อนาคตเศรษฐกิจไทย : ก้าวต่อไป (1)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

อนาคตเศรษฐกิจไทย : ก้าวต่อไป (1)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ พ.ย. 10, 2014 3:39 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

อนาคตเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นนั้นดูจะไม่ค่อยสดใสมากนักและการประเมินก้าวต่อไปก็เป็นเรื่องยากเพราะมีความไม่แน่นอนสูงทั้งในและนอกประเทศทั้งนี้ผมจะขอแบ่งการประเมินเป็นระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยในวันนี้ผมจะขอกล่าวถึงการประเมินในระยะสั้น ซึ่งเป็นช่วงที่พยายามขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

จะเห็นว่ามีการคาดหวังกันสูงว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างปลอดโปร่งหลังการยึดอำนาจที่ทำให้การเมืองสงบและรัฐบาลจะเป็นแกนนำในการกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัว โดยการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณตั้งแต่เริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ (1 ต.ค. 2014) เป็นต้นไป แปลว่ามีความคาดหวังว่าเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2 ของปี 2014 นี้และจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 3 แต่จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนและต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป

แต่สภาวการณ์ปัจจุบันเริ่มทำให้เป็นห่วงว่าเศรษฐกิจไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นตัวแม้จะล่วงเข้าถึงปลายเดือนตุลาคมแล้วก็ตาม (ซึ่งเป็นช่วงที่ส่งมอบบทความนี้) ตัวอย่างเช่นผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 64 คน (ภาครัฐ 33 คน เอกชน 21 คนและสถาบันการศึกษา 10 คน) ในช่วง 9-21 ต.ค. 2014 พบว่า

1. ความเชื่อมั่นในการบริโภคเอกชน การลงทุนเอกชนและการส่งออกยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากคือ 23.81, 19.84 และ 12.70 ตามลำดับ ทั้งนี้ 50 หรือสูงกว่าเป็นระดับที่มีการขยายตัว ภาคการบริโภค การลงทุนและการส่งออกนั้นมีสัดส่วนประมาณ 55%, 20% และ 65% ของจีดีพีตามลำดับ กล่าวคือเป็น 3 ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทย

2. ปัจจัยที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่ามีแนวโน้มดีขึ้นและตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ แต่ก็ยังอยู่ที่ 42.62 หรืออยู่ในช่วงหดตัว ซึ่งผมเชื่อว่าการดำเนินการยังไม่ได้คืบหน้ามากนักเพราะงบประมาณปี 2015 เพิ่งผ่านสภาและการโยกย้ายและแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงทั้งในภาครัฐและรัฐวิสาหกิจก็เพิ่งกระทำเสร็จสิ้นไปไม่นาน อย่างไรก็ดีผมมีข้อสังเกตว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลนั้นมีสัดส่วนเพียง 20% ของจีดีพีและการตั้งงบประมาณปี 2015 ก็กำหนดการขาดดุลเอาไว้เพียง 2% ของจีดีพี แต่ก็มีความเชื่อมั่นในบางกลุ่มว่ารัฐบาลปัจจุบันที่มีอำนาจเต็มจะสามารถสั่งการให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ในทันที รวมทั้งหากจำเป็นจะต้องการเร่งการใช้จ่ายและ/หรือต้องการเพิ่มรายจ่ายและการขาดดุลงบประมาณก็จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

3. ความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับจากจุดต่ำสุดที่ 21.33 ในเดือนเมษายนมาเป็น 29.37 ในเดือนตุลาคม แต่ก็ยังเป็นระดับต่ำ (แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวจากต่างประเทศแล้วก็ตาม) ส่วนหนึ่งเพราะมีปัญหาการฆาตกรรมนักท่องเที่ยวซึ่งกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศและการที่ยังไม่มีการยกเลิกกฎอัยการศึก ดังนั้น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวน่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า ที่สำคัญคือการท่องเที่ยวนั้นก็น่าจะมีสัดส่วนเพียง 10% ของจีดีพีเท่านั้น

แต่หากจะมองโลกในแง่ดีก็อาจเชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดีในปี 2015 เพราะเหตุผล 4 ประการคือ

1. การส่งออกซึ่งปีนี้จะไม่โตเลยก็น่าจะขยายตัวได้ 4-5% ในปีหน้าซึ่งเป็นเป้าของทางการ แต่จะเห็นว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเราคาดการณ์การขยายตัวของการส่งออกดีเกินไปมาตลอด ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงว่าการส่งออกอาจจะขยายตัวต่ำกว่าคาดอีกก็ได้ หากตรงนี้คาดการณ์ผิดก็น่าจะทำให้การคาดการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมผิดพลาดได้ เพราะการส่งออกเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดจึงมีความสำคัญที่สุดต่อการฟื้นตัว

2. ภาครัฐให้ความหวังว่าในไตรมาส 4 จะได้มีการเร่งใช้งบประมาณช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากการจ่ายเงินให้กับชาวนาข้าวและชาวไร่สวนยาง ตลอดจนการระดมใช้เงินจัดสัมมนาและการทำโครงการระยะสั้นเช่นการปรับปรุงโรงพยาบาลและโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออกก็น่าจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2015

3. ในส่วนของการลงทุนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจนั้นก็ได้มีการสั่งการให้รีบเร่งการจัดทำ TOR ให้แล้วเสร็จและได้รับความเห็นชอบภายในปลายปีนี้ เพื่อให้สามารถเปิดประมูลงานได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในไตรมาสแรกของปี 2015 โดยคาดหวังว่าหาก 20-30% ของบลงทุนที่ค้างคามาจากปีก่อนหน้าบวกกับงบลงทุนบางส่วนของปีนี้ ซึ่งมูลค่าใกล้ 3 แสนล้านบาท สามารถให้เอกชนประมูลไปได้ตามเป้าหมายก็จะเป็นการกระตุ้นความมั่นใจโดยรวมและขับเคลื่อนให้ภาคเอกชนต้องเร่งลงทุนควบคู่ไปกับภาครัฐ (หรือที่เรียกกันว่า crowding-in) อันจะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถทะยานขึ้น (lift-off) ไปสู่การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2015 ซึ่งเป็นที่มาของการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ใกล้ 5% ในปีหน้า แต่ผมมองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 4% เท่านั้น

4. ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะการผลิตจาก Shale Oil ของสหรัฐขยายตัวอย่างมากจนปัจจุบันผลิตได้ 8 ล้านบาร์เรลต่อวันและยังสามารถเพิ่มการผลิตได้อีกในอนาคต โดยได้แสดงให้เห็นแล้วว่าแม้จะมีปัญหาการผลิตที่ลิเบียและอิหร่านในปีนี้ แต่การผลิตของสหรัฐก็ยังทดแทนได้และมีการวิเคราะห์ว่าสหรัฐยังสามารถขยายการผลิตหากโอเปก (โดยซาอุดีอาระเบีย) ลดการผลิต ซึ่งน่าจะทำให้ราคาน้ำมันโลกอยู่ที่ประมาณ 80 เหรียญต่อบาร์เรล (เพราะใกล้ต้นทุนการผลิต Shale Oil ของสหรัฐ) ราคาน้ำมันที่ต่ำเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจไทยอย่างมากเพราะลดการนำเข้า (ทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น) และลดเงินเฟ้อ ทำให้สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ (แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะมีการผ่อนคลายทางการเงิน) ครับ
[/size]



ตอบกลับโพส