โค้ด: เลือกทั้งหมด
เหตุการณ์ที่แบงค์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งประกาศว่าจะไม่คิดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินและการทำธุรกรรมอื่นผ่านระบบดิจิตอลหรือ App. ของธนาคารบนมือถือและเครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ เมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นทำให้แบงค์อื่น ๆ แทบทั้งหมดต้องประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมตามในระดับเดียวกันหรือมากกว่า เหตุการณ์นี้เกิดรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อและทำให้ราคาของหุ้นแบงค์ในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาแรงแต่ก็เพียงวันสองวันก่อนที่จะทรงตัว เหตุผลนั้นคงเป็นเพราะว่านักลงทุนตกใจเนื่องจากค่าธรรมเนียมเป็นรายได้หลักของธนาคารโดยเฉพาะที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มีลูกค้ารายย่อยจำนวนมากที่ทำธุรกรรมการโอนเงินเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม รายได้จากค่าธรรมเนียมในการโอนเงินผ่านแอ็บนั้นก็ยังไม่มากนัก เหตุผลคงเป็นเพราะว่าคนไทยเองก็ยังไม่คุ้นเคยกับช่องทางนี้รวมถึงการที่อุปกรณ์และโครงสร้างของธนาคารเช่นเครื่องคิวอาร์โค้ดก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก ดังนั้น นักวิเคราะห์หลายคนก็เลยมีความเห็นว่ามันคงกระทบรายได้ของแบงค์ไม่มากนัก คิดเป็นกำไรที่หายไปในปีนี้ไม่น่าจะเกิน 5% แต่สำหรับผมซึ่งมองการลงทุนในระยะยาวแล้ว เรื่องนี้คงต้องติดตามและวิเคราะห์ให้ไกลไปกว่านั้น
เรื่องของการถูก Disrupt หรือ “ถูกทำลายให้ล่มสลายอย่างรวดเร็ว” โดยเทคโนโลยีในระยะหลังนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษแม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคน “โลว์เทค” ที่ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหตุผลก็เพราะว่าผมได้เห็นสิ่งที่เทคโนโลยีโดยเฉพาะด้านดิจิตอลที่สามารถทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงมากได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมากและมันเริ่มเข้ามาทำแทนมนุษย์ซึ่งทำให้กิจกรรมของคนถูกแทนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผลก็คือ บริษัทแบบดั้งเดิมที่ดำเนินการอยู่ถูกบริษัทรุ่นใหม่ใช้เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแข่งขันและได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว การ “ล่มสลาย” ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเดิมและบริษัทที่ทำธุรกิจนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วจนน่าตกใจโดยเฉพาะในประเทศที่มีการพัฒนาสูงกว่า
ในประเทศไทยเองนั้นเราก็เริ่มเห็นการ “ล่มสลาย” หรือการใกล้ล่มสลายของหลาย ๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอลหรืออาจจะถูกดิจิตอลทำลายซึ่งน่าจะรวมถึงเรื่องของสื่อเช่นทีวี หนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย อุตสาหกรรมที่ถูกจับตามองมากกลุ่มต่อมาก็คือเรื่องของการค้าขายและการเงินซึ่งอยู่ในข่ายที่อาจจะถูก Disrupt ได้เนื่องจากมันทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเหมือนกับสื่อซึ่งทั้งหมดนั้นในยุคดิจิตอลสามารถแทนที่ได้ง่ายด้วยเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและ AI หรือความรู้ความสามารถในการคิดของคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม หลายคนโดยเฉพาะที่ “มองโลกในแง่ดี” ก็ยังคิดว่า “เมืองไทยไม่เหมือนที่อื่น” เพราะ…
การที่แบงค์ประกาศ “Disrupt” ระบบการโอนเงินผ่าน App. ครั้งนี้นั้นช่วยยืนยันความคิดของผมว่า “เมืองไทยก็เหมือนที่อื่น” โดยเฉพาะที่มีระดับความมั่งคั่งของประชาชนในระดับเดียวกัน ความแตกต่างนั้นถ้าจะมีก็เป็นเรื่องของรายละเอียดและเรื่องของเวลา พูดง่าย ๆ เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้วที่อเมริกาและที่จีน ไม่ช้าก็เร็ว มันก็จะมาเกิดที่ประเทศไทย เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ เรื่องของแบงค์ที่ประกาศเลิกคิดค่าธรรมเนียมผ่านระบบดิจิตอลครั้งนี้ผมคิดว่าเป็นเพราะแบงค์รู้ดีหรือเชื่อว่าในที่สุดคนไทยก็จะโอนเงินและทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบโทรศัพท์มือถือหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือระบบคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่เหมือนประเทศที่ก้าวหน้ากว่าเช่นอเมริกาและจีน และการทำธุรกรรมแบบนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ใช้ต้นทุนต่ำมากซึ่งทำให้ผู้ให้บริการสามารถให้บริการแบบ “ฟรี” โดยที่คนให้บริการสามารถไปหารายได้ “ทางอ้อม” ผ่านเครือข่ายของลูกค้าที่มาใช้งานในระบบได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือการให้บริการของอาลีบาบาและบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นของจีนที่สามารถดึงดูดให้คนหันมาใช้บริการการจ่ายและโอนเงินอย่างแพร่หลายทั่วประเทศจีนและลามมาถึงเมืองไทยตามนักท่องเที่ยวจีน
แบงค์ขนาดใหญ่ของไทยคงคิดแล้วว่าถ้าตนเองยังคิดค่าธรรมเนียมจากการใช้บริการ วันหนึ่งก็จะมีบริษัทอื่นที่ไม่ใช่แบงค์ซึ่งอาจรวมถึงบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาให้บริการ “ฟรี” และแย่งลูกค้าของตนไปและวันนั้นตนเองก็จะเสียหาย คือนอกจากจะไม่ได้ค่าธรรมเนียมแล้วก็ยังเสียลูกค้าให้กับคนอื่น ไม่ใช่ลูกค้าด้านการโอนเงิน แต่เป็นลูกค้าที่ต้องการใช้บริการการเงินอื่น ๆ เช่น การลงทุนการซื้อประกันและอื่น ๆ อีกมาก และนี่ก็คือสิ่งที่นักกลยุทธ์ทางธุรกิจเรียกว่าให้ “Disrupt ตัวเองก่อนที่จะถูก Disrupt โดยคนอื่น” การทำแบบนี้แบงค์หวังว่าจะสามารถรักษาลูกค้าของตนเองจากบริษัทที่ไม่ใช่แบงค์ และเนื่องจากทุกแบงค์ต่างก็ทำตามแบบเดียวกัน ทุกแบงค์ต่างก็หวังว่าระบบแบงค์ไทยก็จะยังรักษาสถานะเดิมของตัวเองได้เพียงแต่ว่ารายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนเงินอาจจะหายไปบ้างเช่นเดียวกับกำไรที่หายไปในอัตราเดียวกัน แต่ความเสียหายนี้ก็อาจจะสามารถชดเชยได้ในปีต่อ ๆ ไปเมื่อแบงค์สามารถลดต้นทุนทางด้านคนโดยเฉพาะจากการปิดหรือลดสาขาแบงค์ลง
อนาคตของแบงค์และหุ้นแบงค์นั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องวิเคราะห์เพื่อที่จะดูว่ามันจะเป็นอย่างไร ล่มสลายหรือไม่? คำตอบของผมก็ชัดเจนว่าแบงค์จะไม่ล่มสลายแน่นอน ประวัติศาสตร์หรือประสบการณ์จากแบงค์ในสังคมที่เจริญกว่าก็ชี้ชัดว่าไม่มีประเทศไหนที่ระบบแบงค์ถูก Disrupt โดยเทคโนโลยี เหตุผลก็คงเป็นเพราะงานสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของแบงค์นั้นเทคโนโลยียังไม่สามารถทำแทนได้นั่นก็คือ “การบริหารความเสี่ยงทางการเงินให้กับลูกค้า” เช่น การปล่อยกู้ การประกันภัยและประกันชีวิต การบริหารการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล เป็นต้น ธุรกรรมเหล่านี้เทคโนโลยียังไม่สามารถทำแทนได้ ตรงกันข้ามเทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแบงค์ ดังนั้น แบงค์ก็น่าจะยังอยู่ต่อไปได้ ดีขึ้นหรือแย่ลงเป็นเรื่องที่เราจะต้องดูกันต่อไป
คำว่า “บริหารความเสี่ยงทางการเงิน” นั้น หลายคนอาจจะงงว่าทำไมผมไปพูดถึงเรื่องสินเชื่อหรือประกัน ลองคิดดูว่าเวลาเราไปฝากเงินแบงค์นั้น จริง ๆ ก็คือ เราเอาเงินของเราให้แบงค์ช่วยบริหารให้ได้ผลตอบแทน โดยผลตอบแทนนั้นแบงค์สัญญาว่าจะให้ดอกเบี้ยแน่นอน แต่ความเสี่ยงของเราก็คือ ถ้าแบงค์ “เจ๊ง” เงินของเราก็สูญ แต่โอกาสก็เกิดน้อยมาก ดังนั้น เราจึงยินดีที่จะรับดอกเบี้ยต่ำมาก เช่นปีละ 1% ถ้าเป็นเงินฝากออมทรัพย์ที่เปิดโอกาสให้เราถอนการลงทุนได้ตลอดเวลา ในด้านของแบงค์เองนั้น เงินของเราก็ถูกเอาไปลงทุนให้งอกเงยได้ผลตอบแทนที่ดีโดยส่วนใหญ่ก็มักเอาไปปล่อยกู้ที่คิดดอกเบี้ยสูงเช่น ปีละ 6-7% ถ้าเป็นการปล่อยกู้ให้บริษัทธุรกิจ หรืออาจจะสูงถึง 15% ถ้าเป็นการปล่อยกู้ให้กับลูกค้าบัตรเครดิต เป็นต้น หน้าที่ของแบงค์เองก็คือต้องคัดเลือกลูกค้าที่ดีและมีโอกาสกลายเป็นหนี้เสียต่ำเพื่อที่จะทำให้แบงค์มีกำไรสามารถจ่ายเงินให้พนักงานและผู้ถือหุ้นได้อย่างเหมาะสม
ในอดีตนั้น นักลงทุนมักจะมองแบงค์ที่มีรายได้จาก “ค่าธรรมเนียม” ในอัตราที่สูงว่าเป็นแบงค์ที่ดีและให้ราคากับหุ้นสูงกว่าแบงค์อื่น เหตุการณ์การ “ฟรีค่าธรรมเนียม” สัปดาห์ก่อนทำให้หุ้นเหล่านั้นตกลงมามากกว่าเพื่อนที่มีรายได้เป็นค่าธรรมเนียมน้อยกว่า ผมเองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าหลังจากนี้หุ้นแบงค์จะเป็นอย่างไรในระยะยาวแต่ด้วยราคาหุ้นที่ “ไม่แพง” และกำไรหลักของแบงค์ที่ยังมั่นคงและยังไม่เห็นว่าระบบแบงค์ในประเทศไทยจะถูกใคร Disrupt ได้ ผมจึงคิดว่าหุ้นแบงค์ส่วนใหญ่ก็น่าจะยัง “ลงทุนได้” ส่วนที่ว่าหุ้นแบงค์ไหนน่าจะมี Value ดีกว่าแบงค์อื่นก็คงต้องมองในมุมที่ต่างไปจากเดิม ดูเหมือนว่าปัจจัยเรื่อง “ค่าธรรมเนียม” อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง