ประเมินขนาดของจีดีพีโลกโดยไอเอ็มเอฟ/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ประเมินขนาดของจีดีพีโลกโดยไอเอ็มเอฟ/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ เม.ย. 21, 2014 5:13 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เศรษฐกิจไทยนั้นตัวเลขทุกตัวที่เกี่ยวกับอุปสงค์ภายในตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกดีขึ้นเล็กน้อย

และเนื่องจากอุปสงค์ภายในตกต่ำมากทำให้การนำเข้าของไทยปรับตัวลงอย่างมาก ไทยจึงกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัด แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพเพราะการไหลเข้าของเงินจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินทุนไหลเข้ามาซื้อหุ้นและพันธบัตรของไทย การเข้ามาซื้อหุ้นนั้นอาจสรุปได้ว่าเป็นการคาดการณ์ของตลาดว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะถูกปลดก็ไม่เป็นไรเพราะอาจมีความเชื่อว่าจะสามารถตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลางมาทำหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น การคาดการณ์ส่วนใหญ่ยังมองว่าจีดีพีไทยจะขยายตัว 2.5% เนื่องจากจีดีพีไทยน่าจะขยายตัวน้อยมากในครึ่งแรกของไทย (เพราะมีปัญหาการเมืองและไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศ) ดังนั้น ในครึ่งหลังจึงมีความหวังว่าจีดีพีจะโตได้ 4-5% เพราะหวังว่าจะมีรัฐบาลที่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผลตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป ซึ่งภัทรเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เราจึงคาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัวเพียง 1.1% ในปี 2014

แต่ครั้งนี้ผมอยากเขียนเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในระยะยาวตามที่ไอเอ็มเอฟได้คาดการณ์เอาไว้ กล่าวคือ ไอเอ็มเอฟประเมินจีดีพีของทุกประเทศในปี 2014 และในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งมีข้อมูลน่าสนใจที่ผมนำสรุปในตารางที่ 1

จีดีพีรวมของ 178 ประเทศที่ไอเอ็มเอฟประเมินปัจจุบันมีขนาด 76.78 ล้านล้านดอลลาร์ โดยที่ 10 อันดับแรกมีจีดีพีรวมกัน 62.1 ล้านล้านดอลลาร์ (81% ของจีดีพีทั้งโลก) แสดงให้เห็นว่ารายได้ของโลกนั้นกระจุกตัวอย่างมาก กล่าวคือ 0.56% ของจำนวนประเทศมีรายได้เกือบ 81% ของรายได้ทั้งหมดของโลก ทั้งนี้ประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดคือสหรัฐ มูลค่า 17.53 ล้านล้านบาท (22.8%) ตามด้วยจีน ญี่ปุ่นและประเทศหลักในยุโรปรวมทั้งบราซิลและอินเดีย ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จีดีพีของรัสเซียนั้นมูลค่าเพียง 2.09 ล้านล้านดอลลาร์ (2.73%) เท่าๆ กับอิตาลี แต่รัสเซียกำลังขับเคี่ยวกับสหรัฐและยุโรป ซึ่งจีดีพีรวมกันเกือบ 30 ล้านล้านหรือมากกว่ารัสเซียเกือบ 15 เท่า

หากดูการคาดการณ์จีดีพีใน 5 ปีข้างหน้าจะมีข้อสรุปหลัก ดังนี้

1. จีดีพีของ 10 ประเทศหลักมีสัดส่วนลดลงจาก 81% ในปี 2014 มาเหลือ 70.4% ในปี 2019 เพราะสัดส่วนของประเทศพัฒนาแล้ว (สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น) ลดลงจาก 44.4% เป็น 32.4%

2. สหรัฐยังเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกคิดเป็นสัดส่วน 21.9% ในปี 2019 (22.4% ในปี 2014) แต่ก็ยังนำเบอร์ 2 คือจีนอยู่มาก กล่าวคือจีดีพีจีนจะมีสัดส่วน 14.7% ต่อจีดีพีโลกในปี 2019 (13.06% ในปี 2014)

3. ประเทศที่จีดีพีโตเร็วที่สุดในกลุ่ม 10 ประเทศแรกคืออินเดียที่สัดส่วนต่อจีดีพีโลกเพิ่มจาก 2.6% เป็น 3.07% ทำให้ปรับอันดับขึ้นจากที่ 10 มาเป็นที่ 7 ในปี 2019 สูงกว่าบราซิล อิตาลีและรัสเซีย

4. ประเทศกลุ่ม BRIC ขยายตัวได้ดี ทำให้สัดส่วนต่อจีดีพีโลกเพิ่มจาก 21.4% ในปี 2014 มาเป็น 23.17% ในปี 2019 ใหญ่กว่าจีดีพีสหรัฐ รัสเซียเป็นประเทศเดียวใน BRIC ที่สัดส่วนจีดีพีต่อจีดีพีโลกลดลง

ในส่วนของประเทศหลักในอาเซียนนั้น ลำดับขนาดจีดีพีในปี 2014 กับ 2019 เป็นไปตามตารางที่ 2

หากไอเอ็มเอฟคาดการณ์ถูกต้อง ไทยจะถูกลดอันดับลงจากการเป็นประเทศที่จีดีพีใหญ่เป็นที่ 2 ในอาเซียนมาเป็นที่ 4 ถูกแซงโดยมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงหากมองในอดีตจะเห็นว่าปัญหาการเมืองน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ฉุดให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าประเทศหลักอื่นๆ ในอาเซียน

กล่าวคือก่อนที่ไทยมีปัญหาการเมือง (ปี 2000-2005) จีดีพีไทยขยายตัวเท่ากับจีดีพีประเทศอาเซียนหลักอื่นๆ แต่ตั้งแต่ 2006 เป็นต้นมาจีดีพีไทยขยายตัวต่ำกว่าประเทศอาเซียนอื่นมาก โดยเฉพาะในช่วง 2011-2013 ที่ไทยขยายตัวต่ำกว่าอาเซียนอื่น เฉลี่ยกว่า 2% ต่อปีจึงไม่น่าแปลกใจหากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกประเทศไทยจะต้องถูกประเทศอื่นๆ ในอาเซียนแซงหน้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
[/size]



ตอบกลับโพส