เศรษฐกิจพอเพียงกับ VI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เศรษฐกิจพอเพียงกับ VI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ พ.ย. 13, 2016 8:07 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นั้น  สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องราวต่าง ๆ  ทางเศรษฐกิจของประชาชนทั่วไป  รวมถึงการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ดังที่มีการศึกษาและตีพิมพ์ในวารสารบริหารธุรกิจนิดา เล่มที่2/2550 โดย ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ที่สรุปว่าการลงทุนระยะยาวแบบอิงกับข้อมูลพื้นฐานและการลงทุนแบบ VI โดยที่มีการศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้งและมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมนั้น  สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  ตรงกันข้าม  การเก็งกำไรหวังผลระยะสั้นจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้น  ไม่สอดคล้องกับเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง  ในบทความนี้ผมจะอธิบายและเพิ่มเติมความคิดของผมเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงและการลงทุนแบบ VI ว่ามีความสอดคล้องกันมากน้อยแค่ไหน

    หลักการหรือปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้นสามารถสรุปได้สั้น ๆ  ออกมาเป็น  “สามห่วง”  นั่นก็คือ  1)  ต้องมีเหตุผล  2) มีความพอประมาณ  และ 3)  ต้องมีภูมิคุ้มกัน  และทั้งหมดต้องตั้งอยู่บน   “สองเงื่อนไข”  นั่นก็คือ  1) ต้องมีความรู้  และ 2)  ต้องมีคุณธรรม

    สำหรับผมแล้ว  คนที่จะเป็น  VI นั้นจะต้องเป็นคนที่มีเหตุผลอย่าง  “ยิ่งยวด”  เขาจะไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้หรือเป็นเรื่องเล่าหรือข่าวลือต่าง ๆ  รวมถึงความเชื่อที่แพร่หลายและบางทีเป็นที่ยอมรับกันในสังคมวงกว้างแต่ไม่มีข้อพิสูจน์  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไสยาศาสตร์หรือการทำนายแบบ  “หมอดู”   VI นั้นจะไม่เชื่ออะไรง่าย  ถ้าจะกล่าวอ้างอะไรก็ต้องมีข้อพิสูจน์หรือมีสถิติที่สามารถยืนยันได้ว่ามันมีโอกาสเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน  ตัวอย่างเช่น  ผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวที่คาดหวังสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดีนั้นคือประมาณปีละ 10% แบบทบต้น  ดังนั้น  ถ้าเราจะคาดหวังว่าจะทำผลตอบแทนได้ถึง 20-30% ต่อปีในระยะยาวเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไป  แบบนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุผล

    หลักการสำคัญเรื่องของความพอประมาณนั้น  น่าจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับ VI มากที่สุดและเป็นเหมือน  “ยี่ห้อ”  ที่บ่งบอกความเป็น VI พันธุ์แท้ก็ว่าได้   ความพอประมาณนั้น  บางคนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องของ  “ทางสายกลาง”  ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง  เช่น  ถ้าจะลงทุนก็ลงเฉพาะเท่าที่มีเงินออมอยู่  ไม่กู้มาลงทุนหรือไม่ใช้มาร์จินในการซื้อหุ้น  ไม่ซื้อวอแรนต์ ออปชั่น  หรือตราสารอนุพันธุ์ที่มีการเก็งกำไรสูงกว่าปกติมากเนื่องจากมัน “ทวีคูณ” ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ตัวแม่ขึ้นไปหลายเท่า  บางคนอาจจะมองว่าการลงทุนหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นเรื่องที่ไม่พอประมาณด้วย  อย่างไรก็ตาม  เรื่องของความพอประมาณนั้น  อาจจะไม่มีมาตรฐานตายตัว  คนบางคนที่มีความรู้หรือความสามารถทางการลงทุนสูงอาจจะมองว่าการมีหุ้น 100% นั้น  ไม่ใช่เรื่องที่เกินประมาณโดยเฉพาะถ้าลงทุนระยะยาวเป็นสิบปีขึ้นไป  เขาสามารถอ้างสถิติผลตอบแทนระยะยาวของตลาดเป็นเครื่องสนับสนุนได้    เช่นเดียวกัน  คนที่เพิ่งจะเริ่มทำงานและมีเงินออมไม่มาก  เขาก็อาจจะมองว่าการลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินตัวก็ได้

