โค้ด: เลือกทั้งหมด
สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวหนึ่งซึ่งฮือฮาพอสมควรคือข่าวเกี่ยวกับการที่ประเทศจีนมีกฎหมายให้ลูกต้องไปเยี่ยมและดูแลพ่อแม่ หากไม่ไปเยี่ยมจะผิดกฎหมาย
จริงๆแล้ว กฎหมายนี้ออกมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2555 ค่ะ กำหนดให้ลูกต้องไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ชราแล้ว คืออายุมากกว่า 60 ปีให้ “บ่อย” แต่ไม่ได้กำหนดว่าบ่อยขนาดไหน
ที่ออกมาเป็นข่าว เพราะมีคุณยายวัย 77 ปีในเมืองอู่ซี่ ฟ้องลูกสาวว่าละเลย ไม่ดูแล เป็นคดีแรก และศาลตัดสินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าให้ลูกสาวไปเยี่ยมแม่เดือนละ 2 ครั้ง และต้องให้เงินช่วยเหลือด้วย
เรื่องนี้มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เรามาดูเหตุผลกันดีกว่าค่ะว่าทำไม่รัฐบาลจีนต้องออกกฎหมายนี้ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้สูงอายุ
ข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวแสดงให้เห็นว่า ประเทศจีน มีประชากรสูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 185 ล้านคน ในปี 2011 จะเพิ่มเป็น 221 ล้านคน ในปี 2015 และจะมีสัดส่วนถึงหนึ่งในสามของประชากรของประเทศ ในปี 2050
องค์การสหประชาชาติคาดว่าในปี 2050 จีนจะมีประชากรสูงวัยเป็นสัดส่วน 29.9% ของประชากร เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากปี 2025 ที่คาดว่าจะมีสัดส่วน 19.5% โดยข้อมูลในปี 2000 จีนมีสัดส่วนประชากรสูงวัย 10.1% เทียบกับปี 1975 ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 6.9%
สัดส่วนของประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้มาจากนโยบายการมีลูกคนเดียว และการที่การสาธารณสุขดีขึ้น อายุเฉลี่ยสูงขึ้น รัฐบาลจีนคงเล็งเห็นถึงภาระในอนาคตที่จะต้องดูแลผู้สูงวัยเหล่านี้ หากลูกหลานไม่ดูแล
ในสมัยก่อน คนจีนถือเป็นชนชาติที่ยึดเอาความกตัญญูเป็นค่านิยมสำคัญที่สุดค่านิยมหนึ่ง แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวถูกทำให้เจือจางลงไประยะหนึ่ง ต้องกลับมาฟื้นฟูใหม่ พอจะมาฟื้นฟู การพัฒนาทางเศรษฐกิจก็กลายเป็นประเด็นสำคัญ คนหนุ่มสาวต้องตะเกียกตะกายทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองท่ามกลางการทำการตลาดที่เข้มข้นของบริษัทผู้ผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ
แน่นอนว่าวัฒนธรรมวัตถุนิยมย่อมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ผู้ขายไม่ว่าจะเป็นสัญชาติไหน ต่างจับจ้องที่จะเอาชนะใจผู้บริโภคจีน เพราะนั่นหมายความว่า จะสามารถขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างมหาศาล
การพัฒนาประเทศเป็นประเทศอุตสาหกรรมทำให้คนหนุ่มสาวต้องละทิ้งบ้านเกิด เดินทางไปทำงานไกลขึ้น เมื่อประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว งานก็หนักขึ้น มีเวลาพักน้อยลง
