โค้ด: เลือกทั้งหมด
ปฐมบทแห่งการลงทุน / โดย คนขายของ
การที่ตลาดหุ้นขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้มีหลายคนเริ่มมาสนใจที่จะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ บางคนเริ่มด้วยแนววิเคราะห์ปัจจัยทางด้านพื้นฐาน บางคนเริ่มด้วยเทคนิคอล บางคนเริ่มด้วยการติดตามนักวิเคราะห์ทางสื่อต่างๆ แต่ทั้งนี้ หากเราหันกลับมามองเรื่องการลงทุน ซึ่งเป็นการลงทุนจริง ที่เป็นมุมมองของการทำธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่การ “เล่นหุ้น” เราคงมีคำถามที่ว่า เราจะเริ่มจากการดูอะไรก่อนดี
เท่าที่ผมได้ยินได้ฟังเรื่องราวผ่านเพื่อนๆที่เป็นเจ้าของกิจการ ผมพบว่าหลายคน ไม่มีโอกาสได้ดูอะไรก่อนเลย คือไม่ได้มองจากภาพใหญ่ หรือ องค์รวมมาก่อน แต่ต้องทำธุรกิจที่ทำอยู่เพราะว่า เป็นการส่งผ่าน ธุรกิจจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก หรือ บางคนเริ่มทำธุรกิจเองโดยเลือกเอาจากสิ่งที่ตัวเองรัก หรือมีความถนัด รู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็ทำอันนั้นเลย ไม่ได้มองธุรกิจอื่นๆที่อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่การเป็นนักลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์นั้นต่างกันตรงที่ว่าเราสามารถเลือกได้ และ ถึงแม้เลือกผิดก็เลือกใหม่ได้ ดังนั้นการเลือกกิจการที่จะลงทุนนั้นจึงเป็นจุดเริ่มที่สำคัญ
เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ผมได้รับมอบหมายจากบริษัทที่ผมทำงานอยู่ให้ดูแลเรื่องการขายโครงการการลงทุน เพื่อการประหยัดพลังงานให้แก่บริษัทขนาดใหญ่ในเมืองไทย การที่ผมได้รับผิดชอบหน่วยงานนี้ทำให้ ผมได้พบเจอเจ้าของกิจการหลายๆคน เป็นที่สังเกตุว่า คำถามสำคัญที่เจ้าของกิจการ หรือ ผู้บริหารระดับสูง จะใช้เป็นประเด็นหลักในการเลือกโครงการที่จะลงทุนนั้น มีอยู่คำถามเดียวคือ “กี่ปีคืนทุน?” ประเด็นนี้ทำให้ผมนำเอามาศึกษาต่อยอด และพบว่าแต่ละธุรกิจ มีการคืนทุนที่ไม่เท่ากัน บางอันคืนทุนช้า บางอันคืนทุนเร็ว ไม่เหมือนกัน เช่นการทำธุรกิจสนามกอล์ฟนั้น การคืนทุนจะประมาณ 9-12 ปี โรงแรม ประมาณ 5-8 ปี Community Mall 8-10 ปี
ในทาง Finance มีอัตราส่วนทางการเงินอันหนึ่งที่น่าสนใจที่เรียกว่า “ROIC” หรือเรียกแบบเต็มๆว่า “Return on Invested Capital” แปลเป็นไทยว่า “อัตราส่วนผลตอบแทนเงินลงทุน” จากการศึกษาอุตสาหกรรมหลากหลายในประเทศอเมริกาในช่วง 1982-2002 พบว่า Average ROIC ของแต่ละอุตสาหกรรมนั้น แตกต่างกันออกไป กิจการที่มี ROIC สูงสุด ได้แก่กิจการทำ Software สำเร็จรูป ซึ่งมี ROIC สูงถึงประมาณ 30% หรือจะพูดให้เห็นภาพชัดขึ้นมาอีกซักหน่อยก็คือ ประมาณสองปีกว่าคืนทุน ส่วนกิจการที่มี ROIC ต่ำสุดได้แก่ ธุรกิจสายการบิน คือทำได้แค่ประมาณ 5% หรือ ประมาณเกือบสิบห้าปีคืนทุน
การมองผ่าน ROIC เป็นแค่มุมมองหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายมุม ที่เราควรให้ความสำคัญเช่น Business Life Cycle ของแต่ละอุตสาหกรรมก็ไม่เหมือนกัน Cash Flow ของแต่ละอุตสาหกรรม ก็ไม่เหมือนกัน Net Profit Margin ก็ไม่เหมือนกัน บางธุรกิจ NPM บางเฉียบเป็นมีดโกนเลย แต่สามารถ สร้างรายได้ได้มหาศาล บางธุรกิจ NPM อ้วนพีแต่ตลาดมีจำกัด
นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจที่ทำธุรกิจจริงๆ หรือ นักลงทุนผ่านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หากเข้าใจ “ธรรมชาติ” ที่แตกต่างกันของแต่ละอุตสาหกรรม ย่อมจะช่วยให้เขาเหล่านั้น ทำการเลือกธุรกิจ ก่อนที่จะตัดสินใจจะลงทุนได้ดีขึ้น เรื่องนี้ยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญของหลักคิดในการทำการเปรียบเทียบกิจการที่อยู่ใน ต่างอุตสาหกรรมกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะเซียนที่ชอบ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” ทั้งหลาย