    ความพอประมาณหรือความ “พอเพียง”  ที่ผมคิดว่าเป็น “สัญลักษณ์”  อย่างหนึ่งของ VI  นั้นก็คือในเรื่องของการใช้จ่ายในชีวิต  โดยหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเองนั้นไม่ได้บอกว่าเราจะต้องประหยัดอะไรมากมายนักถ้าเรามีเงินมากพอที่จะใช้  ขอเพียงให้รู้ว่าเราต้องไม่ใช้อะไร “เกินตัว”  ที่จะก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินหรือทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บบ้างก็น่าจะเพียงพอแล้ว   อย่างไรก็ตาม  คนที่เป็น VI พันธุ์แท้ทั้งหลายนั้น   มักจะมีการใช้จ่าย “ต่ำกว่ามาตรฐานความมั่งคั่ง”  ของพวกเขามาก  ยิ่งมั่งคั่งมากเท่าไรก็ยิ่งใช้จ่ายคิดเป็นสัดส่วนน้อยลงเท่านั้น  กรณีของบัฟเฟตต์เป็นตัวอย่างที่ดี  แต่จริง ๆ  แล้ว VI คนอื่น ๆ  ก็มักจะมีลักษณะไม่แตกต่างกัน   ประเด็นก็คือ  VI มักจะเป็นคนที่ “รู้ค่าของเงิน” มากจนทำให้ไม่อยากจะใช้ในสิ่งที่มันไม่งอกเงยและในที่สุดก็เสื่อมสลายไปอย่างเช่นรถยนต์หรือสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ  ที่มีราคาแพงแต่ให้ประโยชน์ใช้สอยไม่ต่างกับสิ่งของแบบเดียวกันที่มีราคาถูกกว่า

    ห่วงที่สามคือเรื่องของการมีภูมิคุ้มกันนั้น   ก็เป็นเรื่องที่ VI ให้ความสำคัญมากนั่นก็คือมันตรงกับแนวความคิดเรื่อง  Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัย  ที่เบน เกรแฮมพูดถึงในหนังสือคลาสสิกของเขา  นั่นก็คือ  เวลาจะลงทุนทุกครั้งนั้นเราต้องคำนึงถึงโอกาสของความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการคาดการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่าง ๆ   ดังนั้นเวลาซื้อหลักทรัพย์เราจะต้อง “เผื่อ”  ว่า  ถ้าทุกอย่างเลวร้ายลง  ราคาหุ้นก็จะไม่ตกลงมาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของมัน  และนี่ก็คือการเลือกหุ้นเป็นรายตัว   แต่ถ้ามองเป็นพอร์ตโฟลิโอ  เราก็ต้องกระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นหรือหลักทรัพย์หลาย ๆ  ตัวในหลาย ๆ  อุตสาหกรรมที่จะทำให้  “ภูมิคุ้มกัน”  ความมั่งคั่งของเราแข็งแรงพอที่จะต้านภาวะเลวร้ายต่าง ๆ  ได้

