เสือ สิงห์ กระทิง เม่า/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เสือ สิงห์ กระทิง เม่า/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ธ.ค. 03, 2017 10:44 pm

นักลงทุนหรือคนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น ถูกจัดให้อยู่ใน 4 กลุ่มคือ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ และกลุ่มนักลงทุนส่วนบุคคล ในการซื้อขายหุ้นแต่ละวันนั้น ตลาดหลักทรัพย์ก็จะรายงานว่ากลุ่มไหนซื้อและขายคิดเป็นเงินกี่บาทและสรุปยอดซื้อขายสุทธิของแต่ละกลุ่มด้วย สถิติการซื้อขายในช่วงหลัง ๆ นี้บอกว่ากลุ่มนักลงทุนสถาบันและพอร์ตของบริษัทหลักทรัพย์มีการซื้อขายประมาณกลุ่มละ 10% กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ 30% และกลุ่มนักลงทุนส่วนบุคคลประมาณ 50% นี่ก็เป็นสถิติที่บอกถึงแนวโน้มที่ลดลงของนักลงทุนส่วนบุคคลที่เคยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 70% ในอดีต โดยกลุ่มที่เพิ่มขึ้นมากก็คือกลุ่มนักลงทุนสถาบันและพอร์ตของโบรกเกอร์ ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศดูเหมือนจะทรงที่ประมาณ 30% มายาวนาน มาดูกันว่านักลงทุนแต่ละกลุ่มนั้นเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นอย่างไร บางทีการที่เข้าใจพวกเขาจะทำให้เราสามารถลงทุนได้ดีขึ้นบ้าง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักลงทุนทั้งหลายในตลาดเองนั้น ต่างก็ “แข่งขัน” กันที่จะ “เอาชนะ” หรือสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าคนอื่น

กลุ่มนักลงทุนกลุ่มแรกก็คือนักลงทุนสถาบันนั้น ประกอบด้วยกองทุนรวมต่าง ๆ ที่บริหารเงินของผู้ที่ถือหน่วยลงทุน กองทุนของหน่วยงานใหญ่ ๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และพอร์ตลงทุนของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตต่าง ๆ ซึ่งนับวันก็จะมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมันมักจะเป็นเงินที่ผู้ถือหน่วยลงทุนเก็บเงินสะสมไว้เพื่อการเกษียณและส่วนใหญ่เป็นเงินที่กฎหมายบังคับหรือให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนซึ่งทำให้เงินในส่วนนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในยามที่ตลาดหุ้นไม่ดี และนี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนในกลุ่มนี้โตขึ้นเรื่อย ๆ และมีอิทธิพลสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในตลาดหลักทรัพย์

โดยปกติ นักลงทุนกลุ่มนี้จะถือหุ้นยาวกว่ากลุ่มอื่น การเลือกหุ้นลงทุนก็จะเน้นทางด้านขนาดและคุณภาพของหุ้น นั่นก็คือ พวกเขาจะเน้นถือหุ้นขนาดใหญ่ประเภท “บลูชิพ” เป็นหลัก โดยที่จะซื้อหุ้นขนาดกลางที่มีคุณภาพดีและอาจจะโตเร็วเป็นตัวเสริมเพื่อที่จะสร้าง “ผลงาน” การลงทุนให้สูงขึ้น ส่วนหุ้นตัวเล็กและหุ้นที่อาจจะมีภาพว่าเป็นหุ้นปั่นหรือหุ้นเก็งกำไรสูงนั้นส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็จะหลีกเลี่ยง เหตุผลก็คือ คนที่บริหารเงินนั้นมักจะเป็น “มืออาชีพ” ที่ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรมากนักถ้าบริหารได้ดีมีผลตอบแทนการลงทุนสูง แต่ถ้ากองทุนเสียหายหรือผลตอบแทนตกต่ำ พวกเขาจะลำบาก อาจจะต้องตกงานถ้าไปลงทุนในหุ้นที่ “มีปัญหา”

นักลงทุนสถาบันเองนั้น มักจะเรียนมาจากตำราเดียวกันและมีพื้นฐานทางสังคมและความคิดใกล้เคียงกันด้วย นอกจากนั้น พวกเขาก็มักจะได้รับข้อมูลแทบจะชุดเดียวกันนั่นก็คือ พวกเขาไปฟังผู้บริหารบริษัทบรรยายและให้ข้อมูลแบบเดียวกัน เขาอ่านบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์คนเดียวกัน ดังนั้น การคิดและตัดสินใจลงทุนในหุ้นก็อาจจะคล้าย ๆ กัน ผลก็คือ บ่อยครั้งพวกเขาจะซื้อหรือขายหุ้นในทิศทางเดียวกัน ผมเองสังเกตดูในระยะหลัง ๆ นั้นพบว่า วันไหนที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิมาก ๆ ดัชนีหุ้นมักจะขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าพวกเขาขาย ดัชนีก็มักจะตกลงมา ทฤษฎีของผมก็คือ พวกเขาซื้อหรือขายหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลต่อดัชนีมากในทิศทางเดียวกัน แน่นอน เขาคงไม่ได้คุยกัน แต่คนที่มีหลักการเดียวกัน มีพื้นฐานและการฝึกฝนคล้ายคลึงกัน เข้าถึงข้อมูลแบบเดียวกัน ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะคิดและทำแตกต่างกันได้มาก ผลงานการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนสถาบันจึงไม่ต่างกันมากนัก และนั่นก็เป็นปัญหาที่ทำให้คนที่ “เลือกได้” จึงไม่สนใจลงทุนกับกองทุนรวมหุ้นมากนัก

แต่การแข่งขันกันรุนแรงในธุรกิจจัดการการลงทุนก็ทำให้ในระยะหลังเองก็มีกองทุนรวมที่สร้างความแตกต่างจากสิ่งที่เคยทำ บางบริษัทก็เริ่มลงทุนแบบกล้าเสี่ยงมากขึ้น จากการลงทุนที่เน้นแต่หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ก็เริ่มหันมาลงทุนในหุ้นขนาดเล็กลงมาที่ “โตเร็ว” จากวิธีการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงมากก็หันมา Focus หรือเน้นหุ้นน้อยตัวลง การฟังการแถลงผลประกอบการและแผนงานพร้อมกับนักวิเคราะห์ก็กลายเป็นการเข้าพบผู้บริหารเป็นส่วนตัว หลักการลงทุนก็อาจจะเปลี่ยนแนวเป็นแบบ “VI” กล่าวโดยสรุปก็คือ การลงทุนของกองทุนเหล่านี้บางแห่งก็ทำคล้าย ๆ กับ “นักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่” ที่การลงทุนหรือซื้อหุ้นของตนเองนั้นส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่อยครั้งกองทุนถือหุ้นในบริษัทเกินกว่า 5% ของบริษัทที่มักจะมีหุ้น Free Float ต่ำอยู่แล้ว ซึ่งมักส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงมากและทำให้ผลงานการลงทุนของกองทุนโดดเด่นขึ้นอย่างชัดเจน และดังนั้น กองทุนรวมก็คงไม่ใช่นักลงทุนที่คนจะมองข้ามได้ ผมเองอยากจะเรียกพวกเขาว่าเป็น “เสือ” ในยุทธจักรหุ้น

นักลงทุนกลุ่มที่สองก็คือ โบรกเกอร์ ซึ่งก็หันมา “เล่นหุ้น” มากขึ้นเรื่อย ๆ ค่าที่ว่าซื้อขายหุ้นโดยไม่เสียค่าคอมมิชชั่นและมีเงินสดที่แทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลยจำนวนมาก นอกจากนั้น พวกเขาก็ยังมีข้อมูลและบทวิเคราะห์ที่ลึกและล่าสุดเทียบกับนักลงทุนกลุ่มอื่น ด้วยเหตุดังกล่าว โบรกเกอร์จึงหันมาหารายได้หรือทำเงินจากการซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น พวกเขาคิดว่าไม่ต้องทำผลตอบแทนมากก็คุ้มเมื่อเทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยแค่ 1% ต่อปีของเม็ดเงินที่มีอยู่ นอกจากนั้น การซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นสำหรับโบรกเกอร์หลายแห่งก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นและเสริมกับบริการหรือผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ใหม่ ๆ ที่บริษัทออกมาในช่วงหลัง ๆ อย่างไรก็ตาม พอร์ตโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ไม่น่าจะเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาว พวกเขาน่าจะแค่ซื้อ ๆ ขาย ๆ ซึ่งแปลว่าเมื่อพวกเขาซื้อหุ้นสุทธิสะสมมาก ๆ แล้วหลังจากนั้นก็จะถึงเวลาขาย วิธีการลงทุนของโบรกเกอร์นั้น ผมเองคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะมองระยะสั้น ๆ โดยเน้นภาวะตลาดหุ้นและเรื่องราวของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก การดูเรื่องของโมเมนตัมและเทคนิคน่าจะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการซื้อขายหุ้น ถ้าจะให้นิยามโบรกเกอร์ ผมจะเรียกว่าเป็น “สิงห์” ในสนามหุ้น

กลุ่มที่สามคือ นักลงทุนต่างประเทศ นี่คือกลุ่มนักลงทุนที่ “ลงทุนระยะกลาง” โดยเน้นที่พื้นฐานของกิจการเช่นเดียวกับภาวะเศรษฐกิจของไทยและตลาดหุ้น “ทั่วโลก” โดยเฉพาะที่เป็นตลาดกำลังพัฒนา พวกเขาจะเปรียบเทียบตลาดหุ้นไทยกับตลาดกำลังพัฒนาอื่นตลอดเวลา เงินของพวกเขามักจะเข้าออกตลาดหุ้นไทยเป็นรอบ ๆ ยามที่ตลาดหุ้นไทยถูกและพื้นฐานเศรษฐกิจดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่น พวกเขาก็จะนำเงินเข้ามาลงทุน เป็น ผู้ซื้อสุทธิ ตรงกันข้าม ช่วงที่พื้นฐานไม่สดใสและหรือหุ้นแพง พวกเขาก็จะขายสุทธิ นักลงทุนต่างประเทศน่าจะ 80-90% ขึ้นไปมักจะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ก็อาจจะมีนักลงทุนต่างประเทศบางกลุ่มเช่นที่เป็นเฮ็ดจ์ฟันด์ที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและใช้วิธีแบบนักลงทุน “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นไทยและลงทุนอย่างค่อนข้างหวือหวาเพื่อทำกำไรมากและเร็วด้วย สำหรับชื่อของนักลงทุนกลุ่มต่างประเทศนั้น ผมอยากจะเรียกว่าเป็น “กระทิง”

นักลงทุนกลุ่มสุดท้ายก็คือนักลงทุนส่วนบุคคลที่ผมจะใช้คำว่า “เม่า” หรือแมลงเม่าที่มักชอบตามแห่หรือตามแสงไฟคล้าย ๆ แมลงเม่า นี่คือนักลงทุนส่วนบุคคลที่ชอบเล่นหุ้นรายวันหรือในเวลาสั้น ๆ เป็นเดือนหรืออย่างมากก็ไม่กี่เดือน พวกเขาจะเข้าซื้อหุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นแรงและขายหุ้นที่กำลังตกลงมาแรง หุ้นเหล่านี้จะมีปริมาณการซื้อขายสูงลิ่ว บ่อยครั้งติดอันดับ 1 ใน 10 หรืออย่างน้อยก็ 1 ใน 20 อันดับ หุ้นที่ซื้อขายเหล่านั้นมักจะต้องเป็นหุ้นที่มี Story หรือเรื่องราวน่าสนใจและมี “เจ้ามือ” หรือ “คนดูแลหุ้น” ที่พร้อมเข้ามาเชียร์และซื้อขายหุ้นที่จะทำให้หุ้นเคลื่อนไหวหวือหวา นักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยนั้นมักจะไม่สนใจพื้นฐานของกิจการเช่นเดียวกับความถูกแพงของหุ้น พวกเขามักซื้อขายหุ้นคล้าย ๆ กับการเล่นการพนันที่มีเจ้ามือและมีการได้เสียเป็นรอบ ๆ

ในส่วนของนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่เองนั้น ผมไม่คิดว่าพวกเขาเป็นเม่าอย่างแน่นอน เพราะเม็ดเงินที่มากและวิธีการลงทุนของพวกเขาเองนั้นไม่ได้แพ้นักลงทุนทั้งที่เป็นเสือ สิงห์หรือกระทิง ว่าที่จริงนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ของไทยเองนั้นก็มีแนวทางหลากหลาย เขาอาจจะเป็นเสือหรือสิงห์หรือกระทิงก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขามีกลยุทธ์อย่างไรเป็นการเฉพาะ ในส่วนของผมเองนั้น ผมเรียกตัวเองว่า “เต่า” ที่เน้นการลงทุนแบบปลอดภัยและอาศัยเวลายาวนานในการสร้างผลตอบแทน หรือพูดง่าย ๆ ลงทุนแบบ “ช้าแต่ชัวร์” เหมือนเต่า



ตอบกลับโพส