ทางสายแคบของ VI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ทางสายแคบของ VI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ต.ค. 09, 2016 7:56 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    คนจำนวนไม่น้อยรวมถึง Value Investor จำนวนมากถ้าถูกถามว่า Value Investment แตกต่างจากการลงทุนหุ้นแบบพื้นฐานอย่างไร?  หรือ การวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ทำกันทุกวันนี้แตกต่างจากการวิเคราะห์ของ VI อย่างไร?  ผมคิดว่าหลาย ๆ  คนก็คงจะตอบไม่ได้หรือตอบไปคนละแนว  หลายคนก็อาจจะงง  เพราะดูไปแล้วหลักการทั้งสองอย่างก็คล้ายกันมากจนแยกไม่ออก    ว่าที่จริงเบน เกรแฮมผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น  “บิดาแห่งการลงทุนแบบ VI” นั้น  ก็ได้รับการยอมรับเช่นกันว่าเป็น  “คณบดี” หรือ “เจ้าสำนัก” ของ “โรงเรียนการวิเคราะห์หลักทรัพย์”  เขาน่าจะเป็นคนแรก ๆ  ที่ช่วยก่อตั้งสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของอเมริกาซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาจนถึงวันนี้  โดยที่หลักการการวิเคราะห์ที่ถูกต้องนั้นได้รับการศึกษาและเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกและมีหลักการและทฤษฎีเดียวไม่ได้มีการแยกว่านี่คือการวิเคราะห์แบบนักวิเคราะห์มืออาชีพหรือแบบ VI

    ถ้าเช่นนั้น  อะไรคือความแตกต่างระหว่าง VI กับนักลงทุน  “มืออาชีพ” โดยเฉพาะที่บริหารเงินกองทุนต่าง ๆ  และใช้หลักการการวิเคราะห์และการลงทุนตาม  “ตำรา” ที่ได้ร่ำเรียนและสอบผ่านมาตรฐานการจัดการการลงทุนระดับสากลเช่นได้ CFA (Chartered Financial Analyst) ระดับ 3 ที่เป็นเครื่อง “การันตี” ว่ามีความรู้ความสามารถพอที่จะเป็นนักลงทุน  “มืออาชีพ” ที่น่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงที่เหมาะสมให้กับคนลงทุนได้

    ในความเห็นของผมนั้น  ผมคิดว่า VI นั้นใช้หลักการมาตรฐานของการวิเคราะห์หลักทรัพย์และการลงทุนเกือบทุกประการ  ความจริง VI นั้นน่าจะเป็น  “สไตล์” ของการลงทุนมากกว่าที่จะเป็นทฤษฎีของมันเอง  VI เป็น “แนวทางย่อย” ของการวิเคราะห์หลักทรัพย์แบบพื้นฐานที่เป็น “แนวทางใหญ่”  ดังนั้นคนที่ได้ CFA Level 3 ซึ่งถือว่าจบการศึกษา “ขั้นสูงสุดของการลงทุน” จึงสามารถที่จะเรียนรู้การลงทุนแนว VI ได้ไม่ยาก    สิ่งที่เขาจะต้องทำก็เพียงแต่ปรับวิธีการคิดและเลือกแนวทางที่ “แคบ” และอาจจะฝืนความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่มักจะมี “อารมณ์” ที่เร่าร้อนและต้องการการกระทำที่เห็นผลการลงทุนในระยะสั้น  แต่นี่กลับเป็นเรื่องที่ยากที่สุด!

