อย่ามองแต่ “กระจกหลัง”/ประภาคาร ภราดรภิบาล

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

อย่ามองแต่ “กระจกหลัง”/ประภาคาร ภราดรภิบาล

โพสต์ โดย Thai VI Article » ศุกร์ พ.ค. 10, 2013 7:49 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

บทความ Value Way กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม 2556
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
อย่ามองแต่ “กระจกหลัง”

   ในการขับรถเพื่อมุ่งไปข้างหน้านั้น ถ้าคนขับมัวแต่มอง “กระจกหลัง” โดยไม่มอง “กระจกหน้า” อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

   การลงทุนในหุ้นก็เช่นกัน ถ้านักลงทุนให้ความสนใจแต่ผลงานในอดีตของบริษัท ซึ่งเปรียบเสมือนการมอง “กระจกหลัง” เพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจที่จะมอง “กระจกหน้า” ซึ่งเป็นอนาคตของกิจการ ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายในการลงทุนได้

   “วอร์เรน บัฟเฟตต์” กล่าวว่า “ในโลกของธุรกิจนั้น กระจกมองหลังมักจะชัดเจนกว่ากระจกหน้าเสมอ” นั่นจึงเป็นเหตุให้นักลงทุนหลายคนลงทุนโดยมองแต่ “กระจกหลัง” คือ ดูแต่ตัวเลขหรือผลงานในอดีตที่แต่ละบริษัททำไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรายได้, กำไร, อัตราผลตอบแทน หรือข้อมูลอื่นๆ ซึ่งสามารถค้นหาได้จากหน้าหนังสือพิมพ์, ในเว็บไซต์ หรือรายงานประจำปี และเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง    

   แน่นอนว่าข้อมูลในอดีตสามารถฉายภาพให้เราเห็นได้ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมากิจการของบริษัทนั้นๆเป็นอย่างไร ซึ่งเราอาจนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ แต่ก็ต้องตระหนักด้วยว่าผลงานในอดีตไม่สามารถการันตีอนาคตได้เสมอไป ผลประกอบการในอดีตที่ยอดเยี่ยมไม่ได้เป็นเครื่องหมายรับประกันว่าผลประกอบการในอนาคตจะออกมายอดเยี่ยมตามไปด้วย เหมือนที่ “บัฟเฟตต์” กล่าวไว้ว่า “นักลงทุนในปัจจุบันไม่ได้ทำกำไรจากการเจริญเติบโตในอดีต”  

   “ปีเตอร์ ลินซ์” ก็มีมุมมองเช่นเดียวกันว่า “คุณไม่สามารถเห็นอนาคตจากการมองกระจกหลังได้” ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ถ้าช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วง “ขาขึ้น” คือสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด และสามารถจำหน่ายได้ในราคาสูง ผลประกอบการก็อาจดูดีต่อเนื่องกันหลายๆปี แต่ถ้าปัจจุบันเริ่มเป็นช่วง “ขาลง” ความต้องการในตลาดเริ่มอิ่มตัว ราคาสินค้าเริ่มตกต่ำ กำไรเริ่มลดลง ผลประกอบการที่จะออกมาในอนาคตก็อาจไม่สวยหรูเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ถ้าเราตัดสินใจลงทุนในบริษัทดังกล่าวโดยดูแต่ข้อมูลในอดีต ไม่ได้มองแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจ นอกจากเราจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีแล้วเรายังอาจขาดทุนได้

   “ชาร์ลี มังเกอร์” คู่หูของ “บัฟเฟตต์” แนะนำนักลงทุนว่า “เวลาเราดูบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดี คำถามที่เราควรถามก็คือ มันจะดีต่อไปได้อีกนานแค่ไหน? ทางเดียวที่เราจะตอบคำถามนี้ได้ก็คือ การดูว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดี และวิเคราะห์ต่อว่า ปัจจัยอะไรที่จะทำให้ผลการดำเนินงานดีๆที่ว่านั้นหายไป”

   ถ้าสังเกตวงการธุรกิจให้ดี ในแต่ละช่วงเวลาเราจะพบว่า มีบางกิจการที่เคยครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้นๆในอุตสาหกรรม ต่อมากลับเพลี่ยงพล้ำถูกคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไปครอง เนื่องจากไม่มี “ป้อมค่าย” และ “คูเมือง” ที่แข็งแรงพอที่จะกีดกันคู่แข่ง ในขณะที่กิจการขนาดเล็กและขนาดกลางบางแห่งที่อยู่นอกสายตาของนักลงทุน กลับสามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่โดดเด่น

   ข้อมูลในอดีตนั้น นักลงทุนทั่วๆไปต่างก็สามารถค้นหาได้ไม่ยากนักจากช่องทางต่างๆที่มีอยู่มากมายในยุคสมัยปัจจุบัน แต่การมอง “กระจกหน้า” หรืออนาคตของกิจการให้ออกว่า กิจการมีแนวโน้มที่ดีหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของ “วิสัยทัศน์ทางการลงทุน” ที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

   และ “วิสัยทัศน์ทางการลงทุน” นี่เองที่สร้างความแตกต่างระหว่างนักลงทุนทั่วๆไปกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
[/size]



ตอบกลับโพส