จับคู่วิเคราะห์หุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

จับคู่วิเคราะห์หุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ พ.ย. 17, 2013 8:56 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor        16 พฤศจิกายน  2556
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จับคู่วิเคราะห์หุ้น

	ในการวิเคราะห์หุ้นเพื่อที่จะหาว่าตัวไหนน่าลงทุนหรือไม่นั้น  ในบางครั้งผมก็มักจะดูข้อมูลของบริษัทสองแห่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและอาจจะแข่งขันกันด้วย  เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลด้านต่าง ๆ  ทั้งทางด้านเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ   การหาหุ้นที่คล้ายคลึงกันนั้น  บางครั้งก็ง่ายเนื่องจากทั้งสองบริษัททำธุรกิจแบบเดียวกันและมีฐานลูกค้าใกล้เคียงกัน  ตัวอย่างเช่น  บริษัททั้งสองต่างก็เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำและมีฐานลูกค้าที่เป็นคนมีรายได้สูงและชาวต่างประเทศ   หรืออีกตัวอย่างหนึ่งอาจจะเป็นธุรกิจที่เป็นเครือข่ายโรงแรมชั้นนำและขายอาหารภัตตาคารและจานด่วนหลากหลาย  เป็นต้น  แต่ในหลาย ๆ  กรณีการที่จะหาคู่บริษัทที่จะมาเปรียบเทียบก็อาจจะไม่ง่ายนัก  ในกรณีแบบนี้ผมก็มักจะหาทางเปรียบเทียบแบบอื่น ๆ   แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะใช้ในการ  “ปิดท้าย”  การวิเคราะห์แบบจับคู่ก็คือเรื่องของมูลค่าของกิจการที่ตลาดให้กับแต่ละบริษัท  นั่นก็คือ  ดูว่า Market Cap. ของแต่ละบริษัทเป็นเท่าไร  สมเหตุผลหรือไม่?  โดยทั่วไปผมจะดูว่าหุ้นตัวไหนน่าจะถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกันทุกด้านแล้ว   จากนั้นก็อาจจะตัดสินใจ  บางครั้งก็อาจจะไม่เลือกทั้งสองตัว  บางครั้งเลือกตัวที่เด่นและคุ้มค่ากว่า  น้อยครั้งที่จะเลือกทั้งสองตัว   วิธีการจับคู่วิเคราะห์หุ้นนี้  ที่จริงคนที่ใช้เป็นเรื่องเป็นราวก็คือ  เบน  เกรแฮม ที่เขียนไว้ในหนังสือ The Intelligent Investor อันโด่งดังนั่นเอง
	ถ้ามีบริษัทที่คล้ายกันอยู่แล้ว  การวิเคราะห์แบบจับคู่ก็ง่าย  เริ่มต้นนั้นผมจะดูที่ความสามารถในการแข่งขันก่อน  สิ่งที่ผมจะพิจารณาก็คือ  บริษัทไหนแน่หรือเก่งกว่ากันซึ่งก็จะต้องดูว่าอะไรเป็นปัจจัยที่สำคัญของการแข่งขันในธุรกิจ   เช่นถ้าเป็นเรื่องของโรงพยาบาล  แน่นอนว่าความสามารถหรือชื่อเสียงของแพทย์ก็ต้องเป็นเรื่องสำคัญ  นอกจากนั้นเรื่องของสถานที่และอุปกรณ์รวมถึงการบริการก็มีความสำคัญเป็นลำดับตามกันมา  เสร็จแล้วผมก็จะให้เรทติ้งว่าใครเหนือกว่าใครและเหนือกว่ามากไหม   จากนั้น  ผมก็จะต้องวิเคราะห์ตัวเลขผลประกอบการต่าง ๆ  ที่ผ่านมาเพื่อที่จะ “ยืนยัน”  ว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นจริงไหม  โดยปกติ  ผลประกอบการเช่น  อัตราการทำกำไรเมื่อเทียบกับยอดขายก็มักจะเป็นตัวบอกถึงความเข้มแข็งทางด้านการตลาดหรือความสามารถในการแข่งขันได้พอสมควร