    “ทางสายแคบ” ที่เด่นชัดของการเป็น VI ก็คือ  พวกเขาเน้นเลือกเฉพาะหุ้นที่มีราคาถูกหรือถูกมากเทียบกับ “มูลค่าพื้นฐาน”  ที่คำนวณได้จาก “ศาสตร์” ของการวิเคราะห์หลักทรัพย์แบบพื้นฐาน  ชาวVI นั้นมักจะมองถึง Margin of Safety หรือส่วนต่างระหว่างราคากับมูลค่าที่กว้างเวลาจะซื้อหุ้นลงทุน     VI “ดั้งเดิม” นั้นไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “คุณภาพ” ของกิจการมากนัก  อาจจะเพราะว่าหุ้นของกิจการที่มี “คุณภาพดี” นั้น  มักจะไม่เคยถูกหรือไม่ค่อยถูก  ดังนั้น  เวลาต้องเลือกระหว่างของดีกับของถูก  VI รุ่นเก่าแบบดั้งเดิมนั้นมักจะเลือกของถูก  อย่างไรก็ตาม  VI รุ่นหลัง ๆ  ที่ “โดดเด่น”  เช่นวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นได้เปลี่ยนแนวความคิดนี้ไปแล้ว  พวกเขาเองยังเน้นว่าหุ้นต้องไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับ “คุณภาพ” ของกิจการ  โดยที่บางคนก็ยังเน้นเรื่องของราคามากกว่าเวลาพิจารณาเลือกหุ้นลงทุน  ในขณะที่บางคนนั้นเน้นที่คุณภาพมากกว่า   ตัวอย่างของ VI กลุ่มแรกก็คือ  พวกเขามักจะดูว่าธุรกิจต้องดูดีพอใช้ไม่ใช่ผู้นำแต่ก็ไม่ใช่ผู้แพ้  ความแน่นอนของผลประกอบการไม่สูงมากแต่ก็ไม่เลวเกินไป  แต่ถ้าราคาหุ้นค่อนข้างถูกหรือถูกมาก  เขาก็จะสนใจลงทุน  เขาไม่สนใจหุ้นที่ถูกมากแต่คุณภาพแย่แบบ VI ดั้งเดิม

    VI อีกกลุ่มหนึ่งนั้นเน้นที่คุณภาพมากกว่าราคา  พวกเขาสนใจเป็นพิเศษกับหุ้นที่มีคุณภาพสูงมากซึ่งมักจะเป็นกิจการที่มีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันสูง  บางคนก็ต้องการความได้เปรียบที่ยั่งยืนด้วย  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  พวกเขาก็ยังต้องดูว่าราคาหุ้นนั้นไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ   พูดง่าย ๆ  VI กลุ่มนี้เน้นเลือกหุ้นในกลุ่มคุณภาพดีซึ่งมักจะมีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มแรกมาก  เท่านั้นยังไม่พอ  พวกเขายังดูอีกว่าราคาหุ้นที่เห็นนั้นต้องไม่แพงเกินไป  ยกตัวอย่างเช่น  กิจการที่มีคุณภาพดีมากและอยู่ในเมกาเทรนด์อย่างเช่นโรงพยาบาล  เขาอาจจะไม่ซื้อเนื่องจากค่า PE ของหุ้นที่อาจจะสูงเกินไปบางแห่งถึง 40-50 เท่าหรือมากกว่านั้น  เป็นต้น  ด้วยเหตุนี้  หุ้นที่จะถูกเลือกลงทุนก็ยิ่งน้อยลงไปอีก   เส้นทางการลงทุนก็จะเป็น VI สายที่แคบลงไปอีก

    การวิเคราะห์ประมาณการณ์หาค่าตัวเลขของกิจการที่จะนำไปใช้คำนวณหามูลค่าหุ้นที่แท้จริงของหุ้นเองนั้น  VI ก็มักจะ “เดินสายแคบ”  พวกเขาเน้นว่าต้อง “อนุรักษ์นิยม”  นั่นก็คือ  โอกาสผิดพลาดในด้านที่แย่ลงควรจะต้องน้อย  เช่น  เวลาประมาณการรายได้และกำไรของบริษัท  เขาจะไม่ตั้งสูงเกินกว่าแนวโน้มก่อนหน้านั้น   เบน เกรแฮม เองถึงกับไม่คาดการณ์อนาคตเลย  เขาบอกว่าอนาคตไม่แน่นอน  เราควรใช้ตัวเลขจริงที่เกิดขึ้นแล้วมาคำนวณน่าจะดีกว่า  ส่วนตัวผมเองนั้น  ผมมักจะใช้ตัวเลขจริง  อาจจะบวกการเติบโตบ้างถ้าผมมั่นใจสูงว่าบริษัทสามารถโตได้จริงแต่ก็มักจะไม่เกินแนวโน้มในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  ผมจะไม่คาดการณ์อะไรที่โตกว่าปกติ  ผมต้องการความแน่นอนว่าผมจะไม่พลาด

