การจัดการความเสี่ยง: โจทย์หลักของทศวรรษต่อไป/วิวรรณ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

การจัดการความเสี่ยง: โจทย์หลักของทศวรรษต่อไป/วิวรรณ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.พ. 10, 2014 1:27 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	ปัญหาช่องว่างของรายได้และความเหลื่อมล้ำไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาทั่วโลก อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาเนื่องจากการพัฒนาเปิดให้คนมีโอกาสในการยกระดับความเป็นอยู่ 
	แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถใช้โอกาสที่เปิดกว้างนี้ได้ บางคนใช้ได้มาก บางคนใช้ได้น้อยขึ้นอยู่กับศักยภาพ หรือบางคนเข้าไม่ถึงโอกาสเลย  การหวังที่จะเห็นถึงความเท่าเทียมกันจึงเป็นเพียงอุดมคติ และความจริงที่เกิดขึ้นคือมีความเหลื่อมล้ำ
	ถ้าอย่างนั้น ไม่พัฒนาจะดีกว่าไหม  คำตอบคือ ไม่ดีค่ะ ถ้าไม่พัฒนาก็ยิ่งจะไม่มีเทคโนโลยีมาทำให้เกิดผลผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ไม่มีรายได้มาซื้อหาของที่เราผลิตเองไม่ได้ และที่สำคัญคือ ไม่สามารถยกระดับความเป็นอยู่และการสาธารณสุขให้ชีวิตมีความปลอดภัยจากอันตราย จากโรคภัยไข้เจ็บและจากภัยธรรมชาติ
	สรุปแล้ว ถึงไม่พัฒนาทุกคนก็ไม่เท่าเทียมกันอยู่ดี แต่จะจนมากจนน้อยก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพ 
	ในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสาธารณสุขรวมถึงการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ประชากรของโลกหลุดพ้นจากความยากจน มีชีวิตความเป็นอยู่และสุขอนามัยที่ดีขึ้นจำนวนมาก และคนเหล่านี้สามารถสร้างสรรค์ให้เกิดพัฒนาการอื่นอย่างต่อเนื่อง
	หากผู้ที่มีโอกาสและมีศักยภาพสามารถเข้าใจถึงความโชคดีของตนเองและสามารถจัดการให้เกิดการแบ่งปัน เผื่อแผ่ การอุดหนุน ช่วยเหลือ ให้แต้มต่อกับผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า แก่ผู้ที่มีศักยภาพน้อยกว่า สังคม ประเทศชาติ และโลกย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน
	ใน World Development Report 2014 ธนาคารโลกมองว่าในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ทุกทวีปในโลกมีการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปทางเศรษฐกิจ การพัฒนาปฏิรูปทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการมีส่วนร่วมในประชาธิปไตย กันอย่างมากมายกว้างขวาง แม้จะยังมีประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำอยู่ แต่โลกที่ประสบกับการสะดุดทางเศรษฐกิจมาหลายทศวรรษ กำลังจะฟื้นตัวและเติบโตในระยะต่อไป
	อย่างไรก็ดี แม้ผู้คนหลายร้อยล้านครอบครัวจะสามารถหลีกหนีจากความยากจนและปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น แต่ความเสี่ยงในโลกนี้ก็ยังมีอยู่มาก ทั้งที่เป็นความเสี่ยงเดิมและความเสี่ยงใหม่ โดยแนะนำกระบวนการบริหารความเสี่ยง 5 ประการดังนี้
1.	รับความเสี่ยงเท่าที่จำเป็นเพื่อใช้โอกาสในการพัฒนา ทั้งนี้ความเสี่ยงของการไม่ทำอะไรเลยอาจเป็นความเสี่ยงที่แย่ที่สุด
2.	เพื่อเผชิญกับความเสี่ยงได้อย่างได้ผล จำเป็นต้องปรับกระบวนการเผชิญความเสี่ยงจาก การไม่วางแผน และการตั้งรับความเสี่ยงโดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไปเป็นการจัดการความเสี่ยงแบบมองล่วงหน้า และบริหารความเสี่ยงในองค์รวมอย่างเป็นระบบ
3.	การระบุความเสี่ยงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต้องมีการระบุ ประเมิน จัดลำดับความสำคัญ ของการไม่ดำเนินการ(จัดการความเสี่ยง) และอุปสรรคต่างๆด้วย ทั้งในภาครัฐและเอกชน
4.	ในการบริหารความเสี่ยงที่เกินกว่าที่บุคคลจะดูแลได้เองโดยลำพังนั้น ต้องมีการทำและรับผิดชอบร่วมกันในระดับต่างๆของสังคม ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับนานาชาติ
5.	รัฐบาลมีบทบาทสำคัญยิ่งในการบริหารความเสี่ยงของระบบ โดยการให้และก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแบ่งบทบาทที่ทำและความรับผิดชอบ และจัดให้มีการช่วยเหลือโดยตรงไปยังผู้ได้รับผลกระทบ
เหตุการณ์ภัยธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้นกลายเป็นความเสี่ยงที่กระทบต่อระบบเช่น สึนามิ แผ่นดินไหว
อาหารแพง ทำให้ผู้คน ชุมชนและหลายประเทศ เกิดความเสียหาย และความไม่สงบ
	ความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่งซึ่งส่งผลกระทบต่อคนหรือครัวเรือน ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เช่นหางานทำไม่ได้เพราะทักษะไม่พอ การเจ็บป่วยของคนในครอบครัวซึ่งเป็นกำลังหลักในการหารายได้ อาจส่งผลไปถึงความรุนแรงทางสังคมได้
	ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงประเภทใด แต่ผลกระทบก็สามารถลุกลามไปทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ความเชื่อมั่น และกระทบต่อความมั่นคงของสังคมได้
	ธนาคารโลกยังได้จัดกลุ่มการเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงของประเทศต่างๆในโลก โดยไทยเราได้ระดับกลางเท่ากับเวียดนาม และศรีลังกา ในขณะที่รัสเซีย จีน สิงคโปร์ และมาเลเซียถือว่าอยู่ในกลุ่ม 20% ที่สอง ที่มีการจัดการความเสี่ยงได้ดี และสหรัฐอเมริกา ยุโรปที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิแรตส์ อยู่ในกลุ่ม 20% แรกที่มีการจัดการความเสี่ยงได้ดีที่สุด
	ในการบริหารความเสี่ยง ธนาคารโลกได้กล่าวถึงหน่วยต่างๆในสังคมที่จะช่วยรับมือ บรรเทาเยียวยา และทำให้กลับสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว โดยหน่วยแรกที่มีความสำคัญที่สุดคือ ครัวเรือน เมื่อสมาชิกในครอบครัวร่วมกันแก้ไขปัญหา จะทำให้ปัญหาเบาลงทั้งในด้านความเจ็บป่วย การงาน การเงิน การพึ่งพากัน 
โดยนโยบายของรัฐที่จะช่วยให้การจัดการความเสี่ยงในระดับครัวเรือนเป็นไปได้ดีขึ้น คือให้การประกันขั้นพื้นฐาน เช่น ประกันสังคม ประกันสุขภาพ ประกันการว่างงาน (สำหรับผู้พอจะมีฐานะบ้างจะทำการประกันภาคสมัครใจ) ให้ความคุ้มครอง เช่นคุ้มครองสิทธิต่างๆ การให้บริการสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรค และการให้ความรู้และข้อมูลที่ทันสมัยแก่ประชาชนอยู่ตลอดเวลา ผ่านช่องทางต่างๆทั้งโรงเรียน สื่อ และการอบรม
	ส่วนในระดับชุมชนนั้น นโยบายของรัฐสามารถให้ความช่วยเหลือทางรายได้ต่อชุมชนได้ ให้วงเงินค้ำประกัน และออกกฎหมายมิให้มีการกีดกันกลุ่มชนต่างๆ พร้อมกับให้ความรู้โดยให้เสรีภาพแก่สื่อ
	สำหรับระดับถัดไปคือระดับองค์กร นโยบายภาครัฐที่สามารถทำได้คือ สนับสนุนให้สามารถปรับค่าจ้างและเวลาทำงานที่เหมาะสม สนับสนุนให้มีการเข้าถึงสินเชื่อและตลาดทุน ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ให้การศึกษาและจัดงานให้เหมาะสมกับทักษะ
	ถัดมาคือ ภาคการเงิน นโยบายรัฐที่สามารถทำเพื่อให้เผชิญกับความเสี่ยงได้เช่น การคุ้มครองเงินฝาก ค้ำประกันการกู้ยืม การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ การคุ้มครองผู้บริโภค การบังคับทำประกัน(เช่น รถ) มีระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม การเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน มีเกณฑ์ในการดูแลเศรษฐกิจมหภาคที่ดี มีการเก็บข้อมูลเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ ให้การศึกษาทางการเงินอย่างมีเป้าหมาย และมีระบบการเตือนภัยล่วงหน้า
ระดับสุดท้ายคือการจัดการความเสี่ยงของเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งการสนับสนุนจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และการมีวงเงินฉุกเฉินจะช่วยในการรับมือกับปัญหา ส่วนนโยบายที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายคือการมีนโยบายการเงินเพื่อป้องกันวิกฤติไว้ล่วงหน้าหรือนโยบายการเงินสวนวัฏจักร (ซึ่งเขาสำรวจว่าไทยเราทำแล้วค่ะ)
นโยบายการป้องกันความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจมหภาคจะรวมถึง ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง การทำนโยบายการเงินโดยตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ การมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น มีนโยบายการเงินที่โปร่งใส การเปิดเผยความเสี่ยงทางการเงิน และปรับปรุงการเก็บข้อมูลและใช้ข้อมูลต่างๆให้ดี 
	ความเสี่ยงเป็นได้ทั้งภัยคุกคามและโอกาส เมื่อเราต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมายที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้าทั้งภัยธรรมชาติที่รุนแรง โรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ ภัยทางเศรษฐกิจ ภัยทางสังคม  ในฐานะที่เรามีข้อได้เปรียบที่ประเทศตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีความอุดมสมบูรณ์ คนไทยเราน่าจะมาร่วมแรงร่วมใจกันบริหารจัดการความเสี่ยง และพลิกให้เป็นโอกาส เพื่อความรุ่งเรืองวัฒนาของประเทศในอนาคตค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส