โค้ด: เลือกทั้งหมด
การเรียนรู้เรื่องของการลงทุนนั้น สิ่งสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเรียนรู้เรื่องของ “คน” หรือถ้าจะให้ชัดเจนลงไปอีกก็คือการเรียนรู้เรื่อง “พฤติกรรมของคน” เพราะคนเป็นคนที่ “ลงทุน” หรือ “เล่นหุ้น” อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ราคาของหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นขึ้นอยู่กับการซื้อขายของคน คนบางคนก็ใช้ “เหตุผล” ในการตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายอิงจาก “มูลค่าที่แท้จริง” ของกิจการ คนอีกจำนวนมากก็ใช้ “อารมณ์” ในการซื้อขายโดยอิงจาก “ราคา” ที่ขึ้นลงและ “เรื่องราว” ของกิจการที่เขาคิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือพูดง่าย ๆ ซื้อขายหุ้นโดยอิงจาก “จินตนาการ” ที่เขามีต่อตัวหุ้นและกิจการ
ระหว่างความจริงหรือ Fact กับ จินตนาการหรือ Imagination นั้น อะไรที่มี “พลัง” มากกว่าในการตัดสินใจของคนที่จะซื้อหรือขายหุ้น? นี่เป็นประเด็นสำคัญที่เราควรทำความเข้าใจ เพราะถ้าเรารู้ เราก็จะสามารถคาดการณ์หรืออธิบายปรากฏการณ์ของหุ้นที่เคลื่อนไหวในตลาดได้ดีขึ้น เช่นเดียวกัน ถ้าเรารู้ เราก็สามารถกำหนดหรือควบคุมตนเองให้ปฏิบัติในทางที่เป็นคุณแก่การลงทุนของตัวเองได้ดีขึ้นเช่นกัน
การดำเนินชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกก่อร่างขึ้นโดยยีนของคนนั้นบอกว่าเราเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดกว่าสัตว์อื่นในมิติสำคัญก็คือ เราเป็นสัตว์ที่สามารถสร้าง “จินตนาการ” ที่ซับซ้อนขึ้นในใจและปฏิบัติตนตามนั้นได้อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยที่จินตนาการนั้น ถูกส่งผ่านจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่งโดยการสื่อสารที่มนุษย์มีความสามารถสูงมากผ่านการพูดและภาษาที่ไม่มีสัตว์อื่นทำได้ดีเท่าหรือใกล้เคียง นั่นทำให้เราเป็นสัตว์ที่มีความสามารถสูงมากเหนือสัตว์อื่นทั้งปวงเพราะเราสามารถ “รวมพลัง” กันทำสิ่งต่าง ๆ ที่คนคนเดียวหรือคนน้อยคนไม่สามารถทำได้ พูดง่าย ๆ คนครองโลกได้ไม่ใช่เพราะเราฉลาดล้ำเลิศ แต่เราครองโลกเพราะเราสามารถรวมพลังได้ดีมาก—ผ่านจินตนาการร่วมของคนในสังคม
เราจินตนาการว่าเรามีเมืองมีประเทศ มีกฎหมาย มีศาสนา มีวัฒนธรรมของตนเองและเราก็ปฏิบัติตนตามสิ่งที่คนในสังคมเชื่อ เราสร้าง “เงิน” ขึ้นมาที่ทุกคนยอมรับและสามารถนำไปแลกซื้อสิ่งของต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เงินนั้น “กินไม่ได้” จริง ๆ แล้วเงินก็คือกระดาษหรือแม้แต่เป็นแค่ตัวเลขในธนาคารหรือตัวเลขสมมุติในคอมพิวเตอร์แบบบิตคอยน์ เราเชื่อในอำนาจของข้าราชการที่คุมกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามกฎหมายที่เราเขียนขึ้น เราสามารถซื้อขายหลักทรัพย์กับคนที่เราไม่เห็นหน้าและไม่กลัวว่าจะไม่ได้รับเงิน ทั้งหมดนั้นเพราะเราและคนในสังคมต่างก็มีจินตนาการและปฏิบัติตามจินตนาการนั้น
