โค้ด: เลือกทั้งหมด
สองสัปดาห์ก่อนเขียนเปรียบเทียบแนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ กับแนวคิดของตัวเอง มีแฟนคอลัมน์ชอบมาก ต้องเรียนว่าดิฉันไม่ค่อยเปิดเผยวิธีการลงทุนในใครทราบ ไม่ใช่หวงวิชา แต่ไม่คิดว่าตัวเองเก่งเป็นเซียนแบบอาจารย์นิเวศน์ค่ะ
ดิฉันมองว่าตัวเองเป็นนักกลยุทธ์หรือ Strategist มากกว่า คือ มองแนวโน้ม และมองหาจังหวะเข้าลงทุน โดยต้องมองแนวโน้มระยะยาว ระยะปานกลาง และระยะสั้น เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นกลุ่มไหนน่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มนั้นๆ แล้วจึงมาคัดเลือกหุ้นของแต่ละบริษัทอีกครั้งหนึ่ง
แนวโน้มระยะยาวที่ดิฉันเคยเขียนไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยังคงอยู่ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แม้จะลุ่มๆดอนๆ แต่ก็ฟื้นตัว บทบาทที่มากขึ้นของประเทศในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในเอเชีย ดังนั้นตราสารทุน หรือหุ้นทุน จะเป็นประเภทหลักทรัพย์ที่น่าสนใจลงทุน โดยเฉพาะหุ้นที่มีการทำธุรกิจในเอเชีย เพราะกำไรของบริษัทต่างๆก็จะดีขึ้น และในระยะถัดไปเมื่อเศรษฐกิจร้อนแรง กลุ่มโภคภัณฑ์จึงจะปรับตัวขึ้นตามมา
ซึ่งในปี 2556 นี้เศรษฐกิจโลกยังไม่ร้อนแรงค่ะ หลายคนรู้สึกเดือดร้อนที่เศรษฐกิจจีนไม่โตตามคาด ทำให้กลัวว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นช้ากว่าที่คาด ดังนั้นราคาน้ำมันในปีนี้จะยังไม่สูงขึ้นมากนัก จะทรงๆอยู่แถวๆนี้
แนวโน้มระยะปานกลางคือการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจเออีซี นโยบายระยะกลางของภาครัฐ และการพัฒนาเป็นเมืองของท้องถิ่นในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งทำให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง โลจิสติกส์ ธุรกิจเกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค ค้าปลีก และการท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ และจะมีการเติบโตมากเป็นพิเศษไปอีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย
แนวโน้มระยะสั้น ต้องดูจากนโยบายระยะสั้นของรัฐบาล ดูปัจจัยการเมือง ดูความตื่นตกใจหรือลิงโลดใจเวลามีประเด็นเศรษฐกิจและการเมืองทั้งของไทยและประเทศต่างๆในโลก
ยกตัวอย่างในช่วงที่หุ้นตกในช่วงต้นเดือนเมษายนเพราะข่าวลือและความกังวล ดิฉันก็ถือเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ตัวเองอยากซื้อแต่มองว่าราคาสูงเกินไปหน่อยในช่วงที่ตลาดร้อนแรงในไตรมาสแรก
ดิฉันไม่ได้มองหุ้นครบทุกกลุ่มธุรกิจ เพราะลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว กองทุนจะมีการลงทุนในหุ้นหลักๆที่ผู้จัดการกองทุนมองว่าจะให้ผลตอบแทนดีจากแนวโน้มทั้งสามช่วงอยู่แล้ว การลงทุนในหุ้นโดยตรงของดิฉันจึงเป็นการลงทุนในหุ้นหรือกลุ่มธุรกิจที่ดิฉันต้องการให้น้ำหนักเป็นพิเศษ หรือต้องการ overweight เพิ่มจากที่กองทุนลงทุนอยู่ ดังนั้นหากดูพอร์ตการลงทุนในหุ้นของดิฉันก็อาจจะดูเหมือนว่าเสี่ยงมาก คือให้น้ำหนักแต่ละหุ้นมากเกินไป แต่เมื่อมองดูภาพรวม (ซึ่งดิฉันเห็นคนเดียว) จะไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ
การลงทุนโดยตรง จะไม่จำกัดว่าเป็นหุ้นใหญ่ กลาง หรือเล็ก และไม่ได้นำขนาดของบริษัทที่วัดโดยมูลค่าตลาดของบริษัท หรือมาร์เก็ตแคปมาเป็นหลักในการพิจารณา แต่หากเป็นการบริหารกองทุน เราจะต้องนำมาพิจารณาเพราะเงินก้อนใหญ่ ซื้อเข้าไปเป็นสัดส่วนสูงมากๆของหุ้นบริษัทหนึ่งๆ อาจมีปัญหา แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ขาซื้อก็ทำให้ราคาหุ้นขึ้น และขาขายก็ทำให้ราคาหุ้นตกได้ ถ้าเราเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่การลงทุนเองไม่กี่หมื่นกี่แสนหุ้น ส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำให้ราคาวิ่งขึ้นหรือวิ่งลงได้
คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์หากรวบรวมข้อผิดพลาดในการลงทุนทั้งจากของตัวเองและของคนอื่นมาเตือนใจผู้ลงทุนนะคะ
