แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2548

[jaychou]

งานวิจัยจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยครับ (กระแสทรรศน์)
http://www.kasikornresearch.com/tfrc/cg ... feb/d/2005
--------------------------------------------------------------------------------
แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2548
ปีที่ 11 ฉบับที่ 1711 วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548
--------------------------------------------------------------------------------

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2548


แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2548 อาจถูกกระทบจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวในระดับสูง และภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับสู่ขาขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า จากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับสาธารณะติดกันในช่วงปลายปี 2547 ต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ น่าจะทำให้มีความตื่นตัวทำประกันภัยเพิ่มขึ้น จึงคาดว่าอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม จะยังคงเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับปี 2547 คือประมาณ 12% เป็น 89,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญดังนี้

1. การประกันอัคคีภัยสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ จะมีการซื้อความคุ้มครองให้ครอบคลุมถึงภัยน้ำท่วม ภัยแผ่นดินไหว เพิ่มขึ้น รวมถึงอาคารและที่อยู่อาศัยรายย่อย อาจให้ความสำคัญกับการทำประกันมากขึ้น เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงในการเกิดภัยธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจมีการปรับเพิ่มพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วย ตามระดับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการทำประกันภัยต่อ

2. การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันสุขภาพ ซึ่งยังคงมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ เพราะช่องทางการขายผ่านธนาคารพาณิชย์ จะยิ่งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นหลังเหตุภัยพิบัติ ประกอบกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ที่ยืดเยื้อและอาจขยายวง หากยังคงใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหาดังกล่าว จะทำให้คนเกิดความไม่มั่นใจความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน และให้ความสนใจกับการทำประกันมากขึ้น

3. การประกันภัยรถ ซึ่งเป็นที่มาหลักของเบี้ยประกัน ก็มีปัจจัยบวกทั้งจากยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ในปี 2548 นอกจากนี้ กรมการประกันภัยยังได้เพิ่มแบบประกันภัยรถภาคสมัครใจขึ้นอีก 1 แบบในปีนี้ คือการประกันภัยรถประเภท 4 จากเดิมที่มี 3 ประเภท โดยให้ความคุ้มครองเฉพาะทรัพย์สินบุคคลภายนอกในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถโดยสารส่วนบุคคลไม่เกิน 12 ที่นั่ง รวมถึงรถบรรทุกไม่เกิน 4 ตัน โดยคิดอัตราเบี้ยประกัน 1,600 และ 2,600 บาทตามลำดับ แม้ว่าแบบประกันนี้จะเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจราจร ในโครงการชนแล้วแยกแลกใบเคลม แต่ด้วยอัตราเบี้ยประกันที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้น่าจะช่วยขยายฐานผู้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจเพิ่มขึ้น

ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุร้ายทั้งคลื่นสึนามิ ตึกถล่ม และรถไฟใต้ดินชนกัน ที่ทำให้บริษัทต้องจ่ายชดเชยสินไหมในช่วงต้นปีนั้น ส่วนใหญ่เป็นการรับประกันในจำนวนเงินสูง ซึ่งบริษัทประกันมักจะทำประกันภัยต่อกับบริษัทในต่างประเทศไว้เป็นส่วนมาก จึงทำให้ภาระในการชดเชยความเสียหายของบริษัทประกันวินาศภัยในไทย อยู่ในวงจำกัด ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ธุรกิจจะรับได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะความมั่นคงของบริษัทในระยะยาว

[jaychou]

เท่าที่ทราบกรมการประกันภัยมีประกาศพื้นที่อันตรายครับ แต่ละจุดไม่เท่ากันแน่นอน

เรื่องเบี้ยประกันภัยต่อไม่ทราบจริงๆ มีวิธีรับประกันภัยต่อหลายวิธีนะครับ
อย่างไรก็ตามบางวิธี อัตราการส่งประกันภัยต่อนี่เลือกได้แล้วแต่บริษัทหนึ่งๆ
ที่จะรับความเสี่ยงน้อยหรือมากขึ้นตามความสามารถ
แม้ rate โดยรวมของประเทศเปลี่ยนไป แต่สำรวจแล้วความเสี่ยงน้อยกว่า
ก็เลือกได้ที่จะส่งต่อน้อยลง และรับความเสี่ยงไว้เองมากขึ้น
รายละเอียดอยู่ในสัญญาประกันภัยต่อ ที่มีระหว่างบริษัทประกันคู่สัญญาครับ

ลองเทียบเคียงเหตุการณ์สึนามิกับ 11 กันยา ช่วงที่ผ่านมาบริษัทรับประกันเครื่องบินมีเบี้ยประกันรับเพิ่มขึ้นครับ (BKI กับ TIP) แม้ว่าในประกันภัยต่อน่าจะมีการเพิ่ม rate ก็ตาม ตรงนี้คงไม่มีการเติบโตจากฐานลูกค้าเพราะคงประกันภัยทุกลำอยู่แล้ว กรณีนี้น่าจะเป็นในทิศทางเดียวกันครับ

** ผู้อ่านอย่าเพิ่งดีใจเข้าซื้อหุ้นทันทีนะครับ **

การที่นักลงทุนสถาบันเทขายหมูต่อเนื่อง ทำให้ผมคิดหนักกว่าเรื่องตัวธุรกิจเองครับ