แน่นอน เรายังปฏิบัติตาม “ความจริง” ที่เรารู้สึกและรับรู้ได้เช่น เราหิวเราก็ต้องหาอะไรมากิน เรามีอารมณ์รักเราก็อยากจะมีเพศสัมพันธ์ เราโกรธเราก็ปฏิบัติอย่างหนึ่ง เรารักคนในครอบครัวและเราก็คอยช่วยเหลือให้ปลอดภัยจากอันตรายเช่นเดียวกับที่เรา “รักชาติไทย” เราก็ปฏิบัติต่อชาติทำนองเดียวกันเพียงแต่นั่นเป็นเรื่องที่มาจากจินตนาการว่าเราเป็น “คนไทย” เราอาจจะไม่รัก “ชาติอื่น” โดยเฉพาะถ้าเราคิดว่าชาตินั้นเป็น “ศัตรู” เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปก็ไม่เคยแยกว่าพฤติกรรมที่เราทำเหมือนกันนั้น บางทีก็มีเหตุผลมาจาก Fact แต่บางทีก็มาจาก Imagination บ่อยครั้ง “ความรุนแรง” นั้นมาจากจินตนาการมากกว่าความจริงด้วยซ้ำ
กระบวนการในการสร้างจินตนาการที่สำคัญที่สุดก็คือการสื่อสารโดยเฉพาะในยุคที่การสื่อสารมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างทุกวันนี้ ในอดีต การสื่อสารเพื่อสร้างจินตนาการให้กับคนในสังคมก็เพียงแต่ผ่านการบอกเล่า การสวด การอบรมสั่งสอนโดยคนในครอบครัว ต่อมาก็มีสื่อเช่นคำสั่งหรือประกาศผ่านกระดาษ ตามด้วยหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ จนถึงขณะนี้เรามี Internet และสื่อสังคมแบบเคลื่อนที่สำหรับแต่ละคนซึ่งทำให้กระบวนการสร้างจินตนาการก้าวถึงจุดสุดยอด ผลกระทบก็คือ เมื่อคนจำนวนมากมีจินตนาการแบบเดียวกัน พวกเขาก็ปฏิบัติแบบเดียวกัน และนั่นส่งผลให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีผลอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าในอดีต—ทั้งในด้านที่ดีและร้าย
ถ้าจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นนั้น สอดคล้องและถูกต้องตามความเป็นจริงที่ควรจะเป็นในอนาคต การปฏิบัติตามจินตนาการนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้อย่างดีและยั่งยืน ตรงกันข้าม ถ้าจินตนาการนั้นไม่ถูกต้องหรือดีเฉพาะในสถานการณ์หนึ่งแต่เมื่อสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอาจจะไม่เหมาะสม การปฏิบัติตามจินตนาการจะกลายเป็นเรื่องที่อันตราย บางทีมันอาจจะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่นการสร้างจินตนาการรักชาติและทำลายอีกประเทศหนึ่งของชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์ เป็นต้น
กลับมาที่เรื่องของการลงทุน ราคาหรือความถูกความแพงของหุ้นนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ มันสะท้อน Fact ของตัวบริษัท และ Imagination ของคนต่อหุ้นตัวนั้น Fact ของหุ้นก็คือคุณภาพหรือความแข็งแกร่งทางการตลาดที่บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีแค่ไหน Fact รวมถึงความสามารถในการทำกำไรและความยั่งยืนของกำไรนั้น และ Fact ยังรวมถึงการเติบโตของบริษัท ยิ่งบริษัทโตเร็วและโตต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน กิจการก็ยิ่งมีมูลค่าที่แท้จริงสูง ราคาหรือความถูกความแพงของหุ้นในระยะยาวแล้วก็จะสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปหลาย ๆ ปี หุ้นที่แข็งแกร่งมากและโตเร็วอาจจะมีมูลค่าคิดจาก PE เป็น 1.5 หรือ 2 เท่าของ PE เฉลี่ยของตลาดในขณะนั้น เป็นต้น
แต่ราคาหุ้นที่แท้จริงในขณะนั้นอาจจะไม่ได้สะท้อนเพียง Fact บ่อยครั้งมันสะท้อน Imagination ของคนเล่นหุ้นด้วย จินตนาการของคนลงทุนในหุ้นนั้นอาจจะผิดจาก Fact มาก พวกเขาคิดหรือฟังคนอื่นที่ช่วยสร้างจินตนาการว่าอนาคตของบริษัทจะไม่เหมือนอดีต กิจการจะแข็งแกร่งและโตเร็วขึ้นกว่าเดิมมากด้วยเหตุผลร้อยแปด และการเติบโตนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้นมหาศาล การซื้อหุ้นในขณะนี้ก่อนที่บริษัทจะโตและราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงคือหนทางที่จะทำให้รวยจากหุ้นได้เร็วที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด เซียนทั้งหลายต่างก็บอกว่าการลงทุนนั้นคุณต้อง “มองไปข้างหน้า อย่ามองกระจกหลัง” อดีตนั้นไม่สำคัญ อนาคต (ในจินตนาการ) คือสิ่งที่กำหนดว่าราคาหุ้นจะไปทางไหน นี่คือเรื่องของจินตนาการล้วน ๆ
Value หรือมูลค่าหุ้นที่มาจากจินตนาการนั้น บางครั้งมีค่าสูงยิ่งกว่ามูลค่าพื้นฐานของบริษัท หุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมที่มีมูลค่าพื้นฐานเท่ากับ PE 30 เท่า นั้นอาจจะสามารถเพิ่มราคาขึ้นไปอีกเท่าตัวเป็น PE 60 เท่าได้ง่าย ๆ ถ้านักลงทุนจำนวนมากมี Imagination ว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่หรือกลายเป็นบริษัท “ระดับโลก” เหตุผลนั้นอาจจะไม่น่าเชื่อถือ แต่มนุษย์เองนั้นส่วนใหญ่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการตัดสินใจโดยเฉพาะในช่วงสั้น ๆ อารมณ์นั้นเหนือกว่าเหตุผลเสมอ
ในยามที่ตลาดหุ้นเงียบเหงายาวนานหรือเป็น “ตลาดหมี” คนมักจะไม่มี Imagination กับหุ้นนัก หรือถ้าจะมีก็เป็นทางด้านลบที่คนอยากหลีกเลี่ยงและสื่อสารให้คนในสังคมรู้สึก “กลัว” ราคาหุ้นก็จะสะท้อนกับ Fact หรือความจริงของหุ้นซึ่งก็คือความแข็งแกร่งและการเติบโตที่แท้จริงของบริษัท ตรงกันข้าม ในยามที่ตลาดหุ้นร้อนแรงคึกคักเป็นตลาดกระทิงและผู้คนต่างก็ “รัก” หุ้น คนก็มักจะมี Imagination ที่ดี ๆ เกี่ยวกับหุ้นและให้มูลค่าหุ้นตัวนั้นสูงกว่าปกติมาก หน้าที่ของ VI “พันธุ์แท้” ทั้งหลายก็คือ ทุกครั้งที่วิเคราะห์พิจารณาการลงทุนในหุ้นแต่ละตัว เราจะต้องพยายามแยกแยะว่าราคาหุ้นที่เราเห็นนั้น PE กี่เท่าที่มาจากพื้นฐาน และ PE อีกกี่เท่านั้นมาจากจินตนาการของคนที่เล่นหุ้นตัวนั้นอยู่ สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว เรามักจะให้ Value เฉพาะที่มาจากพื้นฐาน ส่วน Value ที่มาจากจินตนาการของคนในตลาดนั้น เราต้องไม่ให้ค่า เหตุเพราะเราไม่รู้ว่าจินตนาการจะเปลี่ยนไปเมื่อไร บ่อยครั้งมันเปลี่ยนแปลงไปแทบจะในชั่วข้ามคืน ถ้าไม่เชื่อลองไปดูว่าหุ้นที่ราคาตกลงมาเป็น “หายนะ” นั้น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นคนในตลาดหุ้น “จินตนาการ” ว่าบริษัทเป็นอย่างไร