บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
-
Thai VI Article
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- กระทู้: 1243
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm
โพสต์
โดย Thai VI Article » จันทร์ ต.ค. 26, 2015 3:18 pm
นับตั้งแต่ 12 ประเทศ บรรลุความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (TPP)ในวันที่ 5 ตุลาคม 2558 หลังจากมีการเจรจายืดเยื้อมา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2551 หัวข้อนี้ก็เป็นหัวข้อใหญ่ที่ผู้คนต่างถามว่า “ถ้าไม่ร่วมแล้วตกขบวนรถไฟหรือไม่”
ดิฉันยังไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่า ความตกลงนี้ดีหรือไม่ดีต่อประเทศไทย แต่วันนี้อยากนำเสนอข้อมูลในแง่มุมต่างๆ เพื่อปูทางให้ท่านผู้อ่านสามารถติดตามข่าวและบทวิเคราะห์ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น
ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หรือ Trans-Pacific Partnership (TPP)นี้ เริ่มคุยกันมาตั้งแต่ปี 2251 โดยมีผู้วิจารณ์ว่า เป็นความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่จะเปิดตลาดเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น หลังจากที่อาเซียนมีการทำความตกลง ASEAN+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) และ ASEAN+6 (เพิ่ม อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์)
12 ประเทศที่ร่วมในความตกลงนี้ประกอบด้วย ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม ซึ่งรวมแล้วมีประชากรเกือบ 800 ล้านคน และมีขนาดของจีดีพี 28.5 ล้านล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 1,000 ล้านล้านบาท นับเป็นความตกลงที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลก (ที่มา-จากข้อมูลของแคนาดา)
ในการเจรจาที่ผ่านมานั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากๆว่า ไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับเนื้อหาที่เจรจากัน เรียกได้ว่า หากอยากทราบ ต้องมาร่วมโต๊ะเจรจาด้วย จึงมีการศึกษาเรื่องนี้กันน้อย ยกเว้นที่ Wikileaks นำออกมาเปิดเผยในปี 2013
เท่าที่ศึกษาคร่าวๆ จะเห็นเรื่องเครื่องหมายการค้า ว่าเสียงและกลิ่น สามารถจดเป็นเครื่องหมายการค้าได้ และเจ้าของสิทธิ์ สามารถหยุดยั้ง ผู้ใช้เครื่องหมาย หรือสินค้าที่เหมือนหรือคล้ายกันได้ และสิทธิ์จะตกเป็นของประเทศที่เครื่องหมายการค้านั้นเป็นที่รู้จักกันดี
อายุของลิขสิทธิ์ จะไม่น้อยกว่าอายุขัยของผู้เขียน/ผู้แต่ง และอีก 70 ปีหลังการเสียชีวิต
ในเอกสารที่รัฐเผยแพร่ต่อประชาชนอเมริกันและแคนาดา ล้วนแต่พูดข้อดีของความตกลงนี้ ในด้านของการเปิดตลาดเอเชียแปซิฟิกให้กับประเทศของตน
ทั้งนี้ ในเอกสารของ Office of the United States Trade Representative (USTR) ได้กล่าวไว้ว่า “TPP เป็นเวทีสำหรับเข้าไปมีส่วนร่วมและเติบโตในเอเชียแปซิฟิก และเป็นความตกลงที่ทำให้ค่านิยมของสหรัฐถูกนำไปใช้มากขึ้น และเปิดโอกาสให้แรงงานของสหรัฐสามารถแข่งขันในเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สำหรับในแคนาดา เอกสารที่ใช้ในการแถลงข่าวของ กระทรวงการต่างประเทศ การค้าและพัฒนา ของแคนาดา (Foreign Affairs, Trade and Development Canada) ระบุถึงประโยชน์ที่แคนาดาคาดว่าจะได้รับจากความตกลงนี้ชัดเจน
เอเชียแปซิฟิก จะมีชนชั้นกลางอยู่เป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของชนชั้นกลางในโลกในปี 2030 (พ.ศ. 2573)
