Value Way ฉบับศุกร์ 20 ส.ค.นี้ครับ
Value Way ฉบับศุกร์ 20 ส.ค.นี้ครับ
Value Way : 'ROE' สำคัญกับการลงทุนอย่างไร?
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีหลักการในการลงทุนหลายอย่าง บางท่านอาจจะให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขายและราคาหุ้นเป็นหลัก โดยใช้หลักการทางเทคนิคเป็นจุดสำคัญ หรือ บางท่านอาจจะชอบลงทุนในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ซื้อขายวันต่อวัน
การลงทุนในลักษณะดังกล่าวอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องรู้ซึ้งถึงตื้นลึกหนาบางของบริษัทที่จะลงทุนมากนัก สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในระยะสั้นมากกว่า
แต่ "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า" ที่เน้นการถือหุ้นที่มีศักยภาพในระยะยาว สิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับนักลงทุนก็คือ การที่นักลงทุนควรจะเข้าใจในพื้นฐานของธุรกิจที่จะลงทุนนั้นเป็นอย่างดี
บทความที่ผ่านมา นักลงทุนได้รับข้อมูลการวิเคราะห์บริษัทที่จะลงทุนอย่างคร่าวๆ รวมถึงวิธีการในการทำ Scuttlebutt ไปแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลึกถึงหัวข้อของอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญค่าหนึ่ง ก็คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity Ratio หรือ ROE)
ROE คือ การหาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ สูตรที่ใช้กันทั่วไป
ก็คือ ROE = Net Profit/Equity หรือ กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น
สมมติบริษัท ก. มีงบกำไรขาดทุนและงบดุล ณ ปลายปีคร่าวๆ ดังนี้
งบกำไรขาดทุนบริษัท ก. (หน่วย: ล้านบาท)
ยอดขาย 12,000
ต้นทุนรวมภาษี 10,800
กำไรสุทธิ 1,200
งบดุลบริษัท ก.(หน่วย: ล้านบาท)
ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 2,000
ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น 8,000
รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000
ดังนั้น ROE ของบริษัท ก. คำนวณจาก กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งเท่ากับ 1,200/8,000 = 15%
ในทางปฏิบัติควรจะนำส่วนผู้ถือหุ้นของต้นปีและปลายปีมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อความถูกต้องมากขึ้น ROEที่คำนวณได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถนำเงินของผู้ถือหุ้นไปลงทุนได้ผลตอบแทนเท่ากับ 15% จากการดำเนินงานของบริษัทตามปกติ
นักลงทุนสามารถนำ ROE ไปเปรียบเทียบระหว่างบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์เพื่อตรวจสอบความสามารถของผู้บริหารในการบริหารเงินลงทุนของบริษัท
สมมติอีกบริษัทหนึ่ง คือ บริษัท ข. มี ROE เท่ากับ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัท ก. ข้างต้นที่มี ROE 15% แล้ว นักลงทุนจะพบว่า บริษัท ก. มีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าในจำนวนเงินลงทุนที่เท่ากัน
สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว บริษัทที่มี ROE สูงกว่าจะน่าสนใจมากกว่า เพราะ บริษัทที่มี ROE สูงสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าบริษัทที่มี ROE ต่ำกว่า
แต่ในขณะเดียวกัน การรักษา ROEให้สูงอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี ถ้าบริษัทดำเนินกิจการอย่างมีกำไรและเก็บบางส่วนไว้เป็นกำไรสะสม จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การรักษา ROE ให้อยู่ในระดับเดิม บริษัทจำเป็นต้องทำกำไรให้มากขึ้นให้เพียงพอต่อการเติบโตของส่วนผู้ถือหุ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นปีละ 10%
บริษัทที่ต้องการรักษา ROE ให้เท่าเดิมในปีถัดไป จำเป็นจะต้องมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% ด้วยเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริง ธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้ ต้องเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างสูงมากทีเดียว
