Fin Tech กับการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Fin Tech กับการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ มิ.ย. 13, 2016 2:18 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    เรื่องของเทคโนโลยีทางด้านของข้อมูลและข่าวสารโดยเฉพาะทางด้านการเงินหรือที่เรียกกันแบบสั้น ๆ ว่า “Fin Tech” นั้น  กำลังมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็น  “ภัยคุกคาม”  ต่อสถาบันการเงินดั้งเดิมทั้งหลายโดยเฉพาะที่ทำธุรกิจกับลูกค้ารายย่อยเช่นธนาคารพาณิชย์  เหตุผลก็เพราะว่าด้วยการใช้  “App” ใหม่ ๆ ทางด้านบริการทางการเงิน  ในที่สุดลูกค้าก็สามารถที่จะ  “By Pass”  หรือไม่ต้องทำธุรกิจจำนวนมากผ่านแบงก์  ค่าธรรมเนียมหรือบริการที่แบงก์เคยได้เป็นกอบเป็นกำก็จะลดลงมาก   ตัวอย่างเช่นในเรื่องของการโอนเงิน  การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ เป็นต้น  เราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าผลกระทบนี้จะทำให้ผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินลดลงไปมากน้อยแค่ไหนในระดับโลก  อย่างไรก็ตาม  ผมเองคิดว่าในประเทศไทย  เราคงยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่สถาบันการเงินใหญ่ ๆ  จะเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคามนี้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ขณะนี้บางแบงก์ก็เริ่ม “ปรับตัว”  รับกับอนาคตที่กำลังจะมาถึงแล้ว

    ในด้านของตลาดทุนเองนั้น  บริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักที่ให้บริการเกี่ยวกับการลงทุนโดยเฉพาะในด้านของหุ้นนั้น  ผมคิดว่าประสบกับเรื่องของฟินเทคมานานพอสมควรแล้วเนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์  นั่นทำให้รายได้ส่วนนี้ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้มากนักทั้ง ๆ  ที่ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของไทยเพิ่มขึ้นมามาก   อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากธุรกิจนี้ยังถูกควบคุมค่อนข้างมากจากทางการและผู้เล่นหน้าใหม่ไม่สามารถ “By Pass” ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ได้  การแข่งขันของฟินเทคจึงเป็นการแข่งขันที่มาจากบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอยู่เป็นหลัก  ผลก็คือ  ธุรกิจส่วนที่ถูกกระทบแรงโดยฟินเทคนั้นไม่สามารถเติบโตหรือทำเงินมากขึ้นได้   ดังนั้น  ในระยะหลัง ๆ  บริษัทหลักทรัพย์จึงต้องมองหาธุรกิจอื่นเช่น  การทำ IB หรือวาณิชธนกิจ เช่น  การนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  การเป็นที่ปรึกษาในการควบรวมกิจการ  และการลงทุนในตลาดหุ้นโดยใช้เงินของบริษัทเองหรือ Prop Trade  เป็นต้น

    ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  Fin Tech ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในเรื่องของการลงทุนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  โปรแกรมหรือ App ใหม่ ๆ  เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ส่วนใหญ่มักจะมาจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ต้องการใช้มันเพื่อเป็นเครื่องมือทางการตลาดในการดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการการซื้อขายหลักทรัพย์มากขึ้น  นั่นก็คือ  ชักชวนให้ลูกค้ารายใหม่เข้ามาเปิดบัญชีใช้บริการ  หรือที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ  เพื่อที่จะชักจูงให้ลูกค้าเดิมซื้อขายหุ้นมากขึ้น

    App ตัวสำคัญที่เกิดขึ้นก่อนนั้นน่าจะเป็นเรื่องของ “Robot” หรือ “หุ่นยนต์” ในการเทรดหุ้น  นี่คือโปรแกรมที่จะซื้อขายหุ้นได้อย่างรวดเร็วใน “เสี้ยววินาที” ที่คนเขียนอ้างว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีเพราะมันถูกออกแบบมาโดยอิงกับการศึกษาข้อมูลในอดีตทางด้านของพฤติกรรมราคาของหุ้นที่ผันผวน  “นาทีต่อนาที”   ผมเองไม่แน่ใจว่าคนใช้ Robot จะได้กำไรจริง ๆ  หรือไม่  แต่ก็มั่นใจว่าโบรกเกอร์จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหุ้นและค่าคอมมิชชั่นน่าจะมากขึ้นมากจากการใช้โรบอท  อย่างไรก็ตาม   หากผลงานของโรบอทไม่ดีจริงอย่างที่อ้าง  ในที่สุดความนิยมก็จะลดลงโดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูงเช่นลูกค้าส่วนบุคคลทั่วไปโดยเฉพาะที่ไม่ใช้ลูกค้ารายใหญ่

    คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะที่เป็น VI ไม่เชื่อในการลงทุนโดยอาศัยข้อมูลทางด้านเทคนิค  และดังนั้น ฟินเทคที่ทำ App เกี่ยวกับการซื้อขายโดยอิงกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นจึงไม่เป็นที่ต้องการ  พวกเขาต้องการอะไรที่เป็นเรื่องของการลงทุนตามพื้นฐานของกิจการและราคาหุ้น  เป็นเรื่องของการลงทุน “ระยะยาว”  ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีและทำให้พอร์ตเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ    เหนือสิ่งอื่นใด  การศึกษาก็พบว่าการลงทุนแนวพื้นฐานหรือ VI นั้นให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าวิธีการอื่น   อย่างไรก็ตาม  สำหรับโบรกเกอร์แล้ว  การลงทุนระยะยาวนั้นทำให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นน้อยลงและนั่นอาจจะทำให้รายได้ของบริษัทลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น  ดังนั้น  พวกเขาจึงไม่อยากชักชวนให้ลูกค้าทำอย่างนั้นโดยการไม่เสนอ App แนวอิงข้อมูลพื้นฐานให้กับลูกค้า

    แต่ในโลกที่กระแสฟินเทคมาแรงอย่างในปัจจุบันนั้น  โบรกเกอร์ไม่ได้เป็น “ผู้คุมเกม” อีกต่อไป  คนธรรมดาที่มีความรู้  ความสามารถ  และมีความมุ่งมั่น  ได้เข้ามาเล่นในเกมของการสร้างนวัตกรรมที่สามารถ  “ทำลายล้าง”  Establishment หรือสถาบันดั้งเดิมได้ใน  “ชั่วข้ามคืน”  อย่างที่เราได้เห็นในหลาย ๆ  วงการ  โปรแกรมที่อาศัยข้อมูลพื้นฐานและราคาค่าความถูกความแพงของหุ้นเริ่มปรากฏขึ้น  การศึกษาและ  “ทดสอบย้อนหลัง”  พบว่า   การลงทุนโดยใช้คอมพิวเตอร์กรองหุ้นโดยอิงกับผลประกอบการและราคาหุ้นของบริษัทในอดีตโดยเฉพาะแนว VI ให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ  ตัวอย่างเช่น  การใช้  Magic Formula  หรือใช้ข้อมูลค่า PE PB และอัตราปันผลต่อราคาหุ้นนั้น  ให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศในระยะยาว  ว่าที่จริงบางครั้งมันดีกว่า “เซียน” ที่ทุ่มเทวิเคราะห์และติดตามหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยซ้ำ  และนั่นนำมาซึ่งการที่บริษัทหลักทรัพย์จะอยู่เฉยไม่ได้  ดังนั้น  โบรกเกอร์บางรายจึงต้องเข้า  “ร่วมขบวน”  ทำ App ที่เน้นการลงทุนแนวพื้นฐานเสนอให้ลูกค้าใช้

    เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่าความนิยมในโปรแกรมการลงทุนหุ้นเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป  เช่นเดียวกับการพัฒนาของโปรแกรมที่จะมีหลากหลายมากขึ้น  ทั้งจากบริษัทฟินเทคเองและจากบริษัทหลักทรัพย์  เป็นไปได้ว่าโปรแกรมที่มีแนวโน้มให้คนซื้อขายหุ้นสั้นลง ๆ  แม้ว่ามันจะใช้ข้อมูลพื้นฐานรายไตรมาศจะเกิดขึ้น  เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์มีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นมากขึ้น  นอกจากนั้น  มันก็ช่วยให้นักลงทุนหรือ  “คนเล่นหุ้น”  ที่มักอยากเห็นผลการลงทุนระยะสั้นอยากใช้มากขึ้น

    สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI หรืออยากเป็น VI นั้น  แม้ว่าหลายคนจะไม่ค่อยแน่ใจกับวิธีการลงทุนแบบ “Run ออกมาจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์” โดยไม่ได้ศึกษาเรื่องของปัจจัยด้านคุณภาพ  ผมเองก็เชื่อว่าพวกเขาก็จะเริ่มเข้ามาสนใจและอาจจะใช้มันมากขึ้น  อาจจะไม่ได้ใช้ตัดสินใจซื้อขาย   แต่อย่างน้อยมันก็อาจจะเป็นตัวประกอบหรือตัวที่ใช้ตรวจสอบกับข้อมูลเชิงคุณภาพอื่น ๆ   เหนือสิ่งอื่นใด  ข้อมูลเหล่านี้เขาได้มาแทบจะฟรีและมันอยู่แค่  “ปลายนิ้ว”

    ผมไม่รู้ว่า App การลงทุนที่เกิดจากฟินเทคต่าง ๆ  ที่กำลังออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ  นั้น  ถ้าเรานำมาใช้จริง ๆ  อย่างเป็นเรื่องเป็นราวจะให้ผลตอบแทนที่ดีมากน้อยแค่ไหน  จริงอยู่  การทดสอบย้อนหลังกับข้อมูลที่ผ่านมาหลาย ๆ  ปีอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมหรือดีเลิศจนไม่น่าเชื่อ  แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างนั้นต่อไป  เป็นไปได้ว่าคนเขียน App นั้นไป  “ขุด”  ข้อมูลผลตอบแทนของหุ้นที่ดีที่ “บังเอิญ” ไปตรงกับข้อมูลพื้นฐานของบริษัทชุดหนึ่งโดยที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันจริง ๆ มาได้  แต่อนาคตมันคงไม่บังเอิญแบบนั้นอีก   เป็นไปได้ว่าในอดีตคนยังไม่รู้ว่าหุ้นพื้นฐานดีจะให้ผลตอบแทนที่ดี  ดังนั้น  คนที่เข้าไปซื้อหุ้นพื้นฐานดีราคาถูกในอดีตจึงทำกำไรได้มาก  แต่ในปัจจุบันคนอาจจะรู้แล้วว่าหุ้นพื้นฐานดีจะให้ผลตอบแทนที่ดีจึงเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาหุ้นแพง   และหุ้นที่ดีแต่แพงนั้น  อาจจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีในอนาคตก็เป็นไปได้

    ผมเองเชื่อว่าในตลาดที่พัฒนาขึ้นนั้น  การลงทุนที่จะเอาชนะตลาดมาก ๆ  นั้นทำได้ยาก  เหตุผลก็เพราะว่ามีนักลงทุนที่เก่งและรอบรู้มาก  ถ้าคนเชื่อว่าหลักการลงทุนแบบไหนดีก็จะเข้ามาใช้มากขึ้น  ซึ่งนั่นก็จะทำให้หุ้นที่อยู่ในข่ายมีราคาแพงขึ้น  ดังนั้น  โปรแกรมการลงทุนที่คนนิยมและใช้กันมาก  สุดท้ายประสิทธิภาพของโปรแกรมก็มักจะต่ำลง  เวลาจะเป็นตัวที่บอกว่า App ไหนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว  ในระหว่างนี้  เราก็ต้องติดตามและหลายคนก็อาจจะ  “ลอง” ใช้ดู  สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ  เรื่องของความเสี่ยงที่มันอาจจะไม่เป็นไปตามที่หวัง  และถ้าเช่นนั้น  ความเสียหายคืออะไร  สุดท้ายก็คือ  เราต้องประเมินตลอดเวลาว่าโปรแกรมนั้นยังใช้ได้หรือไม่และเราจะต้องปรับตัวอย่างไร
[/size]



ตอบกลับโพส