โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงปลายเดือนเมษายน ตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ปรับตัวลดลงอย่างน่าใจหายในช่วง 6 สัปดาห์แรกของปี 2016 นี้ ทำให้นักวิเคราะห์เริ่มปรับทัศนะไปในทิศทางที่บวก โดยให้เหตุผลต่างๆ ดังนี้
1) ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างระมัดระวัง และน่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นเพียง 1 ครั้ง ในปีนี้ (ปรับขึ้น 0.25%) โดยตลาดล่วงหน้าไม่เชื่อว่าจะปรับในวันที่ 15 มิถุนายนและมีโอกาส 61% ที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือนธันวาคม
2) จีนประสบความสำเร็จในการทำให้ค่าเงินหยวนมี เสถียรภาพและเศรษฐกิจจีนก็ดูเหมือนจะมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมหนักยังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่ภาคธุรกิจใหม่ (ภาคบริการเช่น Alibaba) ก็กำลังไปได้ดี
3) ยุโรปและญี่ปุ่นนั้น แม้จะประสบปัญหาเงินแข็งค่า แม้จะพยายามเพิ่มมาตรการคิวอีเพื่อให้เงินอ่อนค่า แต่ก็คงจะเพิ่มมาตรการเสริมอื่นๆ อีกด้วย แปลว่านโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกยังจะผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
การมองภาพในเชิงบวกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้นและค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมไปกับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทเมื่อตีค่าเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ หากมองย้อนกลับไปจะพบว่า
1) ราคาน้ำมันเบรนท์ตกลงไปที่ระดับต่ำสุดในวันที่ 20 มกราคมที่ราคา 26 ดอลลาร์และปัจจุบันเพิ่มขึ้น 20 ดอลลาร์ เป็น 46 ดอลลาร์แล้วในต้นเดือนพฤษภาคม
2) ดัชนีตลาดหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ตกลงไปที่จุดต่ำสุดวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และจากนั้นปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 18% มาถึงจุดสูงสุดวันที่ 22 เมษายน
3) ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในเดือนมกราคมและ อยู่ที่ระดับต่ำจนกระทั่ง 11 กุมภาพันธ์จึงได้ปรับตัวสูงขึ้นถึงจุดสูงสุดในวันที่ 19 เมษายน โดยเพิ่มขึ้น 23.7% จากจุดต่ำสุดในปลายเดือนมกราคมถึงจุดสูงสุดในเดือนเมษายน
แต่จากจุดสูงสุดดังกล่าวในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายนนั้น ราคาหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่และสินทรัพย์อื่นๆ เริ่มอ่อนตัวลงไป สำหรับราคาน้ำมันนั้นก็ยังมิได้ปรับเพิ่มขึ้นจากจุดสูงสุดในปลายเดือนเมษายน แม้ว่าไฟป่าที่แคนาดาจะทำให้การผลิตน้ำมันของแคนาดาได้รับผลกระทบอย่าง รุนแรง ดังนั้นคำถามคือการปรับตัวลดลงของหุ้นนั้นเป็นการปรับลดชั่วคราวเพื่อปรับ สูงขึ้นไปอีก เพราะปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว หรือเป็นเพราะว่าปัจจัยที่ทำให้หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่และสินทรัพย์เสี่ยง อื่นๆ ปรับตัวขึ้นนั้น กำลังจะอ่อนแรงลง ดังนั้นจึงจะต้องพยายามตอบคำถามพื้นฐานว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัว เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนนั้น เป็นเพราะปัจจัยอะไร และปัจจัยดังกล่าวจะยังสามารถสนับสนุนราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง หรือไม่
จากปัจจัย 3 ข้อที่ ผมกล่าวถึงข้างต้นคือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ สภาวการณ์และนโยบายของเศรษฐกิจทางการจีนและการเติมนโยบายคิวอีของธนาคารกลาง ยุโรปและญี่ปุ่นนั้น ผมจะให้น้ำหนัก 90% ไปที่นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ดัง ที่เคยกล่าวเอาไว้ในครั้งก่อนว่าธนาคารกลางสหรัฐกำลังสวมบทบาทธนาคารกลางของ โลก โดยการชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการผ่อนคลายสภาวะการเงินของโลกโดยรวม ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงถึง 7.5% จากจุดสูงสุดในวันที่ 29 มกราคม จนถึงจุดต่ำสุดในวันที่ 2 พฤษภาคม