    VI “พันธุ์แท้” จำนวนมากนั้นมักจะไม่คาดการณ์หรือประมาณการณ์อะไรถ้าไม่มีความมั่นใจสูงว่ามันจะเกิดขึ้น  ผมเองไม่สนใจว่าใครจะประมาณการว่าเศรษฐกิจ  อัตราเงินเฟ้อ  และอัตราดอกเบี้ยจะเป็นเท่าไรไม่ต้องพูดถึงว่าดัชนีหุ้นจะไปที่จุดไหนในอนาคตระยะสั้น ๆ  ข้างหน้า  ผมเชื่อว่าโอกาสที่จะถูกต้องนั้นมีพอ ๆ  กับผิด  ผมจะตั้งสมมุติฐานว่าตัวเลขเหล่านี้ก็จะ  “เท่าเดิม” เท่าปีก่อน  ในบางกรณีเช่นดัชนีหุ้นผมก็จะบวกเป็นเปอร์เซ็นต์ตามเทรนด์ระยะยาวที่เกิดขึ้นแล้วเช่น  ดัชนีหุ้นบวก 7% ในปีหน้าเป็นต้น  นี่ก็เป็น “ทางสายแคบ”  เพราะมันจำกัดไม่ให้เรา  “คาดเดา”  ไปไกลแล้วทำให้เราคาดผิดในทางที่แย่ลง  ทางสายแคบนี้อาจจะตัดโอกาสที่เราจะคาดการณ์ถึงความสดใสและตัดสินใจซื้อหุ้นในตลาดหรือหุ้นบางตัวที่อาจจะ “ดีมากจริง ๆ” ก็ได้

    อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ VI เป็นทางสายแคบของการลงทุนแบบพื้นฐานก็คือ  เรื่องของอารมณ์ที่มักจะไปมีผลต่อกลยุทธ์ของการลงทุน  VI นั้นมักจะเลือกที่จะลงทุนยาวกว่านักลงทุนกลุ่มอื่น  ราคาหุ้นที่ผันผวนในระยะสั้น ๆ  มักจะไม่ใช่จุดตัดสินใจที่จะขายหุ้นถ้าราคานั้นยังไม่เกินมูลค่าพื้นฐานไปมาก  เช่นเดียวกัน  ราคาหุ้นที่ตกลงมากเนื่องมาจากปัจจัยที่ไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานโดยตรงก็ไม่ใช่จุดที่จะตัดสินใจขายหุ้น  การซื้อและการขายหุ้นของ VI นั้นมักจะมาจากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจมากกว่าราคาที่ผันผวนซึ่งถ้าไม่มากเกินไปแล้ว VI ก็มักจะไม่อยากทำอะไร  ความคิดเรื่อง  “หุ้นก็คือธุรกิจ”  การวิเคราะห์ว่าจะซื้อหรือขายหุ้นนั้นสำหรับ VI เราก็เลือกจากมุมมองของธุรกิจเป็นหลัก  การคิดและคาดการณ์จิตวิทยาการซื้อขายหุ้นของฝูงชนประกอบอย่างนักลงทุนกลุ่มอื่นนั้นมักจะไม่ใช่หนทางที่ VI เลือก  นี่ก็เป็นทางสายแคบอีกสายหนึ่งของการลงทุน

    VI พันธุ์แท้นั้น  มักจะมีความคิดที่เป็น “อิสระ” มากกว่านักลงทุนกลุ่มอื่น   VI นั้นมักจะเป็นคนที่  “เปิดหูเปิดตา” มาก  เขาอาจจะคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการลงทุนกับคนอื่นแต่เวลาสรุปและตัดสินใจเขามักจะตัดสินใจด้วยตนเอง  VI บางคนนั้นก็เดินทาง “สายเปลี่ยว”  มีโลกของตนเองและไม่ใคร่ปรึกษากับใครเลย

    การเลือกทางสายแคบของ VI นั้น  วัตถุประสงค์หรือข้อดีหลักก็คือ  เราจะได้ไม่ผิดหรือมีโอกาสผิดน้อยลง  ข้อเสียก็คือ  โอกาสที่จะกำไรมาก ๆ ในหุ้นบางตัวก็อาจจะหายไป    นี่ก็ตรงกับปรัชญาสำคัญของ VI ที่ว่า  จง  “อย่าขาดทุน”  และผมขอเสริมว่า  “แล้วกำไรก็จะดูแลตัวมันเอง” ในระยะยาวแล้ว  โอกาสที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จก็จะน้อยลงมาก  ส่วนโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงก็อาจจะไม่น้อยกว่าแนวทางสายกว้างอื่น ๆ
[/size]



ตอบกลับโพส