	นอกจากการวิเคราะห์สิ่งที่เป็นอยู่แล้ว  ผมยังต้องดูถึงอนาคตว่าบริษัทไหนจะดีขึ้นหรือแย่ลงโดยเปรียบเทียบ  สิ่งสำคัญก็คือ  เราจะต้องดูถึงกลยุทธ์ที่แต่ละบริษัทใช้ในการแข่งขันและการเติบโต  ดูว่าสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นนั้น  ใครกำลังโดดเด่นและใครกำลังถดถอย  ข้อมูลชิ้นนี้มีความสำคัญไม่น้อยโดยเฉพาะถ้าบริษัทหนึ่งโดดเด่นขึ้นในแง่ของการขายและการตลาดและแสดงออกให้เห็นจากผลประกอบการในช่วงเร็ว ๆ  นี้ที่ดีขึ้นมากกว่าคู่เทียบอย่างเห็นได้ชัด  เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าอย่างแท้จริงในอนาคต
	หลังจากการวิเคราะห์ตัวกิจการหรือบริษัทแล้ว  สิ่งที่เราจะต้องดูต่อไปก็คือ  ราคา  นั่นก็คือ  ดูว่าค่า PE ค่า PB  อัตราผลตอบแทนปันผล   Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัท  และอื่น ๆ  ที่จะบอกว่าหุ้นตัวไหนคุ้มค่ามากกว่ากัน   ในกรณีที่ใช้ค่า PE เป็นตัวดูความถูกแพง  ผมก็จะเปรียบเทียบ “คุณภาพ” กับ “ราคา”  หรือค่า PE ว่าแต่ละตัวเป็นอย่างไร  ถ้าคุณภาพสูงกว่าแต่ค่า PE ต่ำกว่า  แบบนี้ก็ชัดเจนว่าผมคงจะเลือกมัน  แต่ถ้าพบว่าคุณภาพสูงกว่าแต่ค่า PE ก็สูงกว่าด้วย  ในกรณีแบบนี้  เราก็ต้องใช้วิจารณญาณว่า  คุณภาพสูงกว่าแค่ไหน  และ PE สูงกว่าแค่ไหน ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่จะบอก  เพราะนี่เป็นศิลปะและก็คงต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน   เป็นไปได้สูงเหมือนกันที่บางทีเราก็บอกไม่ใคร่ได้ว่าตัวไหนดีกว่า
	นอกจากการใช้ PE แล้ว  ผมก็มักจะต้องพิจารณาถึงมูลค่าตลาดของหุ้นว่าบริษัทไหนมากกว่ากันและมากเท่าไร  นี่เป็นการดูแบบ  “ภาพใหญ่”  ว่า  หุ้นที่เปรียบเทียบกันนั้น  ใครมีค่ามากกว่ากันและมากกว่าเท่าไร   ถ้าพบว่าบริษัทหนึ่งที่มีคุณภาพด้อยกว่าหรือพอ ๆ  กันและมีขนาดของธุรกิจใกล้เคียงกันแต่กลับมีมูลค่าตลาดสูงกว่ามาก  แบบนี้ผมก็อาจจะมองได้ว่าหุ้นอีกตัวหนึ่งน่าสนใจกว่าและควรจะเป็นตัวเลือกถ้าเราจะลงทุนระยะยาว
	ในกรณีของหุ้นที่หาคู่วิเคราะห์เปรียบเทียบกับคู่แข่งไม่ได้เนื่องจากไม่มีบริษัทที่ใกล้เคียงในด้านของอุตสาหกรรมและขนาดที่เหมาะสม  การจับคู่วิเคราะห์สำหรับผมก็มักจะเน้นไปทางด้านของ Market Cap. เสียเป็นส่วนใหญ่  ในกรณีแบบนี้บ่อยครั้งก็มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือค่อนข้างใหญ่ที่ธุรกิจหรือยอดขายของบริษัทนั้นมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม  บางบริษัทอาจจะเกือบผูกขาดด้วยซ้ำ   หลักคิดของผมก็คือ  ถ้าอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่บริษัททำนั้น  เป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่หรือจะใหญ่มากในอนาคต  บริษัทที่ใหญ่หรือยิ่งใหญ่ก็จะต้องมีมูลค่าตลาดที่มากตาม  แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้น  เราอาจจะบอกได้ยาก  ดังนั้น  วิธีที่ดีกว่าก็คือ  เปรียบเทียบกับอีกบริษัทหนึ่งที่ใหญ่หรือยิ่งใหญ่แบบเดียวกัน   แต่อยู่ในอีกธุรกิจหนึ่งที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศเราเหมือนกัน  พูดง่าย  ๆ  เปรียบเทียบกับบริษัทที่มีมูลค่าพอ ๆ  กัน –ข้ามอุตสาหกรรม
	ถ้าบริษัทที่เราดูอยู่นั้น  อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่น่าจะโตเร็วกว่ามากและจะโตไปอีกมากจนมีขนาดที่ใหญ่กว่าอีกอุตสาหกรรมหนึ่งมาก    โอกาสที่บริษัทจะมีมูลค่าในอนาคตที่สูงกว่าบริษัทที่เราเปรียบเทียบก็จะมาก   ดังนั้น  เราก็จะบอกว่าหุ้นตัวนี้น่าจะมีมูลค่าสูงกว่าหุ้นอีกตัวหนึ่งโดยเปรียบเทียบ  และถ้าให้เราเลือกที่จะลงทุน  เราก็คงเลือกบริษัทนี้
	การเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรมนั้น  เป็นเรื่องที่ทำไม่ง่าย  ส่วนใหญ่แล้วเราก็จะเห็นไม่ชัดว่าหุ้นที่เราดูอยู่นั้นถูกหรือไม่  แต่ในบางครั้ง  เราก็อาจจะพบว่าหุ้นบางตัวมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่นที่มีคุณสมบัติทางด้านการแข่งขันในตลาดพอ ๆ กันแต่มีศักยภาพที่จะเติบโตน้อยกว่ามาก  ในกรณีแบบนี้  หน้าที่เราก็คือ  ซื้อหุ้นและก็ถือไว้ให้ยาวนาน  ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคาด  หุ้นก็จะปรับตัวขึ้นจนมี Market Cap. หรือมีมูลค่าตลาดของหุ้น  “สมกับศักดิ์ศรี”  ของมัน
	การจับคู่  หรือบางทีจับหุ้นหลายตัวโดยเฉพาะที่มีธุรกิจคล้ายคลึงกัน  มาวิเคราะห์ร่วมกันนั้น  ผมคิดว่าเป็นการวิเคราะห์เสริมที่มีประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว  ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ  มันช่วยให้เราเข้าใจบริษัทมากขึ้นไปอีกจากการวิเคราะห์หุ้นตัวเดียว  มันทำให้เรารู้ว่าคุณภาพของหุ้นดีระดับไหนและมันแพงหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบกับอีกตัวหนึ่ง  ตัวอย่างง่าย ๆ  เช่น  ถ้าเราอยากซื้อหุ้นแบงค์ขนาดใหญ่  เราก็ควรศึกษาเทียบกับแบงค์ใหญ่ที่คล้ายกัน  เช่นเดียวกัน  ถ้าเราอยากซื้อแบงค์เล็ก  เราก็ควรต้องเปรียบเทียบกับแบงค์เล็กด้วยกัน  และบางทีเราก็อาจจะเปรียบเทียบกับแบงค์ใหญ่ไปด้วย  หรือถ้าเราต้องการซื้อหุ้นบันเทิง “ครบวงจร”  เราก็ควรจะเปรียบเทียบกับหุ้นอีกตัวหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน  เช่นเดียวกับหุ้นที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เราสามารถจะเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนเพราะพวกเขาทำธุรกิจที่ใกล้เคียงกันมากและแข่งขันกันตลอดเวลา   ถ้าจะสรุปก็คือ  หุ้นจำนวนมากนั้น  หาคู่ที่จะมาเปรียบเทียบได้เสมอ  และ VI ผู้มุ่งมั่นก็ควรจะทำทุกครั้งที่มีโอกาส
[/size]



ตอบกลับโพส