อีกกรณีหนึ่ง บางบริษัทอาจจะทำให้ ROE สูงขึ้นได้โดยใช้ leverage จากการกู้ยืมทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้สินระยะยาว
ตัวอย่างเช่น บริษัท ก. และ ค. มีงบกำไรสุทธิเหมือนกัน แต่บริษัท ค. มีงบดุลดังต่อไปนี้
งบดุลบริษัท ค. (หน่วย: ล้านบาท)
ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 500
ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 4,700
ส่วนของผู้ถือหุ้น 4,800
รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000
ดังนั้น ROE ของบริษัท ค. เท่ากับ 1,200/4,800 = 25% ซึ่งมากกว่าบริษัท ก. มาก แต่บริษัท ก. ไม่มีหนี้สินเลย ขณะที่บริษัท ข. มีหนี้สินอยู่เกือบเท่าส่วนผู้ถือหุ้น
ในกรณีนี้ เราควรจะใช้อัตราส่วนทางการเงินอีกค่าหนึ่งในการเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ คือ Return on Total Capital Ratio (ROTC) คำนวณได้จาก
ROTC = Net Profit/(Longterm Liability + Equity) หรือ
กำไรสุทธิหารด้วยผลบวกของหนี้สินระยะยาวกับส่วนผู้ถือหุ้น
จากตัวอย่างข้างต้นจะพบว่าบริษัท ก. มี ROTC เท่ากับ 15% (1,200/8,000) ในขณะที่บริษัท ค. มี ROTC ลดลงเหลือเพียง 12% (1,200/(4,700+4,800))
ในกรณีเช่นนี้ บริษัทที่มี ROE สูงกว่าอาจจะมี ROTC ต่ำกว่าได้ การใช้ ROE เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์ความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทที่จะลงทุนอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
ดังนั้นนักลงทุนนอกจากจะใช้ ROE เปรียบเทียบระหว่างบริษัทแล้วอาจจะต้องใช้ ROTC ในการเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น เพราะ ROTC จะทำให้มองเห็นภาพความสามารถในการลงทุนของบริษัทได้ตรงความเป็นจริงมากขึ้น
นอกเหนือจากนั้น บางบริษัทอาจจะมี ROE เพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะบริษัทที่เพิ่งออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ สาเหตุเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ โดยผลการดำเนินงานเปลี่ยนจากการขาดทุนในอดีตมาเป็นทำกำไรได้ในปีปัจจุบัน ทำให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นทันทีได้
ลักษณะเช่นนี้ นักลงทุนควรพิจารณานำกำไรขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ออกจากการคำนวณ เพราะจะทำให้ ROE ที่หาได้สูงเกินไป และไม่สะท้อนกับผลการดำเนินงานตามปกติของบริษัท
บางบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นวัฏจักร (Cyclical) เช่น วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี เหล็ก กระดาษ หรือ ผลิตภัณฑ์การเกษตร บางปีบริษัทจะมีผลกำไรตกต่ำเพราะส่วนใหญ่แล้วราคาและต้นทุนของกิจการเหล่านั้น จะถูกกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้ามากกว่าที่จะถูกกำหนดโดยบริษัท
ถ้าปีใดราคาสินค้าลดลงก็จะทำให้บริษัทมี ROE ในปีนั้นต่ำไปด้วย แต่บางปีอาจจะเป็นขาขึ้นของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดี และมีกำไรสูงขึ้น ผลพลอยได้ก็คือทำให้ ROE ของบริษัทในปีนั้นสูงตามขึ้นไปด้วย
เราสามารถตรวจสอบได้ว่า บริษัทนั้นๆอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักรหรือไม่ง่ายๆด้วยการตรวจสอบ ROE ย้อนหลังหลายๆปี ถ้าพบว่า ROE มีลักษณะที่มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไปก็สันนิษฐานได้ว่า บริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักร
จากเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่าการที่บริษัทมี ROE สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีในระยะยาวเสมอไป
ดังนั้น สำหรับนักลงทุน ก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ควรตรวจสอบ ROE ของบริษัทที่สนใจลงทุนก่อนว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
บริษัทที่มี ROE สม่ำเสมอจะเป็นบริษัทที่น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีการบริหารงานที่ดี สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทก็เพิ่มพูนความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีหลักการในการลงทุนหลายอย่าง บางท่านอาจจะให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขายและราคาหุ้นเป็นหลัก โดยใช้หลักการทางเทคนิคเป็นจุดสำคัญ หรือ บางท่านอาจจะชอบลงทุนในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ซื้อขายวันต่อวัน
การลงทุนในลักษณะดังกล่าวอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องรู้ซึ้งถึงตื้นลึกหนาบางของบริษัทที่จะลงทุนมากนัก สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในระยะสั้นมากกว่า
แต่ "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า" ที่เน้นการถือหุ้นที่มีศักยภาพในระยะยาว สิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับนักลงทุนก็คือ การที่นักลงทุนควรจะเข้าใจในพื้นฐานของธุรกิจที่จะลงทุนนั้นเป็นอย่างดี
บทความที่ผ่านมา นักลงทุนได้รับข้อมูลการวิเคราะห์บริษัทที่จะลงทุนอย่างคร่าวๆ รวมถึงวิธีการในการทำ Scuttlebutt ไปแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลึกถึงหัวข้อของอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญค่าหนึ่ง ก็คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity Ratio หรือ ROE)
ROE คือ การหาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ สูตรที่ใช้กันทั่วไป
ก็คือ ROE = Net Profit/Equity หรือ กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น
สมมติบริษัท ก. มีงบกำไรขาดทุนและงบดุล ณ ปลายปีคร่าวๆ ดังนี้
งบกำไรขาดทุนบริษัท ก. (หน่วย: ล้านบาท)
ยอดขาย 12,000
ต้นทุนรวมภาษี 10,800
กำไรสุทธิ 1,200
งบดุลบริษัท ก.(หน่วย: ล้านบาท)
ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 2,000
ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น 8,000
รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000
ดังนั้น ROE ของบริษัท ก. คำนวณจาก กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งเท่ากับ 1,200/8,000 = 15%
ในทางปฏิบัติควรจะนำส่วนผู้ถือหุ้นของต้นปีและปลายปีมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อความถูกต้องมากขึ้น ROEที่คำนวณได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถนำเงินของผู้ถือหุ้นไปลงทุนได้ผลตอบแทนเท่ากับ 15% จากการดำเนินงานของบริษัทตามปกติ
นักลงทุนสามารถนำ ROE ไปเปรียบเทียบระหว่างบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์เพื่อตรวจสอบความสามารถของผู้บริหารในการบริหารเงินลงทุนของบริษัท
สมมติอีกบริษัทหนึ่ง คือ บริษัท ข. มี ROE เท่ากับ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัท ก. ข้างต้นที่มี ROE 15% แล้ว นักลงทุนจะพบว่า บริษัท ก. มีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าในจำนวนเงินลงทุนที่เท่ากัน
สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว บริษัทที่มี ROE สูงกว่าจะน่าสนใจมากกว่า เพราะ บริษัทที่มี ROE สูงสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าบริษัทที่มี ROE ต่ำกว่า
แต่ในขณะเดียวกัน การรักษา ROEให้สูงอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี ถ้าบริษัทดำเนินกิจการอย่างมีกำไรและเก็บบางส่วนไว้เป็นกำไรสะสม จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การรักษา ROE ให้อยู่ในระดับเดิม บริษัทจำเป็นต้องทำกำไรให้มากขึ้นให้เพียงพอต่อการเติบโตของส่วนผู้ถือหุ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นปีละ 10%
บริษัทที่ต้องการรักษา ROE ให้เท่าเดิมในปีถัดไป จำเป็นจะต้องมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% ด้วยเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริง ธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้ ต้องเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างสูงมากทีเดียว
อีกกรณีหนึ่ง บางบริษัทอาจจะทำให้ ROE สูงขึ้นได้โดยใช้ leverage จากการกู้ยืมทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้สินระยะยาว
ตัวอย่างเช่น บริษัท ก. และ ค. มีงบกำไรสุทธิเหมือนกัน แต่บริษัท ค. มีงบดุลดังต่อไปนี้
งบดุลบริษัท ค. (หน่วย: ล้านบาท)
ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 500
ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 4,700
ส่วนของผู้ถือหุ้น 4,800
รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000
ดังนั้น ROE ของบริษัท ค. เท่ากับ 1,200/4,800 = 25% ซึ่งมากกว่าบริษัท ก. มาก แต่บริษัท ก. ไม่มีหนี้สินเลย ขณะที่บริษัท ข. มีหนี้สินอยู่เกือบเท่าส่วนผู้ถือหุ้น
ในกรณีนี้ เราควรจะใช้อัตราส่วนทางการเงินอีกค่าหนึ่งในการเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ คือ Return on Total Capital Ratio (ROTC) คำนวณได้จาก
ROTC = Net Profit/(Longterm Liability + Equity) หรือ
กำไรสุทธิหารด้วยผลบวกของหนี้สินระยะยาวกับส่วนผู้ถือหุ้น
จากตัวอย่างข้างต้นจะพบว่าบริษัท ก. มี ROTC เท่ากับ 15% (1,200/8,000) ในขณะที่บริษัท ค. มี ROTC ลดลงเหลือเพียง 12% (1,200/(4,700+4,800))
ในกรณีเช่นนี้ บริษัทที่มี ROE สูงกว่าอาจจะมี ROTC ต่ำกว่าได้ การใช้ ROE เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์ความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทที่จะลงทุนอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
ดังนั้นนักลงทุนนอกจากจะใช้ ROE เปรียบเทียบระหว่างบริษัทแล้วอาจจะต้องใช้ ROTC ในการเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น เพราะ ROTC จะทำให้มองเห็นภาพความสามารถในการลงทุนของบริษัทได้ตรงความเป็นจริงมากขึ้น
นอกเหนือจากนั้น บางบริษัทอาจจะมี ROE เพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะบริษัทที่เพิ่งออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ สาเหตุเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ โดยผลการดำเนินงานเปลี่ยนจากการขาดทุนในอดีตมาเป็นทำกำไรได้ในปีปัจจุบัน ทำให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นทันทีได้
ลักษณะเช่นนี้ นักลงทุนควรพิจารณานำกำไรขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ออกจากการคำนวณ เพราะจะทำให้ ROE ที่หาได้สูงเกินไป และไม่สะท้อนกับผลการดำเนินงานตามปกติของบริษัท
บางบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นวัฏจักร (Cyclical) เช่น วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี เหล็ก กระดาษ หรือ ผลิตภัณฑ์การเกษตร บางปีบริษัทจะมีผลกำไรตกต่ำเพราะส่วนใหญ่แล้วราคาและต้นทุนของกิจการเหล่านั้น จะถูกกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้ามากกว่าที่จะถูกกำหนดโดยบริษัท
ถ้าปีใดราคาสินค้าลดลงก็จะทำให้บริษัทมี ROE ในปีนั้นต่ำไปด้วย แต่บางปีอาจจะเป็นขาขึ้นของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดี และมีกำไรสูงขึ้น ผลพลอยได้ก็คือทำให้ ROE ของบริษัทในปีนั้นสูงตามขึ้นไปด้วย
เราสามารถตรวจสอบได้ว่า บริษัทนั้นๆอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักรหรือไม่ง่ายๆด้วยการตรวจสอบ ROE ย้อนหลังหลายๆปี ถ้าพบว่า ROE มีลักษณะที่มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไปก็สันนิษฐานได้ว่า บริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักร
จากเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่าการที่บริษัทมี ROE สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีในระยะยาวเสมอไป
ดังนั้น สำหรับนักลงทุน ก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ควรตรวจสอบ ROE ของบริษัทที่สนใจลงทุนก่อนว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
บริษัทที่มี ROE สม่ำเสมอจะเป็นบริษัทที่น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีการบริหารงานที่ดี สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทก็เพิ่มพูนความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี