หลีกเลี่ยงหายนะจากวิกฤติตลาดหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

หลีกเลี่ยงหายนะจากวิกฤติตลาดหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 8:11 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor           15 กันยายน 2556 
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หลีกเลี่ยงหายนะจากวิกฤติตลาดหุ้น

	สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ  “วิกฤติตลาดหุ้น”  เพราะวิกฤติทำให้หุ้นตกลงมามาก  ผมเองนิยามว่าถ้าดัชนีตลาดลดลงตั้งแต่ประมาณ 40% ขึ้นไปภายในระยะเวลาหนึ่งปี  แบบนี้ผมถือว่าเป็นวิกฤติ   และถ้าเราถือหุ้นไว้เต็มพอร์ต  เราก็อาจจะขาดทุนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ได้ทั้ง ๆ  ที่หุ้นที่เราถืออยู่อาจจะมีพื้นฐานและผลประกอบการที่ยังดีอยู่  อย่างไรก็ตาม  บางครั้งวิกฤติตลาดหุ้นก็ฉุดให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปและการขาดทุนของเราก็อาจจะหนักจนแทบจะเป็น  “หายนะ”  ดังนั้น  หน้าที่หลักอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับผมก็คือ  การพยายามหลีกเลี่ยง  “หายนะ”  ซึ่งรวมถึงหายนะจากภาวะตลาดหุ้น   ว่าที่จริง  ถ้านักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤติตลาดหุ้นได้แล้วละก็  ผมคิดว่าเขาแทบจะไม่ต้องเลือกหุ้นเก่งกาจอะไรเลย   แค่ซื้อกองทุนรวมหุ้น  ถือไว้  แล้วก็ขายหน่วยลงทุนทิ้งเมื่อเห็นว่าตลาดหุ้นจะวิกฤติในระยะประมาณหนึ่งปีข้างหน้า   ทำได้แบบนี้ผลตอบแทนของเขาก็จะดีมากในระดับ  “เซียน”  ผมลองศึกษาคร่าว ๆ  ดูถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นว่าถ้าเราสามารถเลี่ยงหายนะที่เกิดจากวิกฤติตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดมาจนถึงปัจจุบัน  ผลตอบแทนของเราจะเป็นอย่างไร?
	เริ่มตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ในเดือนเมษายน 2518 จนถึงสิ้นปี 2521 เป็นเวลาประมาณ 3 ปีแปดเดือนนั้น  ดัชนีตลาดเพิ่มขึ้นจาก 100 จุดเป็นประมาณ 258 จุด  หรือเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 160%  เท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 29.5%  ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่หุ้นบูมอย่างหนักโดยเฉพาะในช่วงปี 2520 ถึง 2521 ส่วนหนึ่งจากการปั่นหุ้นและการใช้เงินกู้จากบริษัทเงินทุนบางแห่งเช่นราชาเงินทุนมาซื้อหุ้นของตนเองดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงเกินพื้นฐานไปมากในช่วงที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมธุรกิจหลักทรัพย์   ในช่วงปลายปี 2521 นั้น  ถ้านักลงทุนตระหนักว่าตลาดหุ้นกำลังก้าวเข้าสู่วิกฤติและขายหุ้นออกไปหมด  เขาก็จะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติตลาดหุ้นในปี 2522 ที่ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาประมาณ 42% เหลือเพียง 149 จุดในตอนสิ้นปีได้  ในช่วงเกือบ 4 ปีแรกของตลาดหุ้นนั้นเรายังไม่มีกองทุนรวมให้ลงทุนแต่นักลงทุนที่ลงทุนในช่วงนั้นต่างก็ได้กำไรกันโดยไม่ต้องเลือกหุ้น  เขาเพียงแต่อยู่ในตลาดก็พอแล้ว
