โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมเชื่อว่าในช่วงนี้จะมีบทความเกี่ยวกับทีพีพีออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะหลายฝ่ายคาดไม่ถึงว่ากลุ่มประเทศหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans Pacific Partnership) จะสามารถทำข้อตกลงกันได้ ที่สำคัญคือ
1. ทีพีพีแบ่งแยกอาเซียน (เพราะมีสิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และมาเลเซียอยู่ในทีพีพี) ดังนั้น ในความเห็นของผม เออีซีจึงค่อนข้างจะหมดความหมายไปโดยปริยาย
2. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในทีพีพี แต่การส่งออกของไทยนั้น 40% (กว่า 2 ล้านล้านบาท) ส่งออกไปตลาดทีพีพี
3. ยังไม่มีใครได้เห็นข้อตกลงทีพีพี ที่ได้รับความเห็นชอบเมื่อ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเปิดเผยได้ทั้งฉบับในปลายเดือนนี้
4. เป็นการตกลงกันในระดับรัฐบาล แต่ยังจะต้องผ่านการ เห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งในบางประเทศ เช่น แคนาดาและสหรัฐอเมริกา มีความท้าทายอย่างยิ่ง และน่าจะต้องใช้เวลาอีกเกือบ 1 ปี กว่าข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้
5. เอ็นจีโอในประเทศไทยจะคัดค้านยิ่งกว่าการออกสัมปทานสำรวจพลังงาน
ครั้งนี้ผมจึงจะยังไม่พูดถึงสาระสำคัญในรายละเอียด เพราะยังไม่มีข้อมูล แต่พอจะเห็นเค้าโครงบ้างจากข้อมูลที่รั่วออกมาทางสื่อและทาง Wikileaks ซึ่งการเจรจาแบบลับๆ นี้ ยิ่งทำให้กระแสต่อต้านของเอ็นจีโอทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เท่าที่เห็นข้อมูลในขณะนี้ เราอาจสรุปสาระสำคัญบางประการได้ดังนี้
1. มีการลดภาษีสินค้า18,000 รายการ แต่ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้สำคัญน้อยกว่าเรื่องอื่นๆ มาก เว้นกรณีของประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่ม เช่น เวียดนาม ซึ่งตั้งกำแพงเอาไว้ค่อนข้างสูง และในสินค้าบางรายการ เช่น เครื่องนุ่งห่ม และรถบรรทุก pick up เป็นต้น
2. ประเด็นที่ถกเถียงกันจนเกือบวินาทีสุดท้ายคือ การเข้าสู่ตลาดสินค้าอาหารประเภทนมเนย ซึ่ง นิวซีแลนด์และสหรัฐผลักดัน ขณะที่แคนาดาและญี่ปุ่นไม่อยากเปิดตลาดให้ ความต้องการของสหรัฐให้ขยายเวลาคุ้มครองมิให้ผลิตยาตำรับสามัญออกมาแข่งกับ เจ้าของสิทธิบัตรจาก 5 ปี เป็น 8 ปี (เดิมทีสหรัฐต้องการ 12 ปี) และเรื่องรถยนต์ก็ถกเถียงกันมาก ระหว่างสหรัฐ ญี่ปุ่น เม็กซิโก และแคนาดา โดยเป็นหนึ่งในสาม “เรื่องยาก” ที่หาข้อสรุปได้ก่อนสองเรื่องข้างต้น ซึ่งเรื่องหลังนี้ น่าจะมีผลกระทบต่ออนาคตเศรษฐกิจไทยมากที่สุด
3. ประเทศ ทีพีพีจะต้องยอมรับบรรทัดฐานที่สูงขึ้น ในด้านการคุ้มครองสิทธิแรงงาน และการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (ซึ่งเอ็นจีโอน่าจะเห็นด้วย) รวมทั้งการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยประเทศในกลุ่มทีพีพี จะสามารถกดดันประเทศภาคีทีพีพี ที่ละเมิดข้อตกลงในประเด็นดังกล่าวได้ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเวียดนามและมาเลเซีย
4.วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการค้า e-commerce ให้เสรียิ่งขึ้น ไม่ ให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซง รวมทั้งการคุ้มครองนักลงทุนต่างประเทศ มิให้รัฐบาลเจ้าบ้าน “รังแก” ภายใต้กลไก Investor State Dispute Settlement (ISDS) ซึ่งรวมถึงการที่รัฐบาลจะต้องยอมรับคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ว่าเป็นที่สุด (ไม่ใช่นำเรื่องไปฟ้องศาล หลังผ่านกระบวนการของอนุญาโตตุลาการไปแล้ว เช่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย)
5. กำหนดกฎเกณฑ์มิให้รัฐวิสาหกิจได้เปรียบ และมิให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ทำให้ต่างประเทศเสียเปรียบ ผมขอย้ำว่า ที่กล่าวมานี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ยังขาดรายละเอียดที่สำคัญๆ และยังมีหัวข้ออีกมากมาย เนื่องจากตกลงกันทั้งสิ้น 30 หัวข้อเจรจา ดังนั้น ประธานาธิบดีโอบามาจึงสามารถออกมาพูดได้ว่า ทีพีพีนั้น คือการที่สหรัฐ (และญี่ปุ่น) จะเป็นผู้ “เขียน” กฎหมายการค้าของโลกฉบับใหม่ ทั้งนี้ เพื่อโน้มน้าวให้รัฐสภา (ซึ่งเสียงข้างมากเป็นพรรครีพับลิกันฝ่ายค้าน) ให้อำนาจประธานาธิบดีเจรจาทีพีพี และหากไม่ทำเช่นนี้อำนาจและบารมีในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจในเอเชีย ก็จะต้องตกไปอยู่กับจีน ประธานาธิบดีจึงได้อำนาจเจรจายาวนานอีก 5 ปี ซึ่งอเมริกาตั้งใจว่า ประธานาธิบดีคนต่อไปจะใช้กรอบทีพีพีไปเจรจากับยุโรปในกรอบทีทีไอพี (Trans-Atlantic Trade and Investment Partnership) ซึ่งจะตีกรอบล้อมจีนและอินเดีย (และเป็นเรื่องที่คงต้องเขียนถึงในครั้งต่อไปๆ ครับ)
ประเทศไทยนั้น เคยถูกรับเชิญเข้าร่วมทีพีพี โดยประธานาธิบดีโอบามาเดินทางมาเชิญเราถึงประเทศไทย ในปลายปี 2012 เราตอบรับว่า “สนใจ” แต่ที่จริงแล้วเกรงใจเอ็นจีโอ เลยไม่ได้ทำอะไร มาวันนี้จึงคงจะต้องพยายามศึกษาทีพีพีและปรับท่าที
ทั้งนี้ ในความเห็นของผมนั้น กว่าทีพีพีจะคิดรับสมาชิกใหม่ก็คงต้องใช้เวลาอีกเป็นปี (และทีพีพีก็อาจจะยังล่มลงได้) นอกจากนั้น ผมเชื่อว่าไทยน่าจะต้องรอคิวให้เกาหลีใต้และฟิลิปปินส์ เข้าเป็นสมาชิกทีพีพีก่อน และอาจต้องรอหลังอินโดนีเซียอีกด้วย หากอินโดนีเซียเปลี่ยนใจอยากเข้าทีพีพีอย่างจริงจัง กรณีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับไทยคือ ทีพีพีเกิดได้จริง และ 3 ประเทศข้างต้นเข้าเป็นสมาชิก และมีการเจรจาทีทีไอพีด้วย แต่ไทยก็ยังไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกทีพีพีได้
จะเห็นได้ว่าทีพีพีนั้น เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นที่อาจกลายเป็นแนวทางไปสู่ความสำเร็จ ในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในระดับพหุภาคี (multilateral) ได้ในที่สุด เพราะหากทีพีพีบวกทีทีไอพีเกิดขึ้นจริง ในที่สุดประเทศหลักอื่นๆ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล ฯลฯ ก็จะต้องขอเข้าร่วมเขตการค้าเสรีดังกล่าว