ฝันสลาย/วิบูลย์ พึงประเสริฐ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ฝันสลาย/วิบูลย์ พึงประเสริฐ

โพสต์ โดย Thai VI Article » พุธ ธ.ค. 31, 2014 12:47 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    “สูงสุดคืนสู่สามัญ”อาจเป็นวลีที่ใช้ได้ดีกับตลาดหุ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยทำผลตอบแทนได้ดีมากในปี 2557 นี้  ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากระดับต้นปีที่ 1,200 จุดมาอยู่เกือบระดับ 1,600 จุดในเดือนพฤศจิกายน โบรกเกอร์หลายสำนักต่างบอกว่าดัชนีหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้าอาจจะขึ้นไปถึง 1,700 หรือ 1,800 จุดเลยทีเดียว โดยให้เหตุผลว่าดัชนีหุ้นไทยยังต่ำกว่าของเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์อยู่มาก เพราะสองประเทศนั้นดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปเลย 5,000 จุดกันแล้วทั้งๆที่ตอนสมัยวิกฤติค่าเงินบาท ดัชนีสองประเทศนี้อยู่ระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นไทย แต่ในความเป็นจริงถ้าไม่ได้ดูเพียงระดับของดัชนี แต่พิจารณาไปถึงค่าพีอีหรือราคาต่อกำไรของตลาดหุ้นไทยแล้วถือว่าไม่ถูกนักเพราะค่าพีอีตลาดหุ้นไทยสูงถึง 18 เท่านับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติในหลายปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้นแล้วดัชนีหุ้นของประเทศอื่นที่เพิ่มขึ้นมามากนั้นเป็นเพราะมีการนำบริษัทขนาดใหญ่เข้าตลาดหุ้นมากขึ้นโดยเฉพาะหุ้นของรัฐวิสาหกิจของรัฐที่แปรรูปเป็นเอกชนแล้วทำการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้ระดมทุนเองโดยไม่ต้องเป็นภาระของรัฐบาลในการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐวิสาหิจเหล่านั้น ตลาดหุ้นจีนและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆถึงเติบโตขึ้นมาได้อย่างมาก ขณะที่ประเทศไทยกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามคืออยากให้บริษัทที่เคยเป็นรัฐวิสาหิจกลับไปเป็นของรัฐบาลและออกจากตลาดหุ้นไปเพราะคิดว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ได้ประโยชน์จากการขายหุ้นในตลาดและคิดว่าจะทำให้ราคาสิ่งของต่างๆมีราคาถูกลงโดยเฉพาะพลังงานซึ่งสวนทางกลับสิ่งที่ประเทศที่ตลาดหุ้นเติบโตทำกันทั่วโลก ทำให้รัฐวิสาหกิจไทยที่เตรียมแปรรูปเป็นเอกชนไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้เนื่องจากกลัวการต่อต้านจากมวลชน ตลาดหุ้นไทยจึงไม่มีหุ้นใหญ่ๆเข้าตลาดเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นดัชนีราคาหุ้นไทยที่ 1,600 จุดจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านได้ถึงแม้จะมีค่าพีอีที่ไม่ต่างกันมากนัก

    นอกเหนือจากนั้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ลดลงอย่างมากจากราคาที่อยู่ระดับ 90 หรือ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ต่ำกว่า 50 เหรียญต่อบาร์เรล สาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากมีซัพพลายหรือการผลิตที่เกิดขึ้นใหม่เป็นอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาจากการขุดเจาะด้วยระบบแฟรกกิ้ง (Fracking) จากหลุมน้ำมันในชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ซึ่งในอดีตนั้นมีต้นทุนที่สูงมากทำให้ไม่คุ้มกับการขุดขึ้นมาใช้ แต่การที่ราคาน้ำมันมีราคาสูงกว่า 100 เหรียญเป็นเวลานานทำให้เกิดการพัฒนาการขุดเจาะน้ำมันเชลด้วยระบบแฟรกกิ้งที่มีต้นทุนที่ถูกลงอย่างมาก ปัจจุบันการผลิตน้ำมันของสหรัฐนั้นได้มากขึ้นจนเทียบเท่าซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกแล้ว  น้ำมันจากชั้นหินดินดานเหล่านี้ได้เข้ามาในตลาดสหรัฐจำนวนมาก สหรัฐจึงนำเข้าน้ำมันน้อยลง ผลผลิตน้ำมันจึงเหลือในตลาดโลกมากขึ้นทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แต่สิ่งที่เหมือนจุดน้ำมันเข้ากองไฟอีกรอบคือการไม่ลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคนำโดยซาอุดิอาระเบียทั้งๆที่ประเทศเล็กๆอย่างเวเนซุเอลาหรืออื่นๆต้องการให้โอเปคลดกำลังการผลิตเพื่อผลักดันให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น แต่เป้าหมายของซาอุดิอาระเบียและสมาชิกในกลุ่มโอเปคอื่นๆคือความต้องการให้ราคาน้ำมันลดลงให้ต่ำกว่าระดับต้นทุนของการผลิตน้ำมันเชล เพื่อให้ผู้ผลิตที่มีต้นทุนสูงต้องเลิกกิจการไปจากนั้นกำลังการผลิตจะลดลงและราคาน้ำมันจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันที่ 50 เหรียญ เหล่าสมาชิกโอเปกที่มีการผลิตมานานจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าจะยังไม่ขาดทุนจากการดำเนินงาน ขณะที่ต้นทุนการผลิตน้ำมันเชลมีต้นทุนที่สูงกว่านั้นจะต้องมีการควบรวมเพื่อความอยู่รอด

    การที่ราคาน้ำมันมีราคาลดลงทำให้ราคาสินค้าโภคภัณท์อื่นๆมีราคาลดลงตามไปด้วยอย่างเช่นยางพาราหรือปิโตรเคมี ซึ่งทำให้หุ้นของบริษัทพลังงานทั่วโลกลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และหุ้นพลังงานเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างมากรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยที่ในช่วงกลางเดือนธันวาคมลดลงจากระดับสูงสุดแล้วกว่า 100 จุดจาก 1,600 จุดมาอยู่ที่ราวๆ 1,400 จุด นักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 นี้ที่คาดหวังว่าจะกำไรจากตลาดหุ้นเป็นเศรษฐีเหมือนคนอื่นๆอาจต้อง”ฝันสลาย”เพียงเพราะตลาดหุ้นไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนที่วาดฝันเอาไว้
[/size]



ตอบกลับโพส