การอ่อนแรงของเศรษฐกิจไทย/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

การอ่อนแรงของเศรษฐกิจไทย/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ เม.ย. 25, 2016 3:17 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

จากข้อมูลที่มีอยู่ตั้งแต่ต้นปีพอสรุปได้ว่า เศรษฐกิจไทยมีลักษณะทรงตัวหรือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลง และมีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจจะอ่อนแรงลงไปอีกได้ เพราะตามฤดูกาลนั้นไตรมาส 2 เป็นไตรมาสที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอยู่แล้ว และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากภาวะภัยแล้งอีกด้วย

นอกจากนั้นแนวโน้มการส่งออกก็ไม่สดใส ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดการคาดการณ์การส่งออกลงจากการประเมินในเดือน ธันวาคมที่คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในปี 2016 จะเท่ากับปี 2015 หากคิดเป็นดอลลาร์สหรัฐ แต่ในเดือนเมษายนนั้นปรับลดการคาดการณ์มูลค่าการส่งออกว่าจะลดลง 2% จากปี 2015 เนื่องจากการส่งออกนั้นมีมูลค่าสูงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ดังนั้นการลดลงไป 2% หมายถึงรายได้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นลดลงไปกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 150,000 ล้านบาท

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือการปรับเพิ่มการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2016 จากเดิม 26,000 ล้านดอลลาร์มาเป็น 34,800 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2015 (31.6 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งสะท้อนการคาดการณ์ว่าการนำเข้าในปี 2016 จะหดตัวลงมากกว่าการลดลงของการส่งออก กล่าวคือการนำเข้าจะลดลงถึง 6.1% บวกกับมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น

การลดลงของการนำเข้านั้นสามารถมองได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี 3 ประการคือ

1) เป็นผลมาจากการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ไทยนำ เข้าเกือบ 20% ของการนำเข้ารวม (หรือประมาณ 8% ของจีดีพี) แปลว่าคนไทยได้ใช้ทรัพยากรการผลิตที่สำคัญที่เราผลิตเองได้น้อยในราคาที่ลด ลงอย่างมาก

2) การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด แปลว่ามีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในประเทศและทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพ (หรือมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น)

3) การที่เงินบาทมีเสถียรภาพและมีแนวโน้มแข็งค่า ทำให้เงินเฟ้อในประเทศลดลงและกำลังซื้อของคนไทยเพิ่มขึ้นในการทำธุรกรรมในต่างประเทศ

แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดคือการสะท้อนว่าอุปสงค์ใน ประเทศอ่อนแอและต่ำกว่าการผลิตอย่างมาก ตรงนี้ผมต้องของเขียนเป็นสมการดังนี้

Y=C+I+X-M+G-T

การผลิตหรือจีดีพี (Y) นั้นเท่ากับการบริโภค (C) การลงทุน (I) การส่งออก (X) ลบด้วยการนำเข้า (M) การใช้จ่ายของรัฐบาล (G) หักด้วยการเก็บภาษี (T) เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผมขอสมมุติว่าการใช้จ่ายของรัฐเท่ากับการเก็บภาษีคืองบประมาณสมดุลนั่นเอง จึงเหลือเพียง

Y=C+I+X-M หรือ Y= (C+I)+X-M

ซึ่ง C+I นั้นคือ Expenditure หรือ E ได้แก่กำลังซื้อในประเทศทั้งหมด ดังนั้น C+I=E

Y=E+X-M หรือ Y-E=X-M

แปลว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดหรือ X>M ย่อมเป็นการสะท้อนว่ากำลังซื้อในประเทศขาดแคลน ทำให้ผลิตสินค้าออกมาแล้วขายไม่ได้

X>M Y>E

ดังนั้นเวลามีคนมาถามผมว่าคนไทยมีเงินหรือ “รวย” หรือไม่ ผมต้องตอบว่าคนไทยโดยรวมมีเงินเหลือใช้เป็นจำนวนมหาศาล ดูได้จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงถึง 8% ของจีดีพีในปีที่แล้วและใกล้เคียงกันในปีนี้ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 34,800 ล้านดอลลาร์นั้น แปลว่าคนไทยมีรายได้มากกว่ารายจ่าย (หรือเงินที่พร้อมจะนำไปใช้จ่าย) กว่า 1.2 ล้านล้านบาท หรือหากมองอีกมุมหนึ่งคือประเทศไทยขาดกำลังซื้อหรืออุปสงค์ขาดแคลนอย่างมาก ดัง นั้นที่มีการพูดกันว่าปัญหาหลักของประเทศคืออุปทาน (Supply) หรือขาดความสามารถในการแข่งขัน ต้องปรับโครงสร้างและพัฒนาคุณภาพการผลิตนั้นเป็นความจริงในระดับหนึ่งและ เป็นปัญหาที่ต้องจัดการ

แต่ตัวเลขการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 1.2 ล้าน ล้านบาทนั้นเป็นปัญหาการขาดแคลนอุปสงค์อย่างแน่นอน และหากไม่มองปัญหานี้หรือไม่ประเมินขนาดของปัญหาให้ถูกต้องแล้ว ก็จะส่งผลข้างเคียงเกิดขึ้น เช่นการที่เงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่ง จะยิ่งทำให้ส่งออกขยายตัวได้ยากขึ้นและเงินเฟ้อในประเทศลดลงไปอีก ทำให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยิ่งประสบปัญหาในการกระตุ้นยอดขาย เพราะภาวะเงินเฟ้อติดลบนานและขยับขึ้นอย่างเชื่องช้า จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคไม่กระตือรือร้นที่จะรีบตัดสินใจใช้เงินเพิ่ม

ในอีกด้านหนึ่งทางการอาจต้องพยายามระบายกระแสเงินสดส่วนเกินดัง กล่าว โดยการส่งเสริมให้คนไทยนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวย่อมจะเป็นการสร้างรายได้ สร้างงานและพัฒนาเศรษฐกิจของต่างประเทศ ในขณะที่จีดีพีของไทยขยายตัวได้เพียง 3% ต่อปี

การยอมรับว่าอุปสงค์ขาดแคลนนั้น ทำให้ต้องคิดว่าจะกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ เพราะมีช่องว่างมากถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งหลายคนจะตำหนิได้ว่า

1) คนไทยส่วนใหญ่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 80% ของจีดีพีอยู่แล้ว จึงไม่ควรบริโภคเพิ่ม นอกจากนั้นการบริโภคไม่เป็นประโยชน์ในระยะยาว

2) ควรเน้นการใช้จ่ายที่เป็นการลงทุนดีกว่า เพราะการลงทุนคือการสร้างกำลังการผลิตเพิ่มให้กับประเทศ ทำให้ออกดอกออกผลและเพิ่มจีดีพีในอนาคต

ปัญหาคือการลงทุนของรัฐบาลและของรัฐวิสาหกิจนั้น ในส่วนที่ยังมีเหลือเพื่อใช้ในปีนี้น่าจะไม่เกิน 6 แสนล้านบาท และมีความเป็นไปได้สูงว่าการเบิกจ่ายจริง แม้จะพยายามเร่งรัด ก็คงจะลงเงินเพิ่มได้อีก 2-3 แสนล้านบาท นอกจากนั้นการประเมินการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 1.2 ล้านล้านบาทนั้นได้คำนวณการขาดดุลงบประมาณและการเบิกจ่ายเงินลงทุนของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจทั้งหมดในปีนี้รวมไปแล้ว

ข้อสรุปของผมคือการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมากติดต่อกันมา 2 ปีซ้อนนั้น ควรมองเห็นถึงข้อกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ขาดแคลนดังที่กล่าวข้างต้น

ประเทศใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกานั้น ธนาคารกลางยังแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะกลัวกำลังซื้อในประเทศจะถูกกระทบจากความไม่แน่นอนในต่างประเทศ แม้ว่าสหรัฐพึ่งพาการส่งออกน้อยกว่าไทยมาก (การส่งออกไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ของจีดีพี ส่วนสหรัฐนั้นเพียง 15% ของจีดีพี) ที่สำคัญคือสหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณ 2% ของจีดีพี แปลว่าอุปสงค์มีมากกว่าอุปทานอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าปรับดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นจาก 0.25% ในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ในปี 2016 นั้นเงินเฟ้อคาดการณ์ในสหรัฐคือ (1.2% กับ 2.2%) สูงกว่าประเทศไทย คือ 0.6% กับ 0.8% โดยตัวเลขแรกคือเงินเฟ้อทั่วไปและตัวเลขที่สองคือเงินเฟ้อพื้นฐาน
[/size]



ตอบกลับโพส