    ทั้งสามห่วงหรือสามประเด็นสำคัญที่กล่าวข้างต้นนั้น  เราจะไม่สามารถกำหนดได้เลยถ้าเราไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนและประวัติศาสตร์ผลตอบแทนการลงทุนรวมถึงความเสี่ยงต่าง ๆ  ที่เคยเกิดขึ้นในตลาดไทยและทั่วโลก  คนที่เป็น VI นั้นจึงต้องศึกษาและเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ  มากมายเพื่อที่จะเข้าใจโลกโดยเฉพาะของการลงทุนอย่างลึกซึ้งและไม่เฉพาะแต่บริษัทหรือหุ้นรายตัวที่จะลงทุน   โลกของ VI นั้นจะต้องเป็นโลกที่ “กว้าง”  เขาจะต้องเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ  ทางสังคมและการเมืองเช่นเดียวกับเรื่องของเศรษฐกิจ   ถ้าเราศึกษาและติดตามคนอย่าง เบน เกรแฮม ก็จะพบว่าเขานั้นมีความรู้กว้างขวางมากทางด้านศิลปะด้วย  วอเร็น บัฟเฟตต์เองนั้นสามารถวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางด้านสังคมและการเมืองได้อย่างลึกซึ้ง  VI นั้นอาจจะพูดถึงเรื่องของการลงทุนมากมายแต่สิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นมักจะถูกกลั่นกรองมาจากพื้นฐานความรู้ที่หลากหลายที่เขาไม่ได้พูด

    เงื่อนไขสุดท้ายที่สำคัญและเป็นสิ่งที่จะกำหนดให้เกิดความสำเร็จในระยะยาวอย่างยั่งยืนจริง ๆ ก็คือเรื่องของคุณธรรมที่ VI จะต้องมีและต้องยึดมั่น   วอเร็น บัฟเฟตต์ เองเคยพูดว่า  เราต้องการคนที่ฉลาด  ขยัน  และ ซื่อสัตย์มีคุณธรรม  แต่ถ้าไม่มีข้อสุดท้าย  เราก็อยากให้เขาโง่และขี้เกียจจะดีกว่า  เพราะคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์นั้นจะทำให้ทุกอย่างเสียหาย   ผมเองคิดว่า  ในการลงทุนนั้น  VI จะต้องประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง  การพยายามปั่นหุ้น  ใช้ข้อมูลภายใน  หรือการเอาเปรียบนักลงทุนคนอื่นไม่ว่าทางใดนั้น  อาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีในบางครั้ง  แต่ในระยะยาวแล้ว  มันก็คงไม่ทำให้เราดีไปกว่าที่ควรจะเป็นมากนัก   แต่ถ้าพลาด  หรือมีการทำเป็นนิจสินจนคนขาดความเชื่อถือ  ในที่สุดผลร้ายก็จะกลับมาสู่ตนเอง  ดังนั้น  ผมคิดว่าการมีคุณธรรมนั้นจะเป็นเกราะคุ้มกันที่ VI จะต้องสร้างขึ้นให้แข็งแรงเพื่อที่จะยึดโยงชีวิตของเราทั้งหมดทั้งเรื่องการลงทุนและอื่น ๆ ให้อยู่อย่างมั่นคงตลอดไป

    ทั้ง 3 ห่วงและ 2 เงื่อนไข ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้น  ต่างก็มีผลกระทบซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง  การขาดแคลนในประเด็นใดประเด็นหนึ่งอาจจะกระทบรุนแรงต่อประเด็นอื่น ๆ  ได้   ดังนั้น  เราไม่สามารถที่จะทำเพียงบางประเด็นและละเลยเรื่องอื่น  บางคนอาจจะทำทุกเรื่องได้ดีแต่พลาดเรื่องภูมิคุ้มกัน  สุดท้ายเวลามีวิกฤติก็อาจจะล้มละลาย  บางคนทำทุกอย่างแต่อาจจะมีความรู้น้อยเกินไปทำให้สิ่งที่ทำนั้นผิดพลาด  บางคนเก่งทุกอย่างแต่ย่อหย่อนเรื่องคุณธรรมสุดท้ายกลายเป็น  “จำเลย”  ทั้งหมดนั้นก็คือตัวอย่างที่จะเตือนให้เราตระหนักว่า  หลักการเศรษฐกิจพอเพียงนั้น  จำเป็นที่จะต้องทำอย่าง “บูรณาการ”  ต้องทำครบทั้งกระบวนการจึงจะได้ผล  เช่นเดียวกับหลักการของ VI  ที่ไม่ใช่แค่การเลือกหุ้น  แต่เป็นเรื่องของ  “ชีวิต” ทั้งหมด
[/size]



ตอบกลับโพส