เอเชียแปซิฟิก จะมีขนาดของจีดีพี เท่ากับครึ่งหนึ่งของจีดีพีโลก ในปี 2050 (พ.ศ. 2593)
ที่เด่นชัดมากคือ การเกษตรและเกษตรอาหาร แคนาดาคาดหวังที่จะเพิ่มการส่งออกทั้งวัตถุดิบ และเปิดตลาดให้กับอุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีการจ้างงาน 2.3 ล้านคน และมีมูลค่า 6.6% ของจีดีพี โดยคาดหวังว่า การลดภาษีนำเข้าอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร จะทำให้ผู้ปลูก ผู้เลี้ยง ผู้ผลิต และผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมนี้ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆได้มากยิ่งขึ้น
ถัดมาคือ ปลาและอาหารทะเล ซึ่งแคนาดาส่งออกได้เฉลี่ยถึงปีละ 3,400 ล้านเหรียญ การลดอากรนำเข้า จะทำให้แคนาดา สามารถขยายตลาดในเอเชียได้ เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม
อุตสาหกรรมป่าไม้ กระดาษ เยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าจากไม้ และไม้แผ่น ซึ่งแคนาดาเป็นอันดับห้าของโลกในการส่งออกไม้แผ่น คาดว่าจะขยายตลาดในญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนามเช่นกัน
สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม แคนาดาหวังที่จะขยายตลาดด้าน อากาศยาน และชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรการเกษตรและอุปกรณ์ โลหะและสินแร่ อุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์ เคมีและพลาสติก และอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ
ในขณะที่หวังจะขยายภาคบริการไปยังตลาดที่เติบโตสูง คือ มาเลเซีย เวียดนามและสิงคโปร์ ประมาณ 3 พันล้านเหรียญต่อปี โดยเฉพาะบริการทางการเงิน ซึ่งรวมถึง ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัย บริษัทจัดการลงทุน
นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆ เช่น การเงิน บริการวิชาชีพ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม การวิจัยและพัฒนา บริการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และบริการขนส่ง
สิ่งที่ประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกจะได้รับ น่าจะเป็นเงินลงทุนจากแคนาดาที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่ม ในด้านน้ำมันและก๊าซ การจัดการเงินลงทุน เหมืองแร่ บริการการเงินและ บริการวิชาชีพ
ยุโรปซึ่งไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในความตกลงนี้ มองว่า TPP เป็นภัยคุกคามต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของตน
นอกจากนี้ยังมีผู้รู้ประเมินว่า มีแนวโน้มว่าราคายาจะสูงขึ้น จากการขยายขอบเขตสิทธิบัตรของยารุ่นใหม่ (generation ใหม่) ซึ่งอาจทำให้คนในประเทศที่กำลังพัฒนามีโอกาสเข้าถึงยาน้อยลง
ตลอดการเจรจามีการประท้วงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมที่ แอตแลนต้า จอร์เจีย ในสหรัฐอเมริกา ที่เมลเบอร์น ในออสเตรเลีย หรือ ที่นิวซีแลนด์ซึ่งประท้วงเรื่องการยอมให้บริษัทเอกชนสามารถฟ้องร้องรัฐบาลได้
ดูๆแล้วงานนี้ญี่ปุ่นอาจจะเหนื่อยหน่อยค่ะ เพราะถูกบังคับให้เปิดตลาด ข้าว หมู และรถยนต์ โดยสหรัฐต้องการให้ดีลเลอร์รถยนต์ญี่ปุ่น ขายรถอเมริกันด้วย แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า คงจะมีปัญหาในทางปฏิบัติเพราะในญี่ปุ่นและยุโรป รถจะถูกทดสอบก่อนนำมาวางตลาด ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา จะทดสอบรถหลังจากวางตลาดแล้ว
พื้นที่หมดแล้ว หวังว่าอย่างน้อยจะสามารถปูพื้นให้ท่านติดตามข่าวต่อไปได้อย่างเข้าใจมากขึ้นค่ะ