ทั้งๆ ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันตอนต้นปีว่า เงินดอลลาร์เมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลหลักจะแข็งค่าขึ้นประมาณ 5-6% ในปีนี้ เพราะ ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับดอกเบี้ยขึ้นถึง 4 ครั้ง (โดยปรับขึ้นครั้งละ 0.25%) ในปีนี้ ซึ่งการอ่อนค่า/แข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐก็มีความสัมพันธ์กับการฟื้น ตัว/ปรับลดของราคาสินทรัพย์เสี่ยง กล่าวคือตลาดมองว่าการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์สะท้อนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ของโลก ในขณะที่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ (ประมาณ 1.5%) ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับตัวลดลง
ถามว่าการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นประโยชน์อย่างไร? คำตอบคือ
1) การที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวน่าจะกระตุ้นเงินเฟ้อให้สูงขึ้น แปลว่าดอกเบี้ยจริงปรับลดลงทั่วโลก
2) เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ดีขึ้น (เพราะการส่งออกสุทธิของสหรัฐจะขยายตัวได้มากขึ้น) ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ดียิ่งขึ้น ตรงนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับสหรัฐด้วย ซึ่งมีประเด็นข้างเคียงอื่นๆ อีกที่ผมจะเขียนถึงในครั้งหน้า
3) ช่วยลดการไหลออกของเงินหยวนและแรงกดดันเศรษฐกิจจีน ตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญมากเพราะแม้สหรัฐจะมีข้อขัดแย้งอย่างรุนแรงกับจีนในเชิง ภูมิศาสตร์การเมืองในภูมิภาคเอเชีย แต่เป็นที่น่าคิดว่านโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่านั้นเป็นการยื่นมือมาช่วยประคองเศรษฐกิจจีนอย่าง ยิ่ง กล่าวคือเมื่อเกิดการคาดการณ์อย่างแพร่หลายว่า เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ก็ย่อมแปลว่าเงินหยวนจะไม่อ่อนค่าลง ทำให้กระแสความต้องการทิ้งเงินหยวนและนำเงินออกนอกประเทศจีนลดลง ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนปรับตัวดีขึ้นในเดือนมีนาคมและเมษายน นอกจากนั้นการมองว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่ายังช่วยบริษัทขนาดใหญ่ของจีนหลาย แห่งที่เป็นหนี้เป็นเงินสกุลดอลลาร์รวมมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
นโยบายทำให้เงินดอลลาร์อ่อนนี้มีปัญหาที่ว่าจะไม่สามารถทำได้อย่างต่อ เนื่องยาวนาน เพราะอเมริกามีโอกาสสูงในอนาคตที่จะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูง ขึ้น จริงอยู่ปัจจุบันเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 1.3% ต่ำกว่าเป้าของธนาคารกลางคือ 2% แต่การที่ตลาดแรงงานค่อนข้างจะตึงตัว (เพราะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากถึง 200,000 ตำแหน่งต่อเดือน และอัตราการว่างงานต่ำที่ 5%) ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐน่าจะต้องเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ (2-2.5%) ภายใน 12 เดือน ข้างหน้า ซึ่งเมื่อใดที่มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะต้องปรับดอกเบี้ยขึ้น ก็จะส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับลดลง
นอกจากนั้นการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็คือการแข็งค่าของเงินสกุลหลักอื่นๆ ซึ่งกลุ่มสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะญี่ปุ่นกับสหรัฐซึ่งเริ่มแสดงท่าทีที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนมากขึ้น กล่าวคือรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นแสดงความไม่พอใจที่เงิน เยนแข็งค่าขึ้น โดยรัฐมนตรีคลังกล่าวว่าปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ต้องออกมา ประกาศย้ำเพื่อแสดงจุดยืนว่าญี่ปุ่นพร้อมเข้าแทรกแซงเพื่อมิให้เงินเยนแข็ง ค่าอย่างรวดเร็ว แต่รัฐมนตรีคลังสหรัฐไม่เห็นด้วยกับการประเมินของญี่ปุ่น โดยมองว่าอัตราแลกเปลี่ยนมิได้ผันผวนผิดปกติและอ้างถึงข้อตกลงของประเทศ กลุ่มจี 7 ที่จะไม่อาศัยนโยบายลดค่าเงินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้า
ประเด็นนี้ผมจะขยายความในตอนต่อไปครับ