พ่อแม่กลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ บอกว่าจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก พ่อแม่จำนวนมากอยากเห็นลูกก้าวหน้า ทั้งในเรื่องการเรียนและการทำงาน ยินดีที่จะพบลูกไม่บ่อยเพื่อแลกกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของลูก
หากมองให้ละเอียดลงไปอีกหน่อย กฎหมายนี้ไม่ได้กำหนดว่า “บ่อย” คือบ่อยเพียงใด เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและสถานการณ์ของบุคคลเหล่านี้ และก็ไม่ได้กำหนดโทษด้วย ดิฉันคิดว่าการออกกฎหมายนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้พ่อแม่สามารถยื่นฟ้องลูกต่อศาลได้ หากลูกไม่ดูแล ถ้าเป็นกรณีทั่วไปที่ลูกทำหน้าที่ตามสมควรและพ่อแม่พึงพอใจ ไม่มีการฟ้องร้อง ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะหากมองให้ลึกๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความ “เต็มใจ” ค่ะ ไม่เต็มใจทำก็ไม่มีประโยชน์
เชื่อว่าคุณแม่ที่ฟ้องลูกสาวท่านนั้น คงได้รับเงินเลี้ยงดู และลูกสาวคงต้องไปเยี่ยม เพราะทำตามคำสั่งศาล แต่คงไม่ได้ความสัมพันธ์ของแม่-ลูกที่ดีกลับคืนมา
วัคซีนที่ดีที่สุดในการให้ลูกผูกพันและดูแลพ่อแม่ในยามชรา คือ “ความรัก ความเอาใจใส่ และการเป็นแบบอย่าง”ค่ะ ถ้าลูกเห็นและรู้สึกว่าพ่อแม่ได้ให้ความรักความเอาใจใส่กับตนอย่างเต็มที่เท่าที่สามารถทำได้ และเห็นพ่อแม่กตัญญูให้ความรักความเอาใจใส่แก่ปู่ย่าตายาย อย่างเต็มที่เช่นกัน ลูกก็จะเอาเป็นแบบอย่าง
ดิฉันเคยเขียนในคอลัมน์นี้เมื่อหลายปีก่อนว่า การลงทุนให้ความรักความอบอุ่นดูแลบุตรหลานอย่างดี เป็นการลงทุนที่ “คุ้มค่าที่สุด” เมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นๆในชีวิตค่ะ
สังคมจีน เป็นสังคมที่ถูกออกแบบมาให้ความสนใจเอาใจใส่จากด้านบนลงไปด้านล่าง เนื่องจากกำหนดให้มีลูกคนเดียว เด็กจึงได้รับการเอาอกเอาใจจากทั้ง พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เพราะเป็นทายาทคนเดียวของทั้งหกท่าน
อันที่จริงแล้วลูกต้องถูกสอนให้ตระหนักว่าภาระการดูแลนี้ต้องมาจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนด้วย คือ เมื่อโตขึ้นตนเองมีภาระอันใหญ่หลวงที่จะต้องดูแลผู้สูงอายุหกท่าน หากไม่คอยปลูกฝังความคิดนี้ เมื่อโตขึ้น เขาก็จะยังคงชินต่อการถูกดูแลเอาใจใส่จากรุ่นก่อนๆอยู่
และยิ่งตอนนี้สังคมมีความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น คนมองเห็นแต่ตัวเองมากขึ้น หากไม่เคยปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ค่านิยม”ความกตัญญู” และการตอบแทนบุญคุณ ก็จะเลือนหายไป
คำศัพท์ที่ใช้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและค่านิยมจึงต้องอาศัยเวลา คำว่า”ปลูกฝัง” หรือ cultivate จึงเหมาะสมจริงๆค่ะ ทำเพียงเดือนสองเดือนย่อมไม่ได้ผล ต้องทำกันเป็นสิบๆปี ทำกันเป็นชั่วอายุคนเลยทีเดียวจึงจะปลูกฝังได้
ปลูกฝังให้ลูก “เต็มใจ” ที่จะดูแลพ่อแม่ยามชรา ย่อมดีกว่า “บังคับ”แน่นอนค่ะ แต่ลองคิดดูสิคะว่ารัฐควรจะทำอย่างไรหากมีคนไม่เต็มใจอยู่เป็นจำนวนมาก และรัฐมองเห็นภาระดูแลผู้สูงอายุในสัดส่วน 30% ของประชากรหรือประมาณ 400 ล้านคนรออยู่ในอีก 37 ปีข้างหน้า