The Lewis Turning Point/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

The Lewis Turning Point/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ พ.ย. 03, 2014 10:47 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น  การคาดการณ์ได้ถูกต้องว่าประเทศที่ตนเองลงทุนนั้น  จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตอย่างไรนับว่ามีประโยชน์มาก  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  จะได้รู้ว่าบริษัทจดทะเบียนที่เราจะลงทุนนั้นจะมีการเติบโตเร็วขึ้นหรือช้าลงและอาจจะหยุดโตเมื่อไรตามภาวะเศรษฐกิจ  นอกจากนั้น  ประเทศหรือสังคมที่เศรษฐกิจไม่โตนั้น  โอกาสก็ยากที่ดัชนีหุ้นของประเทศจะปรับตัวขึ้นไปได้มาก  ตัวอย่างของตลาดหุ้นในยุโรปและญี่ปุ่นที่ไม่ไปไหนมานานตามภาวะเศรษฐกิจที่โตน้อยมากมานานย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดี  ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างไร?  เรื่องนี้ผมคิดว่าโมเดลของ Arthur Lewis นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล  ที่ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องของการพัฒนาทางเศรษฐกิจตั้งแต่ 60 ปีที่แล้วสามารถจะอธิบายได้ดี

    แนวความคิดของ Lewis ก็คือ  ในสังคมที่มีคนอยู่ในสองภาค  ภาคหนึ่งคือสังคมแบบ “ทุนนิยม” เช่นในเมืองหลวงหรือเมืองท่าขนาดใหญ่  กับอีกภาคหนึ่งคือสังคมแบบ  “พออยู่พอกิน”  เช่นในชนบทหรือในต่างจังหวัดที่ห่างไกลนั้น  กระบวนการการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะเริ่มต้นโดยที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือธุรกิจสามารถที่จะลงทุนขยายงานโดยที่มี  “แรงงานส่วนเกินที่ไม่จำกัด”  จากชนบท  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าแรงเพิ่ม  นี่ทำให้ธุรกิจมีกำไรดีกว่าปกติและกำไรที่ได้ก็นำไปลงทุนขยายงานเพิ่มโดยที่สามารถดึงคนจากชนบทมาทำงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่ม  กระบวนการนี้ทำให้ประเทศพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเศรษฐกิจทุนนิยมสมัยใหม่  จุดที่แรงงานในภาคพออยู่พอกินถูก “ดูดซับ” ไปหมดและการลงทุนเพิ่มต่อไปจะทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นนั้นก็คือจุดที่เรียกว่า  “Lewis Turning Point” (LTP)

    ณ. จุด LTP นั้น  ค่าแรงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  การหาแรงงานจะยากขึ้นมาก  อุตสาหกรรมที่ต้องจ่ายค่าแรงสูงขึ้นนั้นจะทำให้การลงทุนมีความคุ้มค่าน้อยลงเพราะผลตอบแทนจะต่ำลงส่งผลให้การขยายการลงทุนของประเทศลดลง  ผลก็คือ  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะชะลอลงกว่าที่เคยเป็นมาก  การที่จะทำให้ประเทศเจริญเติบโตต่อไปนั้น  ก็จะต้องอาศัยแรงงานใหม่นั่นก็คือ  คนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นแรงงานใหม่  แต่โดยปกติมันมักจะไม่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเหมือนกับการเคลื่อนย้ายคนจากภาคเกษตรในต่างจังหวัดอยู่แล้ว  อีกวิธีหนึ่งก็คือ  การเพิ่ม Productivity หรือผลิตภาพของแรงงานให้มีความสามารถในการทำงานสูงขึ้นซึ่งอาจจะใช้การเพิ่มสัดส่วนของเครื่องจักร  เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน  และอื่น ๆ  ซึ่งรวมถึงการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ  ที่มีคุณค่าสูงขึ้น  อย่างไรก็ตาม  เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ  เหมือนกับการดึงคนที่มีค่าแรงต่ำจากภาคเกษตรมาทำงาน

    ประเทศที่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่ามีการพัฒนาทางเศรษฐกิจตรงกับโมเดลของ Arthur Lewis ก็คือจีน  ส่วนตัวผมเชื่อว่าประเทศไทยเองก็เป็นแบบเดียวกัน  ว่า  เศรษฐกิจของเรากำลังมุ่งเข้าสู่  “จุดกลับของลิวอิส” หรือ LTP  ซึ่งหมายความว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอาจจะช้าลงเมื่อเทียบกับอดีต  “อย่าถาวร”  สิ่งที่ทำให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นก็คือ  ในปัจจุบันการหาแรงงานของไทยนั้นยากขึ้นมากจนเราต้องนำเข้าแรงงานจากเพื่อนบ้านจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  ค่าแรงเองก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเร็ว ๆ  นี้  และว่ากันว่าในชนบทของไทยนั้น  เวลานี้มีแต่คนแก่กับเด็ก  อัตราการว่างงานของไทยนั้นต่ำมากจนแทบเป็นศูนย์  ส่วนคนหนุ่มสาวต่างก็เข้ามาทำงานในเมืองกันหมด  ประเทศจีนเองนั้นก็มีอาการแบบเดียวกันที่ค่าแรงปรับตัวขึ้นสูงจากที่เคยต่ำมากจนเวลานี้สูงกว่าค่าแรงของไทยไปแล้ว

    ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ  Demography หรือโครงสร้างประชากรของทั้งจีนและไทยนั้นต่างก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการที่ประชากรวัยทำงานจะเพิ่มขึ้น  มีการศึกษาและพบว่าประชากรในวัยทำงานทั้งของจีนและไทยนั้นจะเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็จะลดลง  คาดการณ์กันว่าอาจจะภายในปี 2020-2025 หรือประมาณ 6-11 ปี จีนก็อาจจะถึงจุด LTP ส่วนของไทยเองนั้น  ผมก็คิดว่าไม่ต่างกันมาก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นและไม่มีการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นเช่นการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพของแรงงาน  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศก็จะช้าลงมาก

    โครงสร้างประชากรของจีนนั้น  กล่าวกันว่ามีความผิดเพี้ยนไปอย่างแรงตรงที่มีนโยบาย “ลูกคนเดียว” มานานซึ่งทำให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ในช่วงเวลานั้นมีน้อยลงไปมาก  แม้ว่าในขณะนี้เริ่มจะมีการปรับในบางเขตของประเทศ  ก็ไม่น่าจะทันกาล  ส่วนของไทยเองนั้น  การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคน “รุ่นใหม่” ทำให้เรามีลูกน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด   ผมดูตัวเลขประชากรของไทยกับของจีนแล้วปรากฏว่าต่างก็มีโครงสร้างประชากรใกล้เคียงกันมากทั้ง ๆ  ที่เราไม่ได้มีนโยบายลูกคนเดียวแบบจีน  นั่นคือ เรามีเด็กอายุ 0-14 ปี 17.6% ในขณะที่จีนมี 17.1%  อายุ 15-24 ปี เรามี 15% ในขณะที่จีนมี 14.7%   ในด้านของคนสูงอายุ  ตั้งแต่ 55-64 ปี  เรามี 10.9% ขณะที่จีนมี 11.3%  และคนที่เกษียณแล้วที่ 65 ปีขึ้นไป  เรามี9.5% ในขณะที่จีนมี 9.6%  ว่าที่จริงทั้งไทยและจีนต้องบอกว่าเรากำลังเป็นสังคม  “คนแก่” ของเอเซียในขณะที่  “คู่แข่ง” ของเราในอาเซียนเองนั้น  ต่างก็ยังเป็นสังคมของคน  “หนุ่มสาว”

    ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่น่าจะ  “เด็ก”  ที่สุด เพราะมีเด็กอายุไม่เกิน 14 ปีสูงถึง 33.7% ของประชากรหรือเกือบเท่าตัวของไทยในขณะที่คนแก่อายุเกิน 65 ปี ที่เกษียณแล้วมีแค่ 4.5% หรือน้อยกว่าครึ่งของไทย  ลองลงมาคือมาเลเซียที่มีเด็ก 28.8%  และคนแก่แค่ 5.5%  ตามด้วยอินโดนีเซีย ที่มีเด็ก 26.2% และคนแก่ 6.5%  ทั้งหมดนั้นน่าจะมาจากเรื่องของศาสนาที่ห้ามคุมกำเนิดทำให้มีประชากรเกิดมาก  ส่วนเวียตนามซึ่งไม่ได้มีข้อห้ามคุมกำเนิดเองก็ค่อนข้างเป็นสังคมคนหนุ่มสาวมีเด็ก 24.3% และคนแก่เพียง 5.7%  ในส่วนของสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  แม้ว่าโดยรวมยังอ่อนกว่าไทยเล็กน้อย  แต่ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างฮวบฮาบ  ปัจจุบันมีคนแก่ 8.5% แต่มีเด็กเพียง 13.4%  เท่านั้น  ทำให้สิงคโปร์ต้องรนณรงค์ให้คนมีลูกมากขึ้น

    ประเทศคู่แข่ง-และ “คู่ค้า”  ที่อยู่รอบบ้านเรานี้  กำลังมาแรงในด้านของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  พวกเขายังห่างจากจุด LTP มาก  ว่าที่จริงหลายประเทศเพิ่งจะเริ่มพัฒนาทางเศรษฐกิจและอาศัยแรงงานที่มีค่าแรงถูกที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด  ไทยเองใกล้หรืออาจจะถึงจุด LTP แล้ว  ดังนั้น  การที่จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อไปจึงต้องการแรงงานเพิ่มซึ่งในปัจจุบันก็คือแรงงานต่างด้าวเป็นหลัก  เพราะเป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มคนโดยการกระตุ้นให้คนไทยมีลูกมากขึ้นหรือเปิดรับคนเข้าเมืองแบบ อเมริกาหรือออสเตรเลีย  นอกจากนั้น  การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดเนื่องจากมันจะช่วยสร้างความ “อยู่ดีกินดี” ของประชาชนอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ตาม  นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมันต้องอาศัยการศึกษาที่ดีของประชากรและอื่น ๆ  อีกมากรวมถึงการจัดการและลงทุนในด้านของสาธารณูปโภคต่าง ๆ  ซึ่งก็ต้องอาศัยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมองการณ์ไกล  ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไทยยังไม่พร้อมนัก 

    ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  ผมคิดว่าเมืองไทยเองนั้น  เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่จะ “รวม”  เป็นเออีซีในปีหน้า  เราคงเสียเปรียบ  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเราคงสู้ไม่ได้  และผลที่ตามมาก็คือ  ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็อาจจะไม่ดีนัก  อย่างไรก็ตาม  บริษัทจดทะเบียนไทยที่สามารถรุกเข้าไปในเออีซีก็อาจจะเติบโตได้ดีและรุ่งเรืองได้ทั้ง ๆ  ที่เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่โดดเด่นนัก  นอกจาก “ซุปเปอร์สต็อก”  เหล่านั้นแล้ว   อีกวิธีหนึ่งที่จะอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวก็คือ  เข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านั้นโดยตรง
[/size]



ตอบกลับโพส