คาดว่านายกรัฐมนตรีอาเบะได้เริ่มดำเนินการแล้ว แต่ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่ต้องการแก้ไขมาตรา 9 ซึ่งกำหนดให้ญี่ปุ่นซึ่งปฏิเสธการทำสงครามและการมีกำลังทหาร (renounce war and possession of a military) โดยจะดำเนินการในทางอ้อมเพื่อลดกระแสต่อต้าน (โดยเฉพาะจากต่างประเทศ)
ทั้งนี้ โดยนายกรัฐมนตรีอาเบะกล่าวว่าอยากแก้ไขมาตรา 96 ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้รัฐสภาต้องเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 2/3 จึงจะทำประชามติได้ โดยเสนอว่าควรแก้ให้เป็นเสียงข้างมากก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งหากสำเร็จก็จะเสนอหลักการเดียวกันนี้ให้นำไปใช้กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวคือให้ใช้เสียงข้างมากของสองสภาบวกกับความเห็นชอบโดยประชามติ ข้อเสนอดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ทางการเมือง ยิ่งแสดงความเป็นห่วงมากขึ้น เพราะหากแก้มาตรา 96 สำเร็จก็จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ง่ายยิ่งขึ้นในทุกมาตรา
การเมืองของญี่ปุ่นโดยเฉพาะในส่วนของการรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญที่น่าจะมีความชัดเจนขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะน่าที่จะเป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองและความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียครับ
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 6/5/56