เริ่มตั้งแต่ตอนเริ่มลงทุนเลยค่ะ ข้อผิดพลาดที่เกิดบ่อยคือ การหาจังหวะเข้าซื้อลงทุน คนส่วนใหญ่จะกลัวว่าซื้อแพง จึงพยายามหาจังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อ แต่พอหุ้นราคาตกลงไป ก็เริ่มไม่แน่ใจที่จะซื้อ จึงถอย สรุปแล้วบางครั้งก็อาจจะไม่ได้ซื้อเลย บางครั้งก็รอจนราคาขึ้นไปแล้วรู้สึกว่าคงไม่ลงอีก จึงซื้อ และก็อาจจะมีต้นทุนที่ราคาสูง
ดิฉันมีคำแนะนำอยู่สองสามข้อในการเข้าซื้อ ข้อแรก เมื่อเราจัดพอร์ตแล้ว เงินที่จะลงทุนในหุ้นทุนนั้นเป็นเงินลงทุนระยะยาว ดังนั้น หากมองว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆจะขึ้นไปสูงกว่าปัจจุบัน หรือกรณีซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นทุน หากมองว่าในระยะเวลาที่ลงทุน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ลงทุนมีโอกาสปรับเพิ่มสูงไปกว่าจุดที่จะลงทุน ก็ควรจะซื้อค่ะ
ไม่มีใครเข้าซื้อลงทุนได้ในราคาต่ำที่สุดตลอดเวลาค่ะ แม้แต่ผู้จัดการกองทุน หรือแม้แต่เซียนเอง แต่การมีต้นทุนต่ำก็จะเสมือนการฉีดวัคซีน ที่ช่วยให้ผู้ลงทุนมีภูมิต้านทานสำหรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น
คำแนะนำข้อที่สองคือ อย่าติดตามราคาทุกวัน ถ้าเราลงทุนสำหรับ 5 ปีข้างหน้า อาทิตย์หนึ่งหรือเดือนหนึ่งมาตามดูราคาครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว นักลงทุนมืออาชีพและมาร์เก็ตติ้งของโบรกเกอร์เท่านั้นที่ติดตามราคาทุกวัน วันละหลายๆครั้ง ดังนั้นหากท่านเป็นผู้ลงทุนทั่วๆไป ไม่ควรติดตามราคาอย่างใกล้ชิดมากนะคะ เดี๋ยวจะไม่มีสมาธิทำงาน อาจจะถึงกับเสียการเสียงานไปได้
คำแนะนำข้อที่สาม อย่ากระโดดเข้าไปลงทุนอย่างพรวดพราด ก่อนซื้อลงทุนต้องศึกษาหุ้นมาก่อน ต้องมีราคาเป้าหมาย (target price) หรือมูลค่าในใจว่าหุ้นของบริษัทนี้ควรจะมีมูลค่าที่แท้จริง หรือ value ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เป็นเท่าใด เวลาซื้อก็ควรจะซื้อในราคาที่ต่ำกว่าเป้าหมายนั้น จึงจะถูกต้อง
ไม่ว่าหุ้นจะดีเพียงใด ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าไปลงทุนหากราคาสูงเต็มมูลค่าแล้ว ผู้ลงทุนต้องคำนึงอยู่เสมอว่า ลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทน เพราะฉะนั้นหากไม่มีโอกาสได้ผลตอบแทน ก็ไม่ควรจะลงทุน
จังหวะซื้อที่ถือเป็นโบนัส คือจังหวะที่คนตกใจ หุ้นของบริษัทเดียวกันที่เมื่อวานคนให้ราคาไว้ 25 บาท พอตกใจเกี่ยวกับข่าวลือ วันนี้ราคาลดลงเหลือ 23 บาท หากศึกษามาแล้วว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ที่ 28 บาท ต้องถือเป็นโอกาสซื้อค่ะ
คำแนะนำข้อที่สี่สำหรับการซื้อคือ อย่าหวงราคา หรืออย่าขี้เหนียว นั่นเอง บางทีราคาเสนอซื้อ-เสนอขายต่างกัน 0.25 บาท หรือสลึงเดียว หรืออาจจะ 1 หรือ 2 บาท เราก็ไม่ยอมเคาะซื้อ รอตั้งราคาเสนอซื้อเข้าคิวไว้ เผอิญมีผู้ลงทุนอื่นที่เห็นว่าหุ้นนี้น่าสนใจลงทุนเช่นเดียวกัน และหากเป็นช่วงที่ตลาดมีอารมณ์เป็นกระทิง หรือตลาดขาขึ้น (bull market) โอกาสจะซื้อไม่ได้ เพราะราคาวิ่งไปเร็วก็มีมาก
ปกติดิฉันจะแบ่งพอร์ตเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นการซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาว ดิฉันจะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าเป้าหมายมูลค่าที่ตั้งไว้ประมาณ 20-25% แต่ส่วนที่เป็นการ trading ราคาอยู่ต่ำกว่า มูลค่าเป้าหมายในช่วงห่าง 10% ก็พอใจแล้วค่ะ
ในทางตรงกันข้าม หากตลาดอยู่ในอารมณ์เป็นหมี (bear market) หากเข้าซื้อ ก็อาจจะถอยซื้อ คือตั้งไว้ต่ำๆ เผื่อมีคนตกใจขายมา หรือทยอยซื้อในแต่ละช่วงราคา
อารมณ์เป็นกระทิงหรืออารมณ์เป็นหมีของตลาด สามารถนำมาใช้ได้กับช่วงเวลายาวที่ตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลง แต่ก็สามารถนำมาใช้ในลักษณะอารมณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆด้วยค่ะ
วันนี้หมดพื้นที่แล้ว สัปดาห์หน้าจะเขียนเกี่ยวกับข้อผิดพลาดอื่นๆต่อนะคะ