นิยามความรวยแบบ VI/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

นิยามความรวยแบบ VI/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » พุธ ม.ค. 08, 2014 4:25 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor         5 มกราคม 57
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นิยามความรวยแบบ VI

	ผมได้อ่านบทความของคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ซีอีโอ ของบริษัท CPALL ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้เรื่อง  “นิยามความรวยแห่งศตวรรษใหม่”  ซึ่งพูดถึงเรื่องของคนรวยจีนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ถูก  “เยาะเย้ย” ว่า  “ขาดรสนิยม ขาดความรู้และขาดวัฒนธรรม”  เพราะ  “มีแต่เงิน”  ในบทความนั้นบอกว่า  การมีแต่เงินนั้นไม่เพียงพอที่จะบอกว่าเป็นคนรวยได้  คนรวยแห่งศตวรรษใหม่นั้นยังต้องมีอีกหลายอย่างที่ผมจะอ้างถึงต่อไป  นอกจากนั้น  ผมก็จะเสริมหรือเพิ่มเติมความเห็นของผมว่า  คนรวยที่แท้จริงนั้นควรจะทำตัวอย่างไรถึงจะมีความสุข   และในฐานะที่เป็นคนรวยด้วยการลงทุนแบบ VI นั้น  เราทำได้มากน้อยแค่ไหน?
	ข้อแรกที่คุณก่อศักดิ์พูดถึงก็คือ  คนรวยจะต้องมีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขในครอบครัว  ไม่ใช่คุณพ่อวางมาดผู้ยิ่งใหญ่คอยดุลูก ๆ ให้กลัวจนตัวลีบเหมือนคนรุ่นก่อน  สำหรับเรื่องนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง  เพราะนี่คือความสุขที่เงินไม่สามารถซื้อได้  ครอบครัวที่มีความหรรษากลมเกลียวกันดีและพ่อแม่ลูกสามารถพูดจาหยอกล้อกันได้อย่างสนุกสนานโดยที่ไม่ต้อง  “วางมาด” นั้น  ผมคิดว่าเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์  หมดยุคแล้วที่พ่อจะต้องเป็นคนเคร่งขรึม  มีอำนาจเด็ดขาด   เป็นคนสั่งให้คนในบ้านทำสิ่งนั้นสิ่งนี้  บ้านที่จะมีความสุขที่ดีควรจะเป็นบ้านที่ปกครองแบบ  “ประชาธิปไตย”  ที่คนในบ้านต่างก็มีสิทธิมีเสียงที่จะออกความเห็นและตัดสินใจร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ  ในกรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันก็ควรจะต้องตามเสียงส่วนใหญ่  ในขณะเดียวกันก็ต้องเคารพเสียงส่วนน้อย   การใช้ความเป็นพ่อหรือแม่หรือการ “ใช้เงิน”เพื่อมาบังคับให้สมาชิกในบ้านปฏิบัติตามนั้น  มักจะทำให้เกิดความเครียดหรือความไม่สบายใจและทำให้เสียงหัวเราะน้อยลง
	คนที่รวยนั้น  หลายคนประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหรือการบริหารที่ต้องจัดการเรื่องคนค่อนข้างมาก  จึงอาจจะทำให้ “ติดนิสัย”  ชอบสั่งการหรือบริหารคนอื่น  เช่นเดียวกัน  การที่ต้องมีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในแวดวงของธุรกิจและการงานมากมายก็อาจจะทำให้ต้อง  “วางมาด” และก็อาจจะติดนิสัยเช่นเดียวกัน  ดังนั้น  คนรวยเหล่านี้อาจจะต้อง “ปรับตัว”  เวลากลับมาที่บ้าน  อย่างไรก็ตาม  สำหรับคนที่รวยด้วยการลงทุนแบบ VI แล้ว  ดูเหมือนว่า  เขาน่าจะมีปัญหาน้อยที่จะ “เล่นหัว” กับลูก  หรือหยอกล้อกับคู่ครองโดยไม่รู้สึกขัดแย้งในใจ
	ข้อสอง  คนรวยศตวรรษใหม่ควรมีเวลาสำหรับครอบครัว  ญาติมิตร และสังคม  นี่ก็เป็นสิ่งที่คนรวยอาจจะขาดแคลน  เหตุผลก็คือคนรวยส่วนใหญ่นั้น  มักจะเกิดจากการทำธุรกิจหรือการทำงานอย่างหนักจนกลายเป็นผู้บริหารระดับสูง  ดังนั้น  พวกเขามักจะมีแต่เวลาทำงานแต่ไม่ใคร่มีเวลาให้กับครอบครัว  ญาติมิตรและสังคม  ในประเด็นนี้  ผมคิดว่าคนรวยควรที่จะต้องจำกัดเวลาการทำงานให้พอเหมาะและกันเวลาโดยเฉพาะสำหรับครอบครัว  ญาติมิตร  และสังคมให้เหมาะสม  ตัวอย่างเช่น  การอุทิศเวลาในวันหยุดให้กับครอบครัว  การเสียสละเวลาให้กับงานทางสังคม  เช่น  การสอนหนังสือหรือการทำงานเพื่อสังคมอย่างอื่นในระดับที่เหมาะสม  เป็นต้น  ซึ่งสำหรับ VI แล้ว  มักจะไม่มีปัญหาเลย  เพราะเรามักจะมีเวลา  “เหลือเฟือ”
	ข้อสาม  คนรวยศตวรรษใหม่ต้องใช้เงินเป็น  ไม่ใช่เอาแต่สะสมแต่ปล่อยให้ตัวเองและครอบครัวอยู่อย่างแร้นแค้น  ข้อนี้ก็คือกรณีของคนที่ตระหนี่เกินไป   มีเงินแล้วไม่ยอมใช้เลย  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  ไม่ยอมให้คนในครอบครัวใช้จ่ายตามควรแก่อัตภาพด้วย  ถ้าเป็นอย่างนี้  การมีเงินก็ไม่มีประโยชน์จะเป็นคล้าย ๆ  กับ  “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์”  คนรวยนั้น  จริง ๆ  แล้วผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยหรูหราเกินเหตุ  แต่ก็ควรจะใช้เท่าที่มันจะทำให้เราและครอบครัวมีความสะดวกสบายและมีความสุข  “เท่าที่เงินจะซื้อได้”  แต่ต้องไม่พยายาม  “หาหรือสร้างความสุขด้วยเงิน”  ความหมายก็คือ  อย่าคิดหาวิธีใช้เงิน  เพราะนี่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
	ข้อสี่  คนรวยศตวรรษใหม่นั้น  ต้องรู้จักชื่นชมความงามแห่งชีวิตและท่องเที่ยวพักผ่อน  พูดง่าย ๆ  ถ้ามีเงินก็ควรต้องท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ  ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมของโลก  ชื่นชมกับธรรมชาติที่แปลกตาในประเทศต่าง ๆ   เช่นเดียวกัน  การชมการแสดง  กีฬาและการละเล่นต่าง ๆ  ที่เป็นความงดงามหรือแสดงออกถึงความสามารถระดับสูง  ก็เป็นสิ่งที่คนรวยควรทำ  นี่เป็นเรื่องที่เราให้ “รางวัลชีวิต” กับตัวเองเมื่อเราสามารถทำเงินมากและประสบความสำเร็จในชีวิต
	ข้อห้า  คนรวยในศตวรรษใหม่จะต้องรู้จักชื่นชมและยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น  อย่าอิจฉาริษยา   และอย่าพยายามเปรียบเทียบความมั่งมีกับคนอื่น  เหตุผลของผมก็คือ  การทำอย่างนั้นรังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์  เพราะเราจะไม่มีวันพอใจกับสิ่งที่มีแม้ว่ามันจะมากจนเหลือใช้แล้ว  เราต้องเข้าใจว่าแต่ละคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกันมากตั้งแต่เกิด  เรามีความสามารถในแบบที่ไม่เหมือนกัน  เช่นเดียวกัน  แต่ละคนก็  “มีโชค”  ไม่เท่ากัน  ดังนั้น  การเปรียบเทียบกันจึงไม่มีประโยชน์  จงพยายามเข้าใจว่า  เงินที่ได้มาโดยสุจริตนั้นเป็น  “ผลพลอยได้”  จากการทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสังคมโลกของเศรษฐกิจในปัจจุบัน    ถ้าเรารวยก็หมายความว่าสังคมได้ตอบแทนการทำงานของเราเป็นอย่างดี  และถ้าคนอื่นจะร่ำรวยแบบเดียวกัน  สิ่งที่เราควรทำก็คือ  “อนุโมทนา”  
	ข้อหก  ซึ่งเป็นความเห็นของผมเองนั้น  ผมคิดว่าคนรวยในนิยามนั้น   ควรที่จะต้องเคารพและให้เกียรติคนอื่นเท่า ๆ  กับที่อยากเห็นคนอื่นให้เกียรติกับตนเอง  พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ  เห็นว่าทุกคนมี  “ศักดิ์ศรี”  เท่า ๆ  กัน  ไม่ว่าเขาจะมีเงินน้อยกว่าหรือมากกว่าเราแค่ไหน   นี่เป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ผมประสบกับตัวเองนั่นก็คือ  ผมเคยจนไม่มีเงินเลยมาก่อน  เช่นเดียวกับไม่มีสถานะอะไรในทางสังคม  และผมก็ได้พบปะกับผู้คนที่ร่ำรวยและมีสถานะที่สูงส่งกว่ามาก  เวลาผ่านไป  ผมมีฐานะดีขึ้นเรื่อย ๆ  และมากขึ้นเรื่อย ๆ  และมากกว่าคนที่เคยร่ำรวยกว่าผม   เช่นเดียวกัน  สถานะทางสังคมของผมก็เปลี่ยนไปในทางที่สูงกว่าคนที่สถานะสูงที่ผมรู้จัก  ทั้งหมดนั้นมันเคยดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้แต่มันก็เป็นไปแล้ว   นี่ทำให้ผมรู้สึกว่าทุกสิ่งเปลี่ยนไปได้   ไม่มีใครเหนือกว่าใครหรือมีศักดิ์ศรีมากกว่ากันจริง ๆ   ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  ทุกคนมีโอกาสรวยและประสบความสำเร็จได้เท่า ๆ  กัน  ไม่มีใครด้อยกว่าใครโดยเฉพาะคนที่มีความพยายามมาก  ซึ่งผมจะให้เกียรติเสมอ
	สุดท้าย  สำหรับคนรวยในศตวรรษนี้ก็คือ  เราก็ควรจะต้องรู้จักแบ่งปัน  นี่คือการให้กับคนอื่นซึ่งในความเห็นผมนั้น  ควรจะเริ่มต้นจากญาติที่ใกล้ชิดถ้าพวกเขายังขาดแคลน  ต่อมาก็คือคนที่ด้อยโอกาสหรือคนที่ขาดแคลน  การให้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงินแต่อาจจะเป็นแรงงานหรือการเผยแพร่ความรู้ก็ได้ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าด้วยซ้ำ  ประเด็นสำคัญก็คือ  มันไม่ควรจะเป็นเรื่องของการให้เพื่อผลทางการประชาสัมพันธ์หรือหน้าตาที่ไม่ได้เกิดผลอะไรกับผู้รับมากนักอย่างที่คนรวยรุ่นเก่าอาจจะทำกันอยู่แล้ว
[/size]



ตอบกลับโพส