ระยะนี้ดิฉันได้รับคำถามจากผู้ลงทุนหลายคนว่าในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนต่ำเตี้ยติดดินทั่วโลกเช่นนี้ เขาควรจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหน และภาวะเช่นนี้จะอยู่ต่อไปอีกนานเพียงใด
ขอตอบคำถามข้อหลังก่อนนะคะ จริงๆแล้วไม่มีใครทราบแน่นอนว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ อัตราผลตอบแทนต่ำ จะอยู่กับเราไปอีกเพียงใด แต่หากดูจากแนวโน้ม ดิฉันคาดว่าอย่างน้อยก็อีก 2-3 ปี และอย่างมากคืออยู่เป็นสิบปีเลยค่ะ
ประชากรของโลกกำลังก้าวเข้าสู่ประชากรสูงวัย ซึ่งส่งผลให้โลกของเราโตช้าลง เพราะประชากรสูงวัยมีผลิตภาพลดลง บริโภคน้อยลง แม้บางประเทศเช่น อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียใต้และอัฟริกา จะมีประชากรเข้าสู่แรงงานเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่มากเท่าจำนวนประชากรของประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนากลุ่มใหญ่ที่โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย
กลับมาคำถามแรก คือ แล้วในภาวะอย่างนี้ควรจะลงทุนอะไร
จริงๆแล้วอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนในโลก รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”ในปี 2540 และผู้ลงทุนในโลกต่างพยายามขวนขวายหาที่ลงทุนเพื่อรักษาอำนาจซื้อไม่ให้ตกต่ำจากผลของเงินเฟ้อมากันหลายปีแล้ว และมาลดหนักมากขึ้นจากการอัดฉีดสภาพคล่องหลังวิกฤติ “แฮมเบอร์เกอร์”ในปี 2551
มาถึงปีนี้ที่ธนาคารกลางของหลายประเทศเริ่มนำอัตราดอกเบี้ยติดลบมาใช้ ประกอบกับตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน มีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนส่วนหนึ่งจึงกรูกันเข้าไปลงทุนในตลาดพันธบัตร โดยฌฉพาะพันธบัตรของประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ ดังเช่น ประเทศไทย ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนคือ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับลงมาที่ 1.82% ต่ำกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่อายุเท่ากัน ที่ให้ผลตอบแทน 1.85% เสียอีก
ดังนั้น คำตอบข้อแรกที่ผู้ลงทุนหันเข้าไปหาคือ “พันธบัตรระยะยาว” อาการนี้เป็นอาการของผู้ลงทุนที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะลดลงไปอีก ดังนั้นหากสามารถซื้อพันธบัตรระยะยาวได้ ก็สามารถได้รับผลตอบแทนในระดับที่ซื้อไปจนถึงวันที่พันธบัตรครบอายุ
ทั้งนี้ ในสภาวะที่ราคาน้ำมันยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะเท่ากับ 0.6% ดังนั้น ผลตอบแทนสุทธิ หรือที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ในปีนี้จะเท่ากับ 1.22%
สองสามปีก่อน ดิฉันจะยกตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยที่ 1% ต่อปี ว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก เงินลงทุน 100 บาท จะเติบโตเป็น 200 บาท จะต้องใช้เวลาถึง 72 ปี หากลงทุนได้ผลตอบแทน 1%
มาถึงตอนนี้ ยกตัวอย่างนี้ แล้วบอกว่าอัตราผลตอบแทนต่ำ อาจจะมีผู้ลงทุนแอบโต้แย้งอยู่ในใจว่า 1% ถือว่าดีแล้ว
อย่างไรก็ดี ดิฉันไม่แนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนต่ำในสัดส่วนที่มากนัก แม้จะมีโอกาสที่ คณะกรรมการนโยบายการเงินจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ 1.5%ได้อีก ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนจากมูลค่าเพิ่ม (capital gain) แต่ดิฉันเห็นว่า มีการลงทุนอื่นๆที่สามารถทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวมดีขึ้นได้
จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ มีดังนี้
SET 3.47%
SET50 3.67%
SET100 3.59%
SETHD 4.46%
mai 1.30%
จะเห็นว่า ผลตอบแทนดีใช้ได้เลยทีเดียว แต่แน่นอนว่า ราคาหุ้นมีความผันผวนมากกว่าราคาพันธบัตร จึงถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะหาผลตอบแทนได้ในช่วงเวลาที่ผลตอบแทนต่ำเตี้ยติดดิน โดยข้อมูลจาก CBRE แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนจากค่าเช่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2558 ในอสังหาริมทรัพย์กลุ่มต่างๆในประเทศไทยมีดังนี้
ออฟฟิศ 5.0-6.5%
ค้าปลีก 5.5-7.0%
ที่พักอาศัย 4.5%
อุตสาหกรรม 8.0-9.0%
นอกจากนี้ ผลตอบแทนจากเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองรีทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉลี่ยในปี 2558 ได้เท่ากับ 5.75%ต่อปี
การฝากเงินแบบประจำ ซึ่งแต่เดิมมองว่าอัตราดอกเบี้ยต่ำ ณ ปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรแล้ว ก็ยังดูน่าดึงดูดใจนะคะ
และต้องขอสรุปเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผุ้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง”
ไล่ล่าหาผลตอบแทน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- กระทู้: 1243
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm