คำถามสร้างวิสัยทัศน์/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

คำถามสร้างวิสัยทัศน์/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ เม.ย. 07, 2014 11:05 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

"You've got to think about big things while you're doing small things, so that all the small things go in the right direction."
								-- Alvin Toffler

"ในระหว่างที่ทำในสิ่งเล็กๆ ท่านต้องคิดถึงภาพใหญ่ เพื่อทำให้สิ่งเล็กๆที่ทำทั้งหมด ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง"
--อัลวิน ทอฟเลอร์

สวัสดีค่ะ สัปดาห์นี้ขอเริ่มที่ประโยคของอัลวิน ทอฟเลอร์ เพื่อเตือนใจผู้ที่กำลังทำงานในด้านนโยบายต่างๆว่า ต้องมองภาพใหญ่ก่อนจึงจะมาดำเนินการเรื่ององค์ประกอบต่างๆ เนื่องจากได้รู้เห็น ได้อ่าน สิ่งที่ผู้คนในบ้านเมืองเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ
หากเรายึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวมและภาพรวมของประเทศเป็นหลัก ความเห็นและมาตรการหลายๆอย่างที่มีการเสนอแนะควรจะต้องตกไป จึงไม่อยากให้ดำเนินนโยบายด้านใดด้านหนึ่งโดยมีจุดมุ่งหมายเฉพาะตัวและไม่คำนึงถึงผลกระทบในภาพรวม
ขอยกตัวอย่างเล็กๆตัวอย่างหนึ่งเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน การท่องเที่ยวของประเทศเราซบเซาลงเพราะมีความไม่สงบทางการเมืองมาเป็นเวลาหลายปี พอจะดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องถอยกลับอยู่ร่ำไป จึงมีผู้เสนอว่า หากต้องการให้มีนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยมากๆก็ยกเว้นให้คนจีนไม่ต้องขอวีซ่าเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยเสียสิ คนจีนมีตั้ง 1,300กว่าล้านคน มาเที่ยวแค่ 1% ก็เท่ากับ 13 ล้านคนแล้ว
คิดแบบนี้ง่ายเกินไปค่ะ เท่าที่รับทราบมา แม้ต้องมีวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าประเทศไทย คนจีนที่ลักลอบเข้ามา มาแต่งงาน หรือสวมชื่อคนตาย เข้ามาทำงานตั้งรกรากในไทยก็มีจำนวนมากมายแล้ว มากวาดซื้อคอนโดมิเนียมราคาแพงของเราจนโควตาผู้ซื้อชาวต่างประเทศหมดไปหลายตึกๆ  หากเราปล่อยให้เขาสามารถเข้ามาท่องเที่ยวโดยเสรี เห็นทีเขาจะเข้ามาครอบครองประเทศเราได้โดยง่าย
ผู้ดูแลนโยบายทั้งหลายควรจะคำนึงถึงผลกระทบให้รอบด้าน ถามคำถามประเภท “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า....” ให้เยอะๆ  เวลาจะมีนโยบายอะไร ขอให้ใช้จินตนาการและมองโลกในแง่ร้ายให้มากๆ เพื่อจะได้พิจารณาอย่างครบถ้วน และศึกษาดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นในองค์กร หรือประเทศอื่นด้วย
ทักษะการถามคำถามเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเพื่อการเรียนรู้ หรือเพื่อการทำงาน การถามคำถามที่ถูกต้อง ถูกจังหวะ ทำให้ได้ข้อมูลที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพและยังอาจทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์อื่นๆอีกมากมาย เช่น ก่อให้เกิดความเข้าใจในระหว่างกันและกันเพิ่มขึ้น เสริมสร้างสัมพันธภาพในทางและชีวิตส่วนตัว เป็นต้น
ดิฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “คำถามฉุกคิด เปลี่ยนชีวิตทั้งคนถามและคนตอบ” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Power Questions” เขียนโดย Andrew Sobel และ Jerold Panas แปลโดย พรรณี ชูจิรวงศ์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 180 บาท ได้ข้อคิดและตัวอย่างของการตั้งคำถามดีๆมาหลายข้อ
ในบทนำของหนังสือเล่มนี้บอกว่า “คำถามสำคัญกว่าคำตอบ”  “คำถามที่ดีจะท้าทายกระบวนการคิด มันช่วยปรับเปลี่ยนและขยับกรอบให้เราเห็นปัญหาในแง่มุมใหม่” โดยมีตัวอย่างคำถามพลิกสถานการณ์ 33 คำถาม
ดิฉันขอยกตัวอย่างคำถามในกลุ่ม “ย้อนถามเพื่อให้ได้ข้อมูล หรือเรียนรู้เกี่ยวกับคู่สนทนาหรือลูกค้ามากขึ้น” ดังนี้
“คุณอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรา” 
“คุณคิดอย่างไร”
“คุณเริ่มต้นอย่างไร”
“ทำไมถึงทำสิ่งที่ทำอยู่”

มีคำถามอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งช่วยให้เรารวบรวมกระบวนความคิด และหลายๆครั้งในระหว่างรวบรวม เราจะได้คำตอบของคำถามไปเองในตัว (ดิฉันรวบยอดสรุป ไม่ได้ถ่ายทอดมาทุกอักษร) โดยไม่ต้องให้คำแนะนำ  คำถามกลุ่มนี้ อาจใช้วิธีการของโสเครติส คือแทนที่จะบอกกับผู้ร่วมสนทนา จะใช้วิธีตั้งคำถาม และเชิญชวนให้ช่วยกันคิดแก้ไขแทน เช่น
“เรื่องนี้จะส่งผลถึงเป้าหมายของเรา หรือจะต่อยอดให้กับธุรกิจ หรืองานของเราได้อย่างไร”
“คุณรู้สึกว่า ควรตัดสินใจแบบไหนถึงจะเหมาะที่สุดสำหรับคุณ”

สำหรับธุรกิจขายสินค้าและบริการ การจะอยู่รอดได้ สินค้าและบริการของเราต้องมีความหมายต่อลูกค้า คำถามที่ควรจะถามก็คือ
“ผู้ซื้อมีปัญหาหรือโอกาสที่ใหญ่พอ (สำหรับธุรกิจของเรา) หรือไม่”
“ผู้ซื้อเป็นเจ้าของปัญหาหรือเปล่า”(ถ้าไม่ใช่ อาจจะขายได้ยาก หรือใช้เวลานานในการตัดสินใจ)
“ผู้ซื้อไม่พอใจสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือไม่”
“ผู้ซื้อเชื่อมั่นว่าเราเหมาะกับงานนั้น / สินค้าของเราเหมาะสมมากที่สุดหรือไม่”

สำหรับหัวหน้างาน บ่อยครั้งที่ลูกน้องทำงานไม่ได้ดังใจ แทนที่จะต่อว่า อาจจะเลี่ยงไปใช้คำถามว่า “ทำดีที่สุดแล้วใช่ไหม” เพราะโดยส่วนใหญ่ หากเขาคิดว่ายังไม่ได้ทำให้ดีที่สุด เขาจะกลับไปทำต่อให้ดีกว่านี้ และหากเขาคิดว่าใช่แล้ว ก็แปลว่าดีที่สุดที่เขาจะทำได้แล้วค่ะ
เนื่องจากผู้เขียนทั้งสองเป็นนักพูดนักเขียนและเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรใหญ่ๆ มุมมองในการใช้คำถามเหล่านี้จึงมองในมุมของที่ปรึกษาหรือผู้บริหาร หัวหน้างาน ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน แต่มีบทหนึ่งที่เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว คือคำถามที่สามีถามภรรยาที่เสียสละออกจากงานมาดูแลลูก และกำลังจะว่างเพราะลูกๆโตกันหมดแล้ว โดยคำถามนี้เขาได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนที่เพิ่งจดทะเบียนหย่ากับภรรยามาหมาดๆ คำถามนั้นคือ “ความฝันของคุณคืออะไร”
เมื่อผู้บริหารระดับสูงท่านนี้ถามคำถามนี้กับภรรยา เธอถึงกับน้ำตาคลอเบ้า และกล่าวว่า สามีไม่เคยถามคำถามแบบนี้กับเธอเลย ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เริ่มจืดจางลง ดีขึ้น
ว่างๆอาจจะลองหามาอ่านดูนะคะ
[/size]



ตอบกลับโพส