	สมมุติว่าหลังจากปีวิกฤติ 2522  นักลงทุนนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ในตอนสิ้นปี 2522 หรือต้นปี 2523 ที่ดัชนี 149 จุด  และเขาก็ถือมันไปเรื่อย ๆ  ตราบที่ยังไม่มีสัญญาณวิกฤติรอบใหม่แม้ว่าในช่วงปีแรก ๆ  ตลาดหุ้นจะซบเซามาก  ดัชนีตลาดหุ้นแทบจะไม่ขยับเลยเป็นเวลาติดต่อกันประมาณ 6 ปี  แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ทะยานขึ้นในปี 2529 และพุ่งขึ้นอย่างแรงในปี 2530 ตามตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจนถึงเดือนตุลาคมที่เกิดเหตุการณ์ Black Monday ที่ตลาดหุ้นถล่มทะลายทั่วโลก  อย่างไรก็ตาม  เหตุการณ์แบล็กมันเดย์นั้น  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจไทยเลย  ตลาดไทยเองก็ยังเป็นตลาดปิดที่ต่างชาติไม่สามารถลงทุนได้    ตลาดตกลงมาสั้นมากไม่กี่เดือนก็ปรับขึ้นไปใหม่  และผมคิดว่าหุ้นไทยน่าจะตกไม่ถึง 40%  ไม่ถือว่าเป็นวิกฤติตลาดหุ้น  ดังนั้นเราก็ถือหุ้นต่อไปจนถึงสิ้นปี 2532 ที่ดัชนีปรับขึ้นไปเป็น 770 จุด  เราตัดสินใจขายหุ้นไปเพราะเราเชื่อว่าตลาดหุ้นจะเกิดวิกฤติหลังจากที่มันปรับตัวขึ้นไปเกือบ 100%  ตั้งแต่ต้นปี 2532  ผลตอบแทนที่เราได้คือประมาณ 17.9%  ทบต้นเป็นเวลาถึง 10 ปี
	ตลาดหุ้นไทยวิกฤติและตกลงมาถึงเกือบ 50% ในช่วงปี 2533 ผลจากการที่อิรักเข้ายึดคูเวตซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันสำคัญของโลก  พอถึงสิ้นปี 2533 เราก็เริ่มกลับเข้าไปลงทุนที่ดัชนี 613 จุด   ในช่วงต้น ๆ  เราก็ประสบกับปัญหาทางการเมืองมากมายเช่นการปฏิวัติและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535  อย่างไรก็ตามเราไม่คิดว่ามันจะกระทบกับตลาดหุ้นมากมายอะไร  แต่ข้อดีหลังจากนั้นก็คือ  ประเทศไทยหลังจากนั้นเราได้นายกที่มาจากการเลือกตั้งที่เน้นทางด้านของการพัฒนาเศรษฐกิจ  ทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นปีละกว่า 10% ติดต่อกันถึง 3 ปี  ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น  “ฟองสบู่”  เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นไปสูงสุดถึง 1750 กว่าจุดในปี 2537  แต่เราก็ยังไม่ขายเนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังดีอยู่มากประมาณไม่ต่ำกว่า 7-8% ต่อปี อานิสงค์จากการลงทุนของเอกชนที่กู้เงินต่างประเทศเข้ามามากมาย  อย่างไรก็ตาม  ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวลงมา 25- 30%  ในช่วงปี 2537-2538  พอถึงสิ้นปี 2538  เราก็เริ่มเห็นว่าเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะไปต่อได้เนื่องจากการขาดดุลการค้าที่สูงมาก  สินค้าส่งออกของไทยไม่สามารถแข่งขันได้เนื่องจากค่าเงินบาทที่ถูกผูกติดกับเงินดอลลาร์  เราจึงขายหุ้นไปที่ดัชนี 1281 จุด เพื่อเลี่ยงภาวะวิกฤติ  ผลตอบแทนที่ได้คือ  15.9% ต่อปีแบบทบต้นในเวลา 5 ปี
	ในปี 2539 และ 2540 เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ  เงินสำรองของประเทศหมดและเราต้องเข้าขอความช่วยเหลือจาก IMF  ต้องบอกว่าเรา “ล้มละลาย” ผลจากการใช้เงินเกินตัวของภาคธุรกิจเอกชนและความผิดพลาดของหน่วยงานการเงินของรัฐโดยเฉพาะแบงค์ชาติ  ปี 2539 ดัชนีตกลงไปจากจุดสูงสุดประมาณ 41% ปี 2540 ที่มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท  ดัชนีตกลงไปอีก 55%  พอถึงสิ้นปี  เราตัดสินใจเข้าไปลงทุนในหุ้นอีกครั้งที่ดัชนี 373 จุด ภายในเวลา 2 ปี หุ้นฟื้นขึ้นมาเป็น 482 จุด แต่เราก็รู้สึกว่าปัญหาต่าง ๆ  โดยเฉพาะระบบสถาบันการเงินยังไม่สามารถแก้ไขได้ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากหายนะ  เราจึงขายไปได้ผลตอบแทน 13.7% ทบต้น    วิกฤติตลาดหุ้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงในปี 2543 ทำให้ดัชนีลดลงจาก 482 เป็น 269 เมื่อสิ้นปี 2543  เป็นการลดลงถึง 44% และเช่นเคย  เราคิดว่าเป็นโอกาสที่จะลงทุนในยามที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุด
	เริ่มต้นจากปี 2544  ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ  ฟื้นตัว  การแก้ปัญหาของบริษัทต่าง ๆ  และสถาบันการเงินคืบหน้าไปเรื่อย ๆ  เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ค่อย ๆ  ปรับตัวขึ้น  พอถึงปี 2546 ไทยก็ประกาศใช้หนี้คืน IMF  ก่อนกำหนด  ทุกอย่างดูสดใสทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่มีความมั่นคงเนื่องจากเราได้รัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนสูง  ดัชนีในปีนั้นปรับขึ้นไปถึง 117%  แต่หลังจากนั้นเพียง 2-3 ปี  ประเทศไทยก็เกิดปัญหาการชุมนุมประท้วงเรียกร้องทางการเมืองอย่างรุนแรงซึ่งนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549  อย่างไรก็ตาม  หุ้นก็ไม่ได้ถูกกระทบอะไรมากนักเช่นเดียวกับทุกครั้งจนมาถึงปี 2551 ที่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐและลามไปทั่วโลกทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมา 47.5% แต่นี่เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถคาดได้แน่เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีปัญหาอะไร  ราคาหุ้นเองก็ไม่แพงเลย  ดังนั้น  เราไม่ได้ขายหุ้นเลยและยังคงถือมาตลอดจนถึงวันนี้ที่ดัชนีประมาณ 1400 จุด คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณ  13.9% ในช่วงเวลา 12 ปี 8 เดือน นับเป็นผลตอบแทนของตลาดที่ดีเยี่ยมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทย
	จาก “ตุ๊กตา”  ที่ผมตั้งขึ้นว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงหายนะส่วนใหญ่ของวิกฤติตลาดหุ้นได้  ถ้านำภาพเหล่านั้นมาต่อกัน  ก็คำนวณได้ว่า  ผลตอบแทนจากการลงทุนจะได้ผลตอบแทนทบต้นสูงถึงประมาณ 17% ต่อปี  เป็นเวลาลงทุนประมาณ 33 ปี  เงินต้น 100 บาทจะกลายเป็น 19,500 บาท  ถ้าคิดรวมปันผลปีละประมาณ 3% ต่อปี จะได้ว่าผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นเท่ากับ 20% เงิน 100 บาทจะกลายเป็นประมาณ 43,000 บาท หรือโตขึ้น 430เท่า ในเวลาประมาณ 33 ปี โดยไม่ต้องเลือกหุ้นลงทุนเลย
	ในชีวิตจริงคงไม่ง่ายที่จะหลีกเลี่ยงจากหายนะของวิกฤติตลาดหุ้นได้ง่ายนัก  อย่างไรก็ตาม  สำหรับนักลงทุน  โดยเฉพาะคนที่เลือกจะเป็นนักลงทุนผู้มุ่งมั่นที่จะเลือกหุ้นเองนั้น  หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่เรามักจะไม่ค่อยพูดถึงก็คือ  การหลีกเลี่ยงหายนะจากการลงทุน  โดยเฉพาะจากวิกฤติตลาดหุ้น  เพราะเรา  “ไม่สามารถคาดการณ์ตลาด” ได้  อย่างไรก็ตาม  การตระหนักว่านี่คือความเสี่ยงจะช่วยให้เราเลือกการลงทุนได้ดีขึ้น  นั่นก็คือ  หากเกิดวิกฤติตลาดหุ้นขึ้น  พอร์ตของเราจะเป็นอย่างไร?  หายนะตามตลาดหรือไม่?  ถ้าใช่ เราก็อาจจะต้องเปลี่ยนตัวหุ้นลงทุน
[/size]



ตอบกลับโพส