อิสรภาพทางการเงิน กับข้อจำกัดของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ล็อคหัวข้อ
บุคคลทั่วไป

อิสรภาพทางการเงิน กับข้อจำกัดของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ ก.ย. 26, 2004 6:06 pm

เห็นหลายคนพูดถึงข้อดีของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ประโยชน์หลาย ๆ อย่างของการลงทุนแนวดังกล่าวไม่อาจปฎิเสธได้
แต่ความจริงบางอย่างก็อาจถูกมองข้ามไป โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าทำให้มีอิสรภาพทางการเงิน ?

มนุษย์กินเงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีเงินถุง เงินถัง ไม่มีมรดกจากพ่อแม่ ยังต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ โอกาสที่จะมีเงินเก็บหลักล้านไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
สมมุติว่าเก็บเงินได้ 1 ล้านบาทจริง ลงทุนในตลาดหุ้นได้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 15 % ....... ( ใช้ 15 % เพราะเป็นเกณฑ์ที่นักลงทุนแบบคุณค่าชอบใช้กัน )
เงิน 1 ล้านบาท ใช้เวลา 5 ปี จะได้เงิน 2 ล้าน
10 ปีได้ 4 ล้าน
15 ปีได้ 8 ล้าน

1 ระยะเวลาไม่ใช่น้อย ทนกันได้หรือเปล่า
2 เงิน 8 ล้านพอไหมกับคำว่าอิสรภาพทางการเงิน กับการรอคอย 15 ปี ? ...
ถ้าทนไหวถึง 20 ปี ก็จะได้เป็น 16 ล้าน .... ถ้ารวมครอบครัว คู่ชีวิต และ
ลูก พอไหมกับคำว่า "อิสรภาพทางการเงิน" ?
3 ต้องลงทุนถูกตัวจริง ๆ คนที่เพิ่งเริ่มต้นต้องยอมรับว่าประสพการณ์
ยังน้อยอยู่ ความสามารถในการเลือกหุ้นย่อมมีจำกัด



โดยส่วนตัวแล้ว "ชอบและเห็นด้วย" กับการลงทุนแนวดังกล่าว เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นความจริงบางจุดที่ผู้คนอาจจะมองข้ามไป อาจจะมัวฝันหวานถึงแต่คำว่า "อิสรภาพทางการเงิน" จนลืมข้อเท็จจริงบางอย่างของชีวิตไป

นักลงทุนแนวคุณค่า กับคำว่า "อิสรภาพทางการเงิน" จะไปด้วยกันได้ต่อเมื่อมีเงินทุนอยู่แล้วพอสมควร เมื่อเงินส่วนใหญ่อยู่ในหุ้น และหวังเงินปันผลมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น เงินทุนในหุ้น 10 ล้าน ปันผล 5 % ก็จะได้ปีละประมาณ 5 แสนบาท
( แม้หวัง capital gain ก็ต้องใช้เวลากว่าราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง )

เพราะฉะนั้น "มนุษย์เงินเดือน กับการลงทุนแบบคุณค่า และคำว่าอิสรภาพทางการเงิน" ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ
ถ้าเอาแค่คำว่า "มนุษย์เงินเดือน กับการลงทุนแบบคุณค่า" แค่นี้ก็โอเค
ไปด้วยกันได้ กินอิ่ม นอนหลับได้ครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ ก.ย. 26, 2004 7:32 pm

แนะนำให้อ่านหนังสือ 3 เล่มค่ะ อยากรวยต้องรู้เล่มที่1 อยากรวยต้องรู้เล่มที่2 โออิชิ(ของคุณตัน) คนเรารู้จักขวยขวาย รู้จักคิดรู้จักทำก็รวยได้ค่ะอย่ามัวแต่บ่นว่าตัวเองจน กินเงินเดือนนิดเดียวชาตินี้ยังไงก็ไม่รวย อ่านประวัติคุณตันเจ้าของโออิชิดู



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ ก.ย. 26, 2004 11:29 pm

ผมได้รู้จักนักลงทุนเน้นคุณค่าคนนึง งานประจำที่ผ่านมากินเงินเดือนไม่เคยเกิน 12,000 บาท แต่รู้จักกินใช้ อดออมเงินนำไปลงทุน อายุไม่ถึง 30 ปี เค้าก็มีพอร์ตหลายล้านแล้วครับ โดยที่ไม่มีมรดกจากพ่อแม่เลย


" Hard to believe eventhough it is not impossible."



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » จันทร์ ก.ย. 27, 2004 11:09 pm

One of the most important things that value investors should bear in mind
and stick to it.

" Don't let the emotion out of control."

Good Luck to you all.



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อังคาร ก.ย. 28, 2004 8:17 am

คุณมนค่ะบอกคร่าวๆก็ได้ค่ะจคนอื่นเขาจะได้รู้คร่าวๆว่ามีเท่าไรจึงจะทำตัวแบบคนมีอิสระภาพทางการเงินได้ค่ะ



Gekko

โพสต์ โดย Gekko » อังคาร ก.ย. 28, 2004 2:42 pm

ผมเพิ่งจะลองเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นดู สนใจรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย สนุกดี และก้อเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาและเงินเดือนก้อน้อยนิดอีกตะหาก ม่ายรู้สินะครับ ลางเนื้อชอบลางยา ลงทุนไปอีกปีสองปีผมอาจจะขาดทุนมากๆก้อได้ หรืออีกหลายๆปี เงินที่ผมลงทุนอาจจะกลับมาเท่าเดิมหรือกำไรก็ได้(หักเงินเฟ้อนะครับ) หรือวันนี้มะรืนนี้ผมอาจจะเดินๆออกไปแล้วถูกรถชนตายก้อไม่แน่.. แล้วอะไรล่ะครับ ผมก็เชื่อว่าแค่ผมอยากจะมีความสุขที่จะทำอะไร ผมไม่ได้มีความสุขจากการใช้จ่ายเงินมากนัก ชอบที่จะเก็บเงินแล้วหาลู่ทางลงทุนมากกว่า แล้วก้อยังไม่เชื่อว่าจะมีอารัยการันตีได้ว่าการลงทุนแบบ value invester จะถูกต้องหรือดีที่สุดเสมอไป เวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์หรือเงื่อนไขต่างๆอาจจะเปลี่ยนแปลง ...แต่ถึงวันนี้ ผมก้อยังไม่สนุกหรือมีความสุขหรือประเทืองปัญญากับการนั่งดูกราฟจิตวิทยาการลงทุนทางเทคนิคนัก ผมว่าผมมีความสุขกับการศึกษาภาวะความเป็นจริงของบริษัท ของเศรษฐกิจ ของภาวะการณ์โลก ดูการเคลื่อนไหวและสังเกตจังหวะโอกาสมากกว่า และก็ชอบศึกษาความคิดของผู้รู้ต่างๆ ผมก็รู้แล้วว่าผมมีความสุขแบบนี้ และก็อยากจะแนะนำความสุขแบบที่มันประณีต แต่ก็นั่นแหล่ะนะ อยากให้ทุกคนมีความสุขละกันนะ
.... สรุปเลยงงนะ หะๆ



ชัย

โพสต์ โดย ชัย » พฤหัสฯ. ก.ย. 30, 2004 11:13 pm

ผมแนะนำให้ทำธุรกิจส่วนตัวดีกว่านะครับ

ผมเองปัจจุบันอายุ 35 ปี ย่าง 36 เริ่มต้นลาออกจากการเป็นลูกจ้างเมื่อตอนอายุ 25 ปี แล้วก็เริ่มทำกิจการเล็กๆของตัวเอง เงินลงทุนเริ่มต้น แค่คอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์ชุดเดียวครับ

ตอนนี้ผมมีทรัพย์สินประมาณ 40 ล้าน ไม่มีหนี้สิน ที่เขียนมาไม่ได้เพื่อโอ้อวด แต่อยากบอกว่า จะไปเชียงใหม่นั้น ไปได้หลายทาง บางคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วมีกระต่ายมาวิ่งชนต้นไม้ให้เขาจับไปแกงกิน เขาอาจจะมาบอกคนอื่นๆ ว่า ไม่ต้องทำงานหรอก รอใต้ต้นไม้ ก็มีกระต่ายมาให้กิน

ผมอ่านผู้คนที่เทิดทูนวอร์แรนบุฟเฟต ที่เขารวยอันดับสองของโลก แล้วผมก็เห็นเป็นเรื่องไม่ค่อยสมเหตุสมผล ผมคิดว่าวอร์แรนบุฟเฟต เป็นเสมือน hero หรือศาสดาของผู้คนที่ไม่มีความสามารถในการสร้างกิจการของตนเอง แต่ต้องการรวยมากกว่า หรือต้องการรวยโดยเหนื่อยน้อยที่สุด โดยขออยู่ในฐานะแค่เหลือบที่ไปเกาะคนอื่นๆที่ลงแรงทำงานในส่วนของ real sector

หลายๆคนมองแต่วอร์แรน บุฟเฟต รวยอันดับสองของโลก แต่ไม่ยักมองว่า คนร่ำรวยที่ติดอันดับ 1-20 ของโลกนั้น ส่วนมากเป็นผู้ที่ก่อตั้งกิจการขึ้นมา และเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แทบทั้งสิ้น วอร์แรนบุฟเฟต เป็นแค่คนส่วนน้อย และส่วนนึงที่เขารวยมาก เพราะมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นนั้น ก็มาจากค่าความนิยมในตัวเขาที่หลายๆคนมองว่าเป็นศาสดาไปแล้วส่วนนึงด้วยครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ ต.ค. 01, 2004 2:23 pm

อืม... ผมว่า ก็นักลงทุนนั่นแหละครับ ตลาดหุ้นมีนักลงทุนหลายสิบประเภท
บางคนอาจไม่ใช่แบบที่เราเป็น หรือเข้าใจ ก็แค่นั้น

แต่ เหลือบสังคมนี่ รุนแรง มากเลยนะพี่ มันจะขนาดนั้นเลยเหรอพี่

ทำธุรกิจอยู่ มีเงินเหลือให้ทำไง
ทำธุรกิจไป แก่ตัวลง แรงเริ่มหมด เหลือสมอง ความรู้ กับ ประสบการณ์ ควรทำไง

คำถามมัน Open end ตอบได้หมดแหละ แล้วแต่ความถนัด
จรืงๆ การลงทุนแบบ Value หรืออื่นๆ ก็เป็นอีกทางนะครับ มีโอกาสศึกษาไม่น่าจะเสียหายนะครับ จะได้มีทางเลือกเยอะขึ้น



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ ต.ค. 01, 2004 2:37 pm

ผมไม่เห็นด้วยที่ใช้คำว่า เหลื่อบสังคมนะครับ แรงไปครับ ที่บ้านผม ผมกับ
ครอบครับก็ทำกิจการการค้าส่วนตัว และเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี
ทีผ่านมา เพราะคิดว่า ชาตินี้อย่างไร ก็คงไม่สามารถเป็นเจ้าของ ธรุกิจหรือ
อุตสาหกรรมที่ดีดี เพียงคนเดียวหรือครอบครับเดียวได้ เช่น ด้านปูนซิเมนต์
โทรคมนาคม ด้านอาหาร
ดังนั้นทางเดียวที่จะได้เป็นเจ้าของบริษัทเหล่านั้นได้ คือ ร่วมลงทุนกันคน
อื่นๆ โดยผ่านตลาดหลักทรัพย์ ปีไหนผลกำไรดี ก็ได้ปันผลมากหน่อย ปีไหน
กำไรไม่ดี ก็ได้น้อยหน่อย :D :D :D



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ ต.ค. 01, 2004 2:54 pm

ผมว่า ไม่ว่าจะพูดถึงกิจกรรมอะไร : ลงทุน, ทำกิจการส่วนตัว, ไต่เต้าในองค์กร , เป็นนักกีฬาอาชีพ หรืออื่นๆ จะมีบางคนที่ทำด้วยความชอบและความถนัด ขณะที่บางคนทำเพราะอยากรวย หลายๆคนเข้ามาลงทุนเพราะอยากรวย ขณะที่หลายๆคนก็ฝันที่จะทำกิจการส่วนตัวเพราะอยากรวย แต่หลายๆคนก็ทำเพราะชอบ หลายๆคนที่ลงทุนมองบัฟเฟตต์เป็นต้นแบบ ขณะที่หลายๆคนที่ทำกิจการส่วนตัวก็มอง Bill Gates, Michael Dell, Sam Walton เป็นต้นแบบ และหลายๆคนที่ทำงานในองค์กรก็มอง Jack Welch, Louis Gerstner เป็นต้นแบบ ผมว่าเรื่องแบบนี้เราไปสรุปแบบฟันธงไม่ได้หรอกครับ ต้องดูเป็นรายบุคคล บัฟเฟตต์เป็นคนส่วนน้อยมากๆๆๆแต่คนที่สร้างกิจการแล้วเอาเข้าตลาดจนรวยติดอันดับ 1-20 ก็เป็นคนส่วนน้อยมากๆๆๆเช่นกัน เรื่องที่ว่าบัฟเฟตต์มีค่า premium ก็อาจจะจริง แต่ Microsoft, Wal-mart , Bill Gates ก็มี premium เช่นกัน ประเด็นที่ว่า การเป็นนักลงทุนเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มนั้นมีการพูดกันมานานแล้ว ผมเองก็เคยพูดคุยประเด็นนี้กับ อ. เทพ ( ห่านทองคำ) ประมาณ 10 ปีก่อน ผมเคยอ่านบทบรรณาธิการของบรรณาธิการหนังสือหุ้นรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง เขาเขียนทำนองว่า การลงทุนไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มไม่ได้ก่อให้เกิดการจ้างงานเหมือน real sector ผมอ่านแล้วก็งงๆ เพราะการที่เขาได้ทำงานที่ทำอยู่ก็เพราะมีกิจกรรมการลงทุน ถ้าไม่มีนักลงทุนไม่มีตลาดหุ้น หลายๆคนที่อยากทำกิจการอาจไม่ทำเพราะแรงจูงใจไม่สูงพอ ( มีโอกาสขายหุ้นในราคาสูงกว่า book value มากๆๆๆน้อยลงและไม่มีสภาพคล่อง) คนที่จะลงหุ้นกับเจ้าของกิจการในช่วงเริ่มแรกอาจไม่ทำเพราะไม่มีสภาพคล่องพอ บริษัทเกิดใหม่อย่าง Microsoft ระยะแรกที่ไม่ค่อยมีเงินจ้างคนเก่งๆคงไม่รู้จะเอาอะไรไปจูงใจพนักงาน บริษัทหลักทรัพย์ต้องปิดตัว สื่อทางด้านเศรษฐกิจก็ต้องลดลงไป ผมว่า การเป็นนักลงทุนแม้จะไม่ได้สร้างงานโดยตรง แต่งานจำนวนไม่น้อยก็ถูกสร้างขึ้นทางอ้อม ผมเคยอ่านนักธุรกิจรุ่นสองบางคนที่รับกิจการต่อจากพ่อ
ชอบพูดในทำนองว่างานเค้าเป็นงานหนัก ไม่ใช่งานที่หาเงินได้ง่าย ๆ เหมือนพวกที่ลงทุนในตลาดหุ้น ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าจะเปรียบเทียบไปเพื่ออะไร เพราะถ้าใครได้กิจการขนาดใหญ่อย่างนั้นมา เป็นใครๆก็ทำ ผมว่าเราถนัดอะไรก็ทำไปเถอะครับ อย่าไปเปรียบเทียบว่าอะไรดี อะไรด้อยเลย ผมว่า คงไม่มีใครหรอกครับที่เวลาจะเริ่มต้นทำอะไรมานั่งคิดก่อนเลยว่า มันสร้างงานไหม สร้างมูลค่าเพิ่มไหม สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติไหม คิดยังงั้นปวดหัวตายครับ ทำสิ่งที่เราชอบและไม่เบียดเบียนใครก็พอ ส่วนเรื่องจะชอบใครนับถือใคร ผมว่ามันไม่น่าเป็นเรื่องผิดอะไร ขนาดคนที่ไม่ได้เป็นนักบอลก็รักชอบนักบอลดังๆได้ ขนาดคนที่ไม่ได้เป็นนักร้องก็ชอบนักร้องดังๆเยอะแยะ ทำไมคนที่เป็นนักลงทุนอยู่แล้วจะชอบบัฟเฟตต์บ้างไม่ได้หละครับ เราได้ทั้งแรงบันดาลใจและบทเรียนไม่ใช่แค่กริ๊ดๆๆ เป็นแค่ความเห็นของคนๆเดียวนะครับ ไม่เห็นด้วยไม่ว่ากันครับ



GEKKO

โพสต์ โดย GEKKO » เสาร์ ต.ค. 02, 2004 1:46 pm

สนุกจริงๆ แค่คุณชัยโพสท์ข้อความไม่นาน เสียงตอบรับพรึ่บเลยครับ
ผมเองมองสองประเด็นนะ
1. คุณชัยคงอยากจะแนะให้ลองทำกิจการเองและแนะให้มองกว้างๆ ดูสถิติโดยรวม อย่ามองแค่มุมมองเดียว ทำกิจการเองน่าจะรวยเร็วกว่าตามความเห็นคุณชัย
2. คุณชัยอาจจะน้อยใจที่ดูเหมือนนักลงทุนบางคนหาเงินได้ง่ายๆไม่ต้องลงแรงเหมือนคุณชัยจนว่าเป็นเหลือบสังคม
สรุปแล้วมันเหมือนขัดแย้งกันเองนะครับ แต่ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมคิดว่าเป็นความเห็นโดยเจตนาที่ดีนะ แต่คิดว่าคงไม่ได้อ่านทวนเท่าไรเวลาโพสท์เท่านั้นเอง



ง่า...

โพสต์ โดย ง่า... » อาทิตย์ ต.ค. 03, 2004 1:33 am

พวก trading หรือ นายหน้าทั้งหลายก็เป็นเหลือบหมดสิ เพราะไม่ได้ผลิตอะไรเหมือนกัน



ชัย

โพสต์ โดย ชัย » อังคาร ต.ค. 05, 2004 5:11 pm

สวัสดีครับทุกท่าน

ก่อนอื่น ต้องขอให้กลับไปอ่านก่อนว่า คำว่า เหลือบสังคม ผมไม่ได้พูดนะครับ คนอ่านเอาไปเขียนกันเอง ผมเขียนว่าเหลือบที่ไปเกาะ real sector ครับ

เขาถึงว่าไงครับว่ามวลชนนั้นชักจูงง่าย กระทู้ยาวๆ คนอ่านกันไม่หมด ใครจูงด้วยคำไหนก่อน ก็ไปทางนั้นได้ง่ายๆ ตอนเดินขบวนประท้วง เขาถึงบอกให้ยึดคนถือธงนำหน้าไว้ให้ได้แล้วก็นำมวลชนไปได้ง่ายๆเหมือนกัน

เอาเป็นว่าถ้าคำว่าเหลือบสะเทือนใจไป ผมเปรียบเป็นแบคทีเรียในลำไส้ก็ได้ครับ อาจจะฟังดูเล็กๆน่ารักขึ้นหน่อย

แล้วก็อย่าหลงประเด็นนะครับ เจ้าของกระทู้เขาตั้งกระทู้ในประเด็นที่เขาสงสัยและกังขาว่ามันจะเป็นไปได้หรือสำหรับการลงทุนในแบบนี้ สำหรับมนุษย์เงินเดือน ที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งก็มีคนพยายามบอกว่าเป็นไปได้ และพูดไปในทำนองว่า ไม่ต้องทำงานอะไร ลงทุนอย่างเดียวเนี่ย ช่างเป็นชีวิตที่เลิศประเสริฐศรีเสียเหลือเกิน ช่างเป็นชีวิตที่น่าภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่มาชี้ให้เห็นว่ายังมีคนอีกฟากหนึ่ง มองพวกคนที่คิดอย่างนั้น อย่างไรเท่านั้น

หลายๆคนยังเรียกตัวเองว่านักลงทุนอาชีพ มีส่วนช่วยในระบบเศรษฐกิจ มองตัวเองว่าเป็นส่วนที่ลงทุนให้ธุรกิจเอาไปสร้างให้เกิดการจ้างงาน ทั้งๆที่เขาเป็นแค่คนเติมสภาพคล่อง และเป็นแค่ตัวสร้างตัวเลขมูลค่ามายาให้กับเจ้าของกิจการเท่านั้นเองครับ

ให้แยกอย่างนี้นะครับ เงินลงทุนที่ผู้ประกอบการผู้ก่อตั้ง และนักลงทุนมือหนึ่ง รวมเงินกัน แล้วเอาไปก่อตั้งกิจการ ขยายกิจการใน real sector นั้น มันทำให้เกิดการจ้างงานครับ มันทำให้คนตกงานมีงานทำ มันทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้มียารักษาโรคใหม่ๆ ทำให้เรามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ มี cpu ใหม่ๆ คนเหล่านี้คือคนสร้างโลก สร้างงานครับ เป็นกลจักรขับเคลื่อนให้เกิดสินค้าและบริการใหม่ๆขึ้น ทำให้โลกเราพัฒนา

ส่วนคนที่มาซื้อหุ้นต่อในตลาดหลักทรัพย์นั้น เหมือนคนซื้อหุ้นมือสอง ณ วันนี้ ต่อให้ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือขายหุ้นออกไป ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการจ้างงานขึ้น ไม่ได้ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้น สิ่งที่คนเหล่านี้ทำให้ได้ มีอะไรเหรอครับ

1. สิ่งที่คนเหล่านี้ทำให้ก็คือแค่เติมสภาพคล่องให้กับนักลงทุนมือหนึ่ง และนักลงทุนมือสองด้วยกัน ในกรณีที่นักลงทุนมือหนึ่ง ต้องการใช้เงินไปสร้างบ้านให้แม่ยาย จะได้ขายหุ้น เอาเงินไปสร้างบ้านให้แม่ยายได้เท่านั้น เขาไม่ได้สร้างการลงทุนให้เกิดขึ้นหรอกครับ อย่าสำคัญตัวเองผิดไป เขาไม่ใช่นักลงทุนอย่างที่เรียกตัวเองหรอกครับ เป็นคนคนเติมสภาพคล่องเท่านั้น

2. สิ่งที่สองที่ทำให้ก็คือ เป็นแค่ตัว value maker ให้กับกิจการของเจ้าของกิจการเท่านั้น ว่าควรจะมีมูลค่าทางมายา (ตัวเลข) เฉยๆอย่างไร เพราะอะไรเรียกว่ามูลค่ามายา เพราะต่อให้มูลค่านี้เพิ่มมากน้อยอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจใดๆทั้งสิ้นไงครับ

3. เป็นแค่คนที่ทำให้เจ้าของกิจการที่เอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นร่ำรวยขึ้นด้วยตัวคูณของค่า p/e คือโดยปกติ เจ้าของบริษัททำมาหากินแต่ละปี เขากำไร 100 ล้าน สินทรัพย์ที่เขามีเพิ่มขึ้นก็คือ 100 ล้าน ถ้าปีหน้าเขากำไร 150 ล้าน สินทรัพย์ที่เขามีเพิ่มขึ้นก็คือ 150 ล้าน แต่ถ้าเขาเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น สินทรัพย์เขาจะกลายเป็น 100 ล้านคูณด้วยค่า p/e ที่ตลาดให้ทันที ถ้าตลาดรับทราบว่าปีหน้าเขาจะกำไร 150 ล้าน ตลาดก็ให้ p/e เป็น 20 เท่า สินทรัพย์เขาก็กลายเป็น 2000 หรือ 3000 ล้านทันทีในตัวเลขทางมายา ผมถึงเขียนบอกไงครับว่าคนซื้อหุ้นมือสองนั้น มีหน้าที่มาสร้างความร่ำรวยให้กับนักลงทุนมือหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าคุณอ่านผู้ที่ตอบกระทู้ข้างต้น มีท่านนึงก็พูดไว้แล้วถึงเรื่องที่ buffet เขาหันไปซื้อหุ้นนอกตลาด รับทราบข้อมูลนี้แล้ว มองอะไรเห็นกันบ้างหรือเปล่าล่ะครับ

ผู้ที่เรียกว่าตัวว่าเป็น VI หลายๆคนอาจจะเถียงผมว่า แล้วกรณี IPO และกรณีมีการเรียกเพิ่มทุนล่ะ บริษัทก็เอาเงินจากคนซื้อหุ้นมือสองเหล่านี้ไปเพื่อขยายกิจการเพิ่มผลผลิตไม่ใช่หรือ

คำตอบก็คือใช่ครับ มีแค่สองกรณีนี้เท่านั้น ที่เงินจากนักซื้อหุ้นมือสองมีส่วนในการทำให้เกิดผลผลิตในภาคการผลิตจริง

แต่ลองมานึกดู มีกี่บริษัทที่เพิ่มทุน และพฤติกรรมของ VI นั้น เคยเข้าไปยุ่งกับบริษัทที่เพิ่มทุนเหล่านี้ หรือเคยไปซื้อหุ้น IPO กับเขาหรือไม่อย่างไร ผมเชื่อว่ามีน้อยมากครับ ท่าน ดร ที่นับถือกันว่าเป็นปรมาจารย์ VI ท่านยังเคยเขียนถึงหุ้น IPO เลยครับ ว่าเขาไม่นิยมเพราะเหตุผลหลายๆอย่าง

นั้นคือ ในทางปฏิบัติจริงๆแล้ว เม็ดเงินของการลงทุนแนว VI มีผลกับภาคการผลิตจริงน้อยมากๆ จนถึงไม่มีผลใดๆเลย

สิ่งที่ผมเขียนมา จริงๆแล้ว ใช้คำแรงเพื่อให้เกิดการฉุกคิด ไม่ใช่ไหลไปตามกระแสคำพูดของคนบางคนที่พยายามสร้างออกมาว่าการไม่ทำงานอื่น นั่งลงทุนอย่างเดียวเป็นเรื่องดี เพราะผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ประเทศเรามีเด็กเกิดใหม่น้อยลงทุกปีครับ ปิรามิดประชากรกำลังจะเป็นฐานเล็ก ยอดใหญ่ นั่นคือ เราจะมีคนสูงอายุมากขึ้น คนทำงานน้อยลง ถ้าผมปล่อยให้แนวความคิดไม่ทำงานสร้างผลผลิตใน real sector แต่กลับไปนั่งเอาเงินไปลงทุนอย่างเดียวในแบบคนซื้อหุ้นมือสอง ถ้าผมปล่อยให้แนวความคิดเหล่านี้เติบโตเป็นไฟลามทุ่ง มองภาพเห็นไหมครับว่าประเทศเราจะเป็นอย่างไร

ผมพูดในฐานะให้มองให้กว้าง และละความเห็นแก่ตัวลงหน่อย อย่าเห็นแต่ความสบายของตัวเอง มีแรงวันนี้ ***ทำอะไรให้มันมากกว่าที่เป็นอยู่สักหน่อย*** ไม่ใช่วันนึงทานข้าวสามมื้อ แล้วก็นอนวันละ 8 ชั่วโมง แล้วก็มาโพนทะนาให้คนรุ่นหลังๆ เด็กๆที่ควรเป็นกำลังสำคัญของชาติ ที่ควรสอนให้เขาขยันหมั่นเพียร มานะอดทน สู้งานไม่ถอย แต่กลับไปบอกเขาว่า ฉันประสบความสำเร็จในการเป็นแบคทีเรีย และฉันทานข้าวสามมื้อ แล้วก็นอนวันละ 8 ชั่วโมงเพราะนี่เป็นงานที่ฉันรัก ผมฟังแล้วมันตลกสิ้นดีครับ สิ่งที่คุณถ่ายทอดถ้ามันลามออกไป มันทำลายประเทศเราครับ สร้างผลผลิตจริงให้ประเทศไม่ได้ อย่าไปทำลายทางอ้อมครับ

ผมไม่ได้มาดูถูกหรือต่อว่าผู้ที่มีรายได้จากการให้เงินทำงานเพียงอย่างเดียวครับ เพียงแต่ไม่ต้องการให้เชื้อความคิดรักสบาย ไม่ต่อสู้ ไม่พากเพียร แทรกซึมไปในหัวคิดของคนรุ่นใหม่

คำพูดผมอาจจะแรง เพราะคำตรงขวางหู ยาดีขมปาก

สิ่งที่ผมเขียน ให้แยกให้ออกว่าส่วนไหนเป็นความคิดเห็น ส่วนไหนเป็นข้อมูลที่ปฏิเสธไม่ได้

สิ่งที่ผมเขียน ถ้าอ่านด้วยสติปัญญา ย่อมได้สติปัญญา ถ้าอ่านด้วยจิตขุ่นข้องหมองใจ ย่อมสุดท้ายจบลงด้วยจิตอันเป็นอกุศล

ผมไม่ได้มีทัศนะคติที่ไม่ดีกับการลงทุนไปด้วย ทำงานไปด้วย แต่ขอต่อต้านแนวคิดที่จะไม่ทำงาน และต่อต้านการเผยแพร่แนวความคิดที่จะไม่ทำงานเหล่านั้นสู่คนรุ่นใหม่ๆด้วยครับ

เริ่มแรก ผมเขียนให้เจ้าของกระทู้ทราบว่า ความสงสัยในสิ่งที่คุณเขียนนั้นเป็นจริง และบอกแนะแนวทางว่า หนทางการทำธุรกิจของตนเองนั้น เป็นอีกแนวทางที่นำคุณไปสู่จุดที่คุณต้องการได้ และช่วยประเทศชาติด้วย

เมื่อใดก็ตามที่คนรวย ไม่ลงทุนทางตรงเพื่อให้เกิดการจ้างงาน แต่มัวแต่ไปซื้อหุ้นมือสอง ผมถือว่าเป็นความโชคร้ายของประเทศชาติเราเลยครับ

ทุกวันนี้ ผมมีเงินทองพอที่จะหยุดทำงานได้ แต่ผมก็ยังทำงานต่อไป เพราะผมเลยจุดที่จะทำเพื่อตัวเอง ผมทำงานทุกวันนี้ เพื่อให้ลูกค้ามีสินค้าและบริการที่ดีๆ ผมทำงานทุกวันนี้เพื่อให้ลูกน้อง ซึ่งส่วนใหญ่ด้อยโอกาสกว่าผมมีงานทำ มีรายได้

ด่าผมก็ได้ครับ ถ้าคุณไม่เห็นจริงกับสิ่งที่ผมเขียนแม้แต่น้อย ด่าผมได้ ถ้าคุณคิดว่า สิ่งที่ผมเขียน ผมมีเจตนาร้ายให้กับคนอื่นๆ คนรุ่นหลัง และประเทศชาติเรา

ผมมีมุมมองเกี่ยวกับความร่ำรวยของ buffet ซึ่งหลายๆคนมองว่าเขาร่ำรวยจากการลงทุน แต่ผมมองว่า เขาก็เหมือนคนอื่นๆที่ร่ำรวยติดอันดับโลกนั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้ ผมคิดว่า เวบนี้คงไม่ยินดีรับแนวคิดมุมมองของผมแล้วหละครับ คงพอแค่นี้



ชัย

โพสต์ โดย ชัย » อังคาร ต.ค. 05, 2004 7:47 pm

คุณ Mrdew คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ

เพราะที่คุณเขียนน่ะ คุณไม่ได้เขียนเพื่อโต้แย้งผมเลยนะ แต่คุณเขียนเข้าข้างผมเลยด้วยซ้ำไป เพราะแนวความคิดที่ว่า รวยแล้ว หรือมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ก็ยังควรทำงานอยู่ นั่นแหละ ที่ผมกำลังบอกว่าเป็นแนวทางที่ควรทำ

ตัวอย่างที่คุณยกมา ก็เป็นตัวอย่างในแนวทางที่ผมบอกทั้งนั้นเลยครับ

ดร นิเวศน์ ลงทุนด้วย แล้วก็ทำงานด้วยครับ ดร ท่านเป็นอาจารย์ เขียนหนังสือด้วย

ดร ทักษิณก็รวยแล้ว ก็มาทำงานเหนื่อยเป็นนายกฯอีก

แล้วคุณ Mrdew มาเถียงอะไรผมเหรอครับ ก็ที่คุณเขียนน่ะ มันแนวทางที่ผมบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรเป็นทั้งนั้นครับ คนที่คุณยกตัวอย่างมา ผมเห็นด้วยกับเขาทั้งนั้นครับ

คนที่ผมไม่เห็นด้วย คือคนที่รวยแล้ว แล้วก็มาบอกว่า ฉันทานข้าววันละ 3 มื้อ แล้วก็นอน แล้วก็กวาดบ้าน เพราะนี่เป็นงานที่ฉันรัก คนพวกนี้ต่างหากครับที่ผมบอกว่าผมไม่เห็นด้วยกับเขา

คุณ MrDew เขียนอะไรอย่าสับสนในประเด็นนะครับ คนอ่านเขางงว่าคุณอ่านกระทู้เข้าใจถึงประเด็นที่เขาสื่อออกมาหรือเปล่า

คุณ ba2_l คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ครับ ผมมีกำไรไม่น้อย หุ้นหลายๆตัว ผมซื้อก่อน VI ในเวบนี้จะมองเสียอีก

สิ่งที่ผมบอกคือ ถ้ามีเงิน ลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนได้ครับ แต่อย่าลืมทำงานอย่างอื่นๆด้วย อย่าปล่อยให้ตัวเองแก่ตัวไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สร้างผลผลิตใดๆให้สังคมและระบบเศรษฐกิจครับ

อเมริกาพิมพ์แบงค์เองได้ครับ อย่าไปเอาประเทศนี้มาเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าประเทศไทยพิมพ์แบงค์เองได้ แล้วเอากระดาษไปซื้อน้ำมันอย่างที่อเมริกาทำอยู่ เราก็สามารถมีคนที่ไม่ทำงานได้เยอะๆครับ แล้วอเมริกาในไม่ช้า ก็จะมีปัญหาเรื่องที่ผมกำลังบอกเหมือนกัน โครงสร้างประชากรในยุคเบบี้บูมของเขากำลังแก่ตัวลงเรื่อยๆ ถ้าฐานประชากรรุ่นใหม่ ไม่สร้างผลผลิตที่แท้จริงให้ระบบเศรษฐกิจ อเมริกาก็จะมีปํญหาแน่ๆครับ เพียงแต่ต้องใช้เวลาระยะนึง และเขาก็พิมพ์แบงค์เองได้ครับ เขาใช้คนไม่กี่คนพิมพ์แบงค์แล้วก็มาซื้อกุ้งเราไปกินครับ อย่าบอกว่าทำไมเราไม่เลิกเลี้ยงกุ้งแล้วพิมพ์แบงค์ไปซื้อ cpu เขามั่งละครับ เดี๋ยวขำกันตาย



ชัย

โพสต์ โดย ชัย » อังคาร ต.ค. 05, 2004 8:05 pm

อ้าว คุณ Mrdew ยังไม่เข้าใจอีก

ที่ผมว่าน่ะ ผมว่าคนรวยแล้วไม่ทำงานครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนรวยแล้วยังทำงานเลย

แล้วคุณมาว่าผมโวยอะไร คนละทางเลยนะเนี่ย

เขาทำเหมือนผม ก็ผมก็ทำเหมือนเขา แล้วผมก็ไม่ได้ว่าเขา ไม่ได้โวยเขา

ที่ผมว่าน่ะ ผมว่าคนรวยแล้วไม่ทำงานครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนรวยแล้วยังทำงานเลย

คุณ Mrdew ช่วยเล่าหน่อยสิว่าที่คุณเล่าน่ะ มันเป็นเรื่องโต้เถียงกับผมตรงไหน ไม่เกี่ยวอะไรเลยนะนั่น คุณหลงประเด็นจริงๆด้วยแหละ แล้วก็มาบอกว่าไม่หลงประเด็น



ชัย

โพสต์ โดย ชัย » อังคาร ต.ค. 05, 2004 8:26 pm

ก็คุณหลงประเด็นจริงๆนั่นแหละครับ คุณ Mrdew

ก็คุณเข้ามาพูดรุนแรง อย่างกับจะโต้เถียง แล้วทำหน้าเหมือนไม่เห็นด้วยกับผม แต่ดันยกตัวอย่างในแบบที่ผมเห็นด้วยในแนวทางนั้น

ก็คือ คนมีเงินแล้ว คุณก็เอาเงินคุณทำงานให้คุณไป แล้วตัวคุณก็ทำงานอย่างอื่นไปด้วย อย่าปล่อยให้ชีวิตไร้ค่า อย่าปล่อยให้ในชีวิตคุณมีแต่ตัวเลขเงินเพิ่มหรือเงินลด ให้มันมีอะไรที่เกิดจากการสร้างผลผลิตหรือบริการบ้าง เท่านั้นเองครับ

ผมถึงเขียนไงครับ อ่านสิ่งที่ผมเขียนด้วยสติปัญญา คงได้สติปัญญา อ่านด้วยด้วยอารมณ์ก็คงได้อารมณ์

ผมไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่ของเวบนี้อยู่แล้วครับ ใครจะบ้ามาเล่นเวบเขาแล้วมานั่งด่าคนส่วนใหญ่ครับ

คุณปรัชญา ลงทุนได้เงินเยอะ ก็ยังทำงาน
คุณ LOSO กำไรอื้อซ่า ก็ยังทำงาน
คุณ Mon กำไรหุ้นเยอะแยะ ก็ยังทำงาน เปิดเวบให้คนอื่นๆ สร้างสิ่งต่างๆให้สังคม
ดร นิเวศน์ ประสบความสำเร็จในแบบ VI มากมายก็ยังทำงาน ยังสอนหนังสือ ยังเขียนหนังสือ
คุณ ลูกอีสาน กำไรหุ้นมากแค่ไหนผมไม่รู้ แต่อ่านข้างต้น ก็ยังทำงาน

ผมไม่ได้ว่าอะไรคนข้างต้นเลยนะครับ แม้แต่คุณ Mrdew เหอะครับ คุณประสบความสำเร็จในการลงทุน หรือเปล่า ถ้าใช่ แล้วมีรายได้มากพอที่จะไม่ทำงานก็อยู่ได้ แต่ก็ยังทำงานอยู่ คุณก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ผมกล่าวถึงครับ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีอิสรภาพทางการเงิน แล้วเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย นอกจากนั่งดูเงินทำงานให้คุณอย่างเดียว นั่นแหละครับ กระทู้ที่ผมเขียน ผมติติง ก็เขียนให้คนกลุ่มนี้รับไปเต็มๆ

บางอ่านอายุมากแล้ว ลงทุนหารายได้เลี้ยงชีพไป เราก็พอจะยอมรับกันได้นะครับ แต่คนหนุ่มๆสาวๆ อายุยังไม่มาก พอมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างอื่น ไม่ทำงานใดๆ นั่งๆนอนๆ หายใจและอยู่บนโลกนี้ไปโดยไม่สร้างอะไรเลยเนี่ยสิ อันนี้สิ น่าตำหนิ

คุณ Mrdew ครับ ผมคงต้องขอร้องว่าอย่ามาถกเถียงกับผมในสิ่งที่ผมเห็นด้วยอยู่แล้วเลยครับ อ่านแล้วผมงงครับ ว่าเห็นด้วยกับผม มาเถียงผมทำไมเนี่ย แล้วผมก็ไม่ได้เคยไปว่าคนที่มีส่วนของการทำงานที่สร้างผลผลิตควบคุ่ไปกับการลงทุนส่วนตัวเลยครับ



ชัย

โพสต์ โดย ชัย » อังคาร ต.ค. 05, 2004 8:51 pm

คุณ Mrdew ครับ ในเวบบอร์ด ไม่ต้องนับอายุมากหรอกครับ เขียนมาเถอะ ถ้าคุณอ่านสิ่งที่ผมเขียนและทำความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว จะได้คุยกันให้ตรงประเด็น แต่ถ้ามาเถียงกันทั้งๆที่เห็นไปในแบบเดียวกัน มันตลกน่าดู ผมบอกว่า 5+3=8 คุณบอกว่า 3+5=8 แล้วสองคนก็นั่งเถียงกันไป ฟังแล้วตลกไหมล่ะครับ

ผมสรุปง่ายๆตรงนี้ก็ได้นะครับ หลายๆคนมองว่า รวยแล้วมีสิทธิที่จะเลือกทำงานหรือไม่ทำงาน คือมองว่ามันเป็น "สิทธิ" ของแต่ละคน เลือกอะไร เรื่องของเขา

แต่ผมมองว่า รวยแล้วต้องทำงาน เพราะมันเป็น "หน้าที่" ครับ ไม่ใช่สิทธิ เป็นหน้าที่ของคนไทยคนนึงในประเทศนี้ ที่ยังพอมีร่างกายมีสติปัญญา ก็ต้องช่วยกันครับ เราได้โอกาสที่ดีกว่าคนอื่นๆ มีเงินทองเก็บเหลือพอลงทุนแล้ว อย่าลืมหน้าที่ของแต่ละคนครับ

ผมมาทำหน้าที่ในเวบบอร์ดนี้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ๆ อย่าเอียงไปในทางรักความสุขสบายจนลืมแก่นแท้ของการทำงาน ก็เท่านั้นเอง นานๆจะโดนรุมที ถือว่าไม่เสียทีที่เสียเวลาเขียนตั้งยืดยาว



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อังคาร ต.ค. 05, 2004 11:04 pm

" Don't let the emotion out of control.............be humble "



Spetsnaz

โพสต์ โดย Spetsnaz » พุธ ต.ค. 06, 2004 11:06 am

MacroArt เขียน:มีหนังสือตระกูล Rich Dad เล่มหนึ่งที่ยังไม่แปลเป็นไทย เค้าจั่วหัวหน้าเล่ม
ว่า "เปลี่ยนเงิน 10,000 เหรียญ ให้เป็น 10,000,000 เหรียญ ใน 10 ปี"

แปลว่าพ่อรวยรู้วิธีการลงทุนที่ทำได้ 100% ต่อปีครับ
จริงๆ คื่อทบต้น 99.5264% ต่อปี ( 1.995264^10 => 1000 )



ชัย

โพสต์ โดย ชัย » พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2004 2:10 am

ประเด็นที่คุณลูกอีสานพูด ผมเขียนดักคอไว้เรียบร้อยแล้วในเรื่องหุ้น IPO และการเพิ่มทุนครับ กลับไปอ่านดูใหม่

ประเด็นอยู่ที่ว่า นักซื้อหุ้นมือสอง มีส่วนช่วยในการสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจ และทำให้เกิดการจ้างงานอย่างไรบ้างครับ ตีประเด็นให้ถูก คุณเขียนเหมือนไม่ได้อ่านที่ผมเขียนข้างต้น

คุณฉัตรชัยเขายังอ่านเลยครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2004 11:54 am

เหนื่อยใจแทนน้องลูกอีสานและเพื่อนๆ TVI ทุกคนครับ

จะขอสรุปประเด็นเป็นครั้งสุดท้าย

แรกเริ่มเลยคุณชัยบอกว่า
1. นักลงทุน ( นักเล่นหุ้น ) โดยเฉพาะระบุเจาะจงลงไปเลยว่า บัฟเฟตต์ เป็นเหลือบของ real sector
ผมอ่านผู้คนที่เทิดทูนวอร์แรนบุฟเฟต ที่เขารวยอันดับสองของโลก แล้วผมก็เห็นเป็นเรื่องไม่ค่อยสมเหตุสมผล ผมคิดว่าวอร์แรนบุฟเฟต เป็นเสมือน hero หรือศาสดาของผู้คนที่ไม่มีความสามารถในการสร้างกิจการของตนเอง แต่ต้องการรวยมากกว่า หรือต้องการรวยโดยเหนื่อยน้อยที่สุด โดยขออยู่ในฐานะแค่เหลือบที่ไปเกาะคนอื่นๆที่ลงแรงทำงานในส่วนของ real sector


และยกย่องตัวเองว่าดี เป็นอาชีพที่มีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า พร้อมแนะนำให้ผู้อื่นไปทำธุรกิจแบบตนเอง
ผมแนะนำให้ทำธุรกิจส่วนตัวดีกว่านะครับ

ต่อมาเพื่อนๆ TVI บอกว่ามันไม่ใช่ คุณชัยจำนนด้วยเหตุผล แล้วแก้ตัวว่า " ไม่ได้บอกว่าเป็นเหลือบของสังคม "
ก่อนอื่น ต้องขอให้กลับไปอ่านก่อนว่า คำว่า เหลือบสังคม ผมไม่ได้พูดนะครับ คนอ่านเอาไปเขียนกันเอง ผมเขียนว่าเหลือบที่ไปเกาะ real sector ครับ
คุณชัยปัดความรับผิดชอบทิ้ง โดยเลี่ยงบาลีว่าพูดแต่คำว่าเหลือบที่ไปเกาะ real sector ไม่ได้พูดคำว่าเหลือบสังคม ตลกสิ้นดีนะครับ มักง่ายสิ้นดีด้วย


แล้วก็ขอเลี่ยงว่าเป็นแบคทีเรียแทน

เอาเป็นว่าถ้าคำว่าเหลือบสะเทือนใจไป ผมเปรียบเป็นแบคทีเรียในลำไส้ก็ได้ครับ อาจจะฟังดูเล็กๆน่ารักขึ้นหน่อย
แล้วก็เอาดีเข้าตัวว่าเป็นผู้รักชาติรักสังคม เมื่อประเด็นเก่าสู้ไม่ได้ก็เปิดประเด็นใหม่ว่า
ประเทศเรามีเด็กเกิดใหม่น้อยลงทุกปีครับ ปิรามิดประชากรกำลังจะเป็นฐานเล็ก ยอดใหญ่ นั่นคือ เราจะมีคนสูงอายุมากขึ้น คนทำงานน้อยลง ถ้าผมปล่อยให้แนวความคิดไม่ทำงานสร้างผลผลิตใน real sector แต่กลับไปนั่งเอาเงินไปลงทุนอย่างเดียวในแบบคนซื้อหุ้นมือสอง ถ้าผมปล่อยให้แนวความคิดเหล่านี้เติบโตเป็นไฟลามทุ่ง มองภาพเห็นไหมครับว่าประเทศเราจะเป็นอย่างไร

ข้ออ้างแบบนี้มีคนพูดมานานเป็นพันปีแล้วครับ ได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้วด้วย

ผมจะเล่าให้ฟัง

ครั้งเมื่อพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เหล่าภิกขุต่างๆก็ต่างอุทิศตัวยอมตรากตรำลำบากช่วยกันเผยแผ่คำสอนของพุทธศาสนาให้แพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อให้ประชาชนที่ยังไม่มีศาสนาได้มีธรรมมะเป็นเครื่องนำทางชีวิต

ฝ่ายเทวทัต ( ผมจำชื่อแน่นอนไม่ได้ อาจจะไม่ใช่ชื้อนี้ เหตุผลเป็นเพราะผมไม่อยากจะจำชื่อคนๆนี้ ) ด้วยเกรงว่าพระพุทธเจ้าจะเด่นเกินตนเอง มีคนนับถือมากกว่าตนเอง จึงได้เที่ยวบอกพระภิกษุว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก จะเกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนา และต่อประชาชนทั้งปวง


ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดประชาชนทุกคนต่างเลื่อมใสในศาสนาพุทธแล้ว และต่างอยากออกบวชกันทุกคน แล้วจะมีใครมาหุงข้าวเพื่อใส่บาตรให้เหล่าภิกขุเล่า จะมีใครทำไร่ทำนา จะมีใครเป็นกษัตริย์ จะมีใครทำกิจอื่นๆที่จำเป็นกับการคงอยู่ของสังคมมนุษย์


ความได้ยินไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระพุมธเจ้า ท่านจึงตรัสว่า ดูกร ภิกขุทั้งหลาย อันว่ามนุษย์นั้น เปรียบเสมือน กอบัวที่อยู่ในบึงน มีด้วยกันสี่เหล่า จะให้ทุกคนได้ยินคำสอนแล้ว ตรัสรู้กันหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ดอก จะต้องมีบางเหล่าบางกอที่ไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ และบางเหล่าก็จะได้ประโยชน์จากคำสอน ดังนั้นข้อกังวลนี้จึงไม่มีนำหนักเพียงพอที่จะห้ามการเผยแผ่คำสอนไปได้ดอก

:lol: :lol: :lol: :lol:


น่าแปลกนะครับที่มักจะมีคนยกตัวอย่างที่สุดขอบมาอ้างอยู่เสมอ ๆ เพื่อหาเหตุผลแก้ตัวให้ตนเอง เป็นมาทุกยุคทุกสมัย

และผมคิดว่าคงจะมีคนประเภทนี้ในอนาคตได้เรื่อย ๆ อีกครับ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่



Heaven

โพสต์ โดย Heaven » พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2004 8:59 pm

K. Chai is rich and successful. Currently, he doesn' t work for himself. He works for his employees ( = He don' t need help from his employees but they need him because they don' have abilities to work for someone else and totally depend on him). He works for his customers(= He don't care about revenue and profits . His products and services are so valuable and his price is low;thus, he thinks he is working for them all). He also works for Thailand(= Thailand needs a person like him because he is a smart and successful entrepreneur). He doesn't care about himself. The only thing he worry now is how Thailand, his employees, and his customers can survive without people like him. His contributions are priceless and those of others are unimportant. He can understand everything but others cann't . He is the only guy having reasons here. His reasons are the truth and it is final. The opinions of other people are useless and unreasonable. According to K. Chai ' s rare qualifications, we at the heaven want him now because we are all fear that the hell may get him first.



GEKKO

โพสต์ โดย GEKKO » พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2004 10:36 pm

ก่อนอื่นนะครับ... ใจจริงผมอยากจะอ่านเฉยๆนะครับ อ่านหลายๆความคิดเห็นหลายๆมุมมองก็สนุกดี แต่ไปไปมาๆ ก็ทนไม่ได้จนได้ หลังจากเห็นแรกๆเห็นแสดงความคิดเห็นต่อต้านคุณชัยกันเพราะคุณชัยใช้คำรุนแรงส่วนหนึ่ง
ผมเห็นด้วยกับคุณสามัญชนนะที่ว่าคุณชัยเลี่ยงไปบอกไม่ใช่บอกเหลือบสังคมแต่เป็นเหลือบของ real secter ดูไงมันก้อเหมือนเลี่ยงบาลี แต่ที่ผมทนไม่ได้จริงๆที่นักลงทุนโดนว่าเป็นแบคทีเรีย(จริงๆผมว่าพวกสัตว์ประเภทเซลล์เดียวสองเซลล์นี่มันดูแย่กว่าเหลือบอีกนะครับ) แล้วตอนหลังหลายๆคนกลับเห็นดีเห็นงามกับความคิดเห็นของคุณชัย ผมเห็นด้วยกับคุณชัยอย่างเดียวนะที่แนะนำคุณ mrdew ว่าในเว็บบอร์ดไม่ต้องนับอายุกันมาก แล้วผมก้อคิดว่าบางประเด็นคุณ mrdew เข้าใจผิด แต่ผมอ่านความคิดคุณ mrdew ด้วยความเอ็นดูนะครับ .. เอาล่ะทีนี้ ผมให้เครดิตตัวเองซักนิดเดียวนะครับ ว่าผมเรียนเศรษฐศาสตร์ปอโทนะ ถึงยังไม่จบแต่สอบได้ก้อคงมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้างนิดๆ (แต่ก้อฟลุ๊คสอบได้มหาลัยมีชื่อเสียงในประเทศหลายแห่งเหมือนกันแต่เลือกเรียนที่ใกล้)ถึงชอบมหภาคแต่ก้อไม่ได้คิดว่าตนเองเก่งมหภาค พอรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้สนใจศึกษาจริงจังอยู่บ้างนิดๆ GDP ของประเทศนะครับหรือตัวชี้วัดความเจริญทางเศรษฐกิจ(แต่ไม่ได้ชี้วัดการกระจายรายได้ ซึ่ง GDP เพิ่มไม่ได้หมายถึงคนจะอยู่ดีกินดีกันทั้งประเทศ อาจจะมีบางกลุ่มอยู่ดีกินดีขึ้นแต่คนบางกลุ่มกลับอยู่อย่างคุณภาพชีวิตเลวลงก้อมี แต่โดยรวมแล้วหมายความว่าดีขึ้น)
มีสูตรง่ายๆมาก การลงทุน+การบริโภค+ส่งออก-นำเข้า การลงทุนนี่ถ้ามองแต่มุมแคบๆอย่างเดียวก้ออาจมองได้ว่าประกอบกิจการ งั้นผมยกให้คุณชัยอยู่secter นี้ละกันนะ ตัวทวีคูณบางครั้งอาจจะมาก แต่ผมถามนะถ้าไม่มีคนซื้อจะมีคนขายไหม หรือถ้ามีคนบ้าผลิตขายผลิตมันท่วมหัวแต่ไม่มีคนใช้มันจะได้อะไร เพราะฉะนั้นต่อให้ใครซักคนอยู่ใน super real secter ผลิตมันโคตรเก่งโคตรลดต้นทุน และถ้าถึงให้เงินลูกจ้าง แต่ไม่เกิดการบริโภคก้อแค่นั้น เศรษฐกิจไม่เติบโตครับ ถ้าไม่มีการบริโภคนะ คนถึงกลัวกันนักหนาเรื่องเงินฝืดน่ะ (เงินเฟ้อยังดีกว่าเงินฝืดเยอะ)ญี่ปุ่นก็ประสบปัญหาคาราคาซังก็เพราะเรื่องนี้ ผมจะไม่บอกนะครับว่า ภาคการผลิตไม่ได้ช่วยสังคมเพราะมันช่วยสังคมจริงๆ และคุณชัยคงจะเล็งว่าผมหลงประเด็นอีกล่ะ ใครจะบ้าผลิตแล้วไม่มีคนใช้ มันก็เจ๊งเองจะอยู่ได้งัย เพราะงี้ผมถึงว่าไม่ได้ไง ผมว่าคุณชัยไม่ได้อยู่แล้ว แต่ผมก็คิดว่าใครก็ตามก้อว่าภาคอื่นไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้คนนั้นมันง่อยเปลี้ยเสียขา พิกลพิกาล ทำอะไรไม่ได้เลย รอเงินสังคมช่วยเหลืออย่างเดียวก้อว่าเค้าเป็นเหลือบหรือเป็นแบคทีเรียไม่ได้ ตราบใดที่เค้ายังไม่ตายและมีการบริโภค และการบริโภคไม่ใช่ว่า+1 เท่ากับ 1 นะครับ มันมีตัวเร่งของมันเพราะมันมีการหมุนเวียนของเงินตรา บางคนอาจจะยังพอจำโคษะนาของกรุงไทยได้นะครับ เงินมานคงจาหมุนไป มานคงจาหมุนปาย ให้ชุมช๊น ... การบริโภคมันมีตัวเร่งของมันอยู่ และภาคการผลิตมันก้อมีตัวทวีคูณของมันเหมือนกัน และหลายครั้งมากกว่าตัวเร่งของการบริโภคด้วยซ้ำ แต่ผมคงไม่อธิบายเรื่องนี้ให้มากความนะครับ เอาเป็นว่าใครก็ตามยังตื่นเช้ามาแปรงฟัน กินข้าวหรืออื่นๆ ก้อช่วยชาติทั้งนั้นแหล่ะครับ ตราบใดที่ยังไม่ตายนะทุกคนมีประโยชน์นะ อย่าให้ความคิดใครมายัดเยียดความเป็นแบคทีเรียหรือเหลือบให้แล้วยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเลยครับ แล้วการบริโภคมาจากไหนล่ะครับถ้าไม่มีเงิน แล้วการหาเงินมาบริโภคได้ด้วยวิธีไหนมันจะแปลกอะไรล่ะครับ จะไม่มานั่งปลูกผัก ปลูกหญ้า นั่งสั่งการคนเป็นผู้บริหาร หรือนั่งทำภาคการผลิตอื่นๆไป หรือมานั่งหน้าจอคