โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความ Value Way กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
“หุ้นไทยในสภาวะฉุกเฉิน”
จากการชุมนุมใหญ่เพื่อต่อต้านรัฐบาลหลายจุดในกรุงเทพฯ ที่มีต่อเนื่องมาเป็นเวลาพอสมควร ผนวกกับการที่รัฐบาลประกาศสภาวะฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ และบางพื้นที่ในจังหวัดใกล้เคียง ทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีความกังวลใจกับสภาวะที่เกิดขึ้น
เนื่องจากพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นถือว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจของเมืองไทย เมื่อตกอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม และส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากความกังวลของนักลงทุน
แต่ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ถ้าพิจารณาดูให้ดีจะพบว่า บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์นั้นไม่ได้จำกัดขอบเขตของการดำเนินธุรกิจอยู่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และไม่ได้จำกัดกลุ่มลูกค้าอยู่เฉพาะคนกรุงเทพฯ
ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่มีสาขากระจายอยู่ในหลายๆ ภูมิภาค หรือหลายๆ จังหวัด เช่น ธนาคาร-สถาบันการเงิน, ศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง, โรงภาพยนตร์, โรงแรม, โรงพยาบาล, ภัตตาคาร-ร้านอาหาร, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านหนังสือ, ร้านเครื่องสำอาง เป็นต้น
ธุรกิจที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคประเภท Mass Product ซึ่งมีลูกค้าทั่วประเทศ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร, เครื่องดื่ม, เสื้อผ้าและเครื่องประดับ, ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน, ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ เป็นต้น
ธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสารที่มีผู้ใช้บริการในวงกว้าง เช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ, ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ธุรกิจสื่อสารมวลชนที่มีกลุ่มผู้ติดตามทั่วประเทศ เช่น สถานีโทรทัศน์, ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์, ผู้ผลิตรายการวิทยุ, ผู้ผลิตหนังสือพิมพ์-นิตยสาร-สื่อสิ่งพิมพ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกหลายบริษัทที่ไม่ได้จำกัดขอบเขตของการดำเนินธุรกิจอยู่เฉพาะในประเทศไทย เช่น ธุรกิจส่งออก รวมถึงธุรกิจที่ไปเปิดบริษัทย่อย-บริษัทร่วมทุน หรือเปิดสาขาอยู่ที่ต่างประเทศ
การที่ธุรกิจสามารถขยายขอบเขตของการดำเนินธุรกิจไปได้ในวงกว้างดังที่ได้กล่าวมา ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีประการหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งประสบปัญหา การดำเนินธุรกิจในพื้นที่อื่นๆ ก็ยังช่วยให้กิจการเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด และรายได้จากพื้นที่อื่นๆ ยังอาจช่วยชดเชยรายได้ของพื้นที่ๆ มีปัญหาได้ ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี
ท่ามกลางสภาวะวิกฤติทางการเมืองเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวลดลงต่ำกว่าสภาวะปกติ ในขณะที่กิจการหลายกิจการยังสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investor ในการเลือกลงทุนในหุ้นบางตัวที่ราคาลดต่ำลงจนมีความคุ้มค่าที่จะลงทุนในระยะยาวได้
สิ่งที่จะต้องทำก็คือ พิจารณาให้ดีว่า บริษัทไหนจะมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจผ่านสภาวะวิกฤติได้ดี สามารถรักษาอัตราการเติบโต หรืออัตราการทำกำไรไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดีเมื่อสภาวะวิกฤติผ่านพ้นไป