Super Japan/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Super Japan/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » เสาร์ มิ.ย. 16, 2018 9:39 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ก่อน  นั่นเป็นการเยือนญี่ปุ่นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้  รู้แต่ว่าผมคงไปญี่ปุ่นอีกหลาย ๆ  ครั้งเพราะสมาชิกที่บ้านชอบไปมาก  เหตุผลนั้นรวมถึงการที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าอยู่น่าเที่ยว  มีภูมิอากาศที่เหมาะสมและมีสาธารณูปโภคที่ยอดเยี่ยม  มีสถานที่ที่น่าสนใจจำนวนมาก  มีอาหารที่อร่อย  มีประชาชนที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างดี  มีความปลอดภัยเป็นเลิศ  พูดโดยรวมแล้วผมคิดว่าเป็นประเทศที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งในเรื่องของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้สมบุกสมบันหรือรักการการผจญภัยซึ่งรวมถึงเด็กเล็กและคนชรา  และนั่นก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวผมชอบเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเช่นเดียวกับคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    ย้อนหลังประมาณน่าจะ 20 ปีขึ้นไป  ญี่ปุ่นเคยเป็นชาติที่เติบโตก้าวหน้ามากโดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี  ในช่วงนั้นคนมองว่าญี่ปุ่นจะก้าวขึ้นเป็น “ผู้นำโลก” ในด้านของนวัตกรรมและเศรษฐกิจและเหนือกว่าสหรัฐอเมริกา  สิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงคุณภาพการผลิตที่ดีเยี่ยมในช่วงนั้นล้วนมาจากญี่ปุ่นซึ่งรวมถึงวิทยุและเครื่องเล่นวอล์คแมนที่คนพกติดตัวเพื่อฟังดนตรี  บริษัทชั้นนำเช่นโซนี พานาโซนิคและโตโยต้ากลายเป็นบริษัทที่ถูกกล่าวขวัญไปทั่วโลกและคนต่างอยากใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท  แนวความคิดเกี่ยวกับการบริหารที่ก้าวหน้ารวมถึงระบบ “Just in time” ถูกนำไปใช้และสอนในการศึกษาอบรมของผู้บริหารทั่วโลก  ในด้านของเศรษฐกิจเองนั้น  คนญี่ปุ่นมีรายได้ต่อหัวสูงกว่าคนอเมริกัน  ราคาทรัพย์สินโดยเฉพาะที่ดินนั้น  มีค่าสูงจนน่าตกใจ  มูลค่าที่ดินในโตเกียวผมจำได้ว่าอาจจะมีค่าสูงกว่าที่ดินในรัฐใหญ่ ๆ ของอเมริกาอย่างแคลิฟอร์เนีย  ที่ดินของพระราชวังจักรพรรดิดูเหมือนว่าจะมีค่ามากกว่าเมืองนิวยอร์ค  ดัชนีตลาดหุ้นนิเกอิเองนั้นพุ่งขึ้นไปสูง “ทะลุฟ้า” ที่เกือบ 40,000 จุด ในช่วงประมาณปี 1990  นักธุรกิจอเมริกันต่าง “กลัวญี่ปุ่น”  โลกเองต่างก็พยายาม “เรียนรู้จากญี่ปุ่น”

    หลังจากจุด “Peak” หรือจุดสุดยอดในช่วงประมาณทศวรรษปี 1990 ทุกอย่างในญี่ปุ่นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป  หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ  โลกเปลี่ยนแปลงไปแต่ญี่ปุ่นกลับไม่ได้เปลี่ยนตามโลก  นั่นก็คือ  โลกเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอินเตอร์เน็ตซึ่งต้องอาศัยคนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยมีความคิดสร้างสรรค์สูงมากและไม่ติดอยู่ใน “กรอบ” ของสังคมเดิม  แต่ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้มากนักเนื่องจากวัฒนธรรมของญี่ปุ่นนั้นเน้นที่ความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของสังคมซึ่งทำให้คนไม่ใคร่กล้า “คิดต่าง” และทุกอย่างต้องอาศัยฉันทามติร่วมของคนที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายซึ่งส่งผลให้นวัตกรรมต่าง  ๆ  ถูกผลิตออกมาช้าเกินการณ์  นอกจากนั้น  คนญี่ปุ่นเองก็เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  ส่งผลให้การเพิ่มคนและผลิตภาพไม่เติบโต  ผลก็คือ  ญี่ปุ่น “หยุดอยู่กับที่” มาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว  ดัชนีตลาดหุ้นซึ่งเป็น “สัญญาณล่วงหน้า” ที่ดีที่สุดลดลงเหลือต่ำกว่า 10,000 จุด ในช่วงต้นปี 2000 และเพิ่งจะดีขึ้นเป็นประมาณ 23,000 ในเร็ว ๆ  นี้

    คำถามก็คือ  ญี่ปุ่นจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาเป็น “ยักษ์”  ในเวทีการแข่งขันโลกได้หรือไม่?  ประเทศนี้จะค่อย ๆ  เป็นเหมือน  “ตะวันตกดิน” ที่มีบทบาทน้อยลงไปเรื่อย ๆ เร็วแค่ไหน?  หรือถ้าพูดในแบบของนักลงทุน  ผมมองญี่ปุ่นว่าจะเป็นหุ้นแนวไหน?

    ประการแรก  ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นเองนั้น  เป็นคนที่มีความสามารถวัดจาก IQ ที่สูงและความแตกต่างระหว่างคนเองก็ไม่มาก  เหตุผลก็คือ  ญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะที่มีคนชาติพันธุ์อื่นเข้าไปผสมผสานน้อย  พวกเขาอยู่ในระบบการเมืองขนบธรรมเนียมประเพณีและสังคมที่มีเสถียรภาพมายาวนานซึ่งทำให้คนมีวินัยและมีความคิดร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  ไม่ค่อยมีใครทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม  คนญี่ปุ่นนั้นจะ  “แคร์”  ความคิดของคนอื่นในสังคมมาก  พวกเขาจะต้องทำตัวให้ดูดีในสายตาของคนอื่น  และเกรงว่าจะถูกคนอื่นติเตียนมาก  การคิดและทำต่างจากคนอื่นอาจจะถูกมองว่าแปลกแยกและอาจจะทำให้คนอื่นไม่อยากคบค้าซึ่งจะทำให้ความก้าวหน้าช้าลง  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ทำให้คนญี่ปุ่นนั้นมีคุณภาพเป็นเลิศในทุกด้าน—ยกเว้น  ความคิดสร้างสรรค์ที่ค่อนข้าง “หลุดโลก” หรือนอกกรอบสิ่งที่มีอยู่เดิม  ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าจะเป็นผู้นำของ “โลกยุคใหม่”

    วินัยและการทำสิ่งที่ดี ๆ  ทั้งหลายของคนญี่ปุ่นนั้นต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” มากเพราะผมคิดว่าเป็นกันทั้งประเทศและในคนทุกระดับ  ในฐานะของนักท่องเที่ยวนั้น  คนที่ผมพบเจอและต้องเกี่ยวข้องด้วยเริ่มด้วยแท๊กซี่หรือคนขับอูเบอร์ก็จะให้บริการที่เป็นเลิศ พวกเขาไม่ปฏิเสธผู้โดยสารไม่ว่าเราจะไปที่ไหนหรือใกล้ไกลแค่ไหน  เขาจะไม่โกงและบางทีก็ไม่คิดเงินด้วยซ้ำถ้าระยะทางใกล้มาก  เวลาเรากินอาหารภัตตาคาร  พนักงานเสิร์พมักจะให้บริการแบบเต็มใจและไม่ได้รู้สึกไม่ดีถ้าไม่ได้ทิป  ว่าที่จริงญี่ปุ่นนั้นไม่ได้มีวัฒนธรรมการทิปด้วยซ้ำ  ตรงกันข้าม  ถ้าเป็นภัตตาคารที่อยู่นอกย่านคนเดิน  เวลาเรากินเสร็จ  พวกเขาต้องมาส่งเราหน้าร้านและโค้งให้อย่างดี  การเสิร์พอาหารเองนั้น  ผมสังเกตว่าเขามักจะทำอย่างดีและสุภาพ  บางคนใช้สองมือถือจานส่งให้เรา  ผมคิดว่าพนักงานที่ทำงานเสิร์พอาหารของเขานั้นคงได้รับการอบรมอย่างเป็นระบบและแม้แต่ภัตตาคารเล็ก ๆ  ที่ไม่ได้มีเครือข่ายก็มักจะให้บริการได้ดีพอ ๆ  กัน

    บนถนนหนทางที่เป็นที่ช็อปปิ้งหรือท่องเที่ยวซึ่งรวมถึง “ถนนคนเดิน” นั้น  เราจะเห็นที่ทิ้งขยะน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย  แต่ถนนจะสะอาดมากเพราะไม่มีใครทิ้งขยะ  ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องเก็บขยะกลับไปทิ้งที่บ้าน  ร้านค้าทุกแห่งที่มีห้องน้ำนั้น  จะเป็นห้องน้ำที่สะอาดถึงสะอาดมาก  ผมแทบไม่เคยเจอห้องน้ำสกปรกเลย  และระบบโถส้วมนั้นเป็นระบบออโตเมติกแทบทั้งนั้นซึ่งรวมถึงระบบอุ่นที่นั่งและการฉีดน้ำล้างอัตโนมัติ  สถานที่ค้าขายหรือเดินทางทุกแห่งจะมีทางที่รถเข็นปีนขึ้นไปได้หรือไม่ก็ต้องมีลิฟท์ให้ขึ้นไปได้  เช่นเดียวกัน  ร้านค้าขนาดใหญ่หน่อยเกือบทุกแห่งก็จะมีห้องให้นมเด็กและเปลี่ยนผ้าอ้อมเนื่องจากคนญี่ปุ่นนั้นเลี้ยงลูกเองและต้องไปไหนมาไหนกับลูกเล็ก  สรุปก็คือ  ไม่มีคนกลุ่มไหนในญี่ปุ่นถูกละเลยการให้บริการ

    คนญี่ปุ่นทุกคนดูเหมือนว่าจะต้องดูแลสถานที่ “ของตน” ให้สะอาดตลอดเวลา  เวลาผมไปเที่ยวก็มักได้เห็นคนกำลังทำความสะอาดหน้าร้านหรือหน้าสถานที่ท่องเที่ยว  ผมเองรู้สึกทึ่งที่เห็นเขากวาดแม้กระทั่งพื้นดินริมถนนที่มีใบไม้ร่วงหล่นอยู่จนหมด  ดังนั้น  ผมจึงไม่เคยเห็นเศษกระดาษหรือภาชนะที่ทิ้งเกลื่อนอยู่บนถนนเลย  ผมคิดว่าถ้าหน้าร้านหรือหน้าสถานที่ทำงานสกปรก  คนอื่นคงตำหนิมากและนี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าที่ญี่ปุ่นนั้น  แทบทุกแห่งมาตรฐานจะเหมือนกันหมด

    ไปเที่ยวนี้  ผมลืมของบนรถแท็กซี่  แต่หลังจากโทรไปบริษัทตามใบเสร็จรับเงิน  ภายในเวลาไม่กี่นาทีแท็กซี่ก็เอาของมาคืน  ดูเหมือนว่าเขาจะคำนึงถึงความกังวลของเรามากกว่าการเสียเวลาทำมาหากินของเขา    อีกครั้งหนึ่ง  ผมพบคนแก่ญี่ปุ่นล้มฟาดลงกับพื้นขณะที่ยืนอยู่เฉย ๆ  แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนได้ค่อนข้างจะทันที  แต่หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีก็มีรถพยาบาลช่วยชีวิตมาถึงซึ่งผมเข้าใจว่ามีคนที่อยู่แถวนั้นแจ้งไปที่โรงพยาบาล  เขาบอกว่าไม่เป็นไรแต่ก็ต้องเข้าไปนอนในรถประมาณ 10 นาทีเพื่อให้มั่นใจว่าเขาไม่เป็นอะไรแน่  นี่ก็เป็นอะไรที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและจิตใจที่เอื้ออาทรของคนญี่ปุ่นที่ผมเจอเป็นประจำ

    สำหรับผม  สังคมและเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นนั้น  โดยมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของโลกแล้ว  ต้องถือว่ามีระดับการพัฒนาสูงลิ่วในแทบทุกด้าน  ถ้าจะเปรียบเทียบก็อาจพูดได้ว่า  เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว “หุ้น” ตัวนี้ก็มีราคาสูงลิ่วเช่นกัน  สำหรับคนไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้วก็คงไม่อยากไปเที่ยวเนื่องจากมันแพงมาก  แต่เดี๋ยวนี้การเที่ยวญี่ปุ่นดูเหมือนว่าจะ “คุ้มค่า”  เพราะค่าใช้จ่ายอย่างเช่นอาหารนั้นก็ไม่แพงกว่าไทยเลย  เพราะราคามันอาจจะไม่ขึ้นหรือนิ่งมา 20 ปีเหมือนกัน    มองอีกด้านหนึ่ง  หุ้นญี่ปุ่นเองก็ตกลงมานานแม้ว่าจะขึ้นมาแล้วเท่าตัวในช่วง 10 ปีหลังนี้  แต่ราคาก็ดูเหมือนว่าจะไม่แพงอย่างสมัยก่อนที่ค่า PE สูงเป็น 50-100 เท่า  ดังนั้น  ราคาหุ้นตอนนี้ก็อาจจะดูคุ้มค่าได้เหมือนกัน

    ตอบคำถามที่ค้างไว้อีกข้อหนึ่งก็คือ  ผมคิดว่าญี่ปุ่นนั้นน่าจะเคยเป็นหุ้น Super Stock อยู่ช่วงหนึ่งจนอิ่มตัว  และต่อมาดูเหมือนกำลังจะถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีดิจิตอล  ญี่ปุ่นพยายามต่อสู้แต่ก็ติดขัดเรื่องวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งแต่ก็ปรับตัวยาก  หากทำได้ก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจมาก  แต่หากทำไม่ได้  อนาคตก็น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าคนรุ่นใหม่เกิดน้อยลงเรื่อย ๆ และคนแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  ญี่ปุ่นก็อาจจะกลายเป็นแค่ “ตำนาน” คล้าย ๆ  กับหุ้นแนวเทสโก้ของอังกฤษก็เป็นได้
[/size]



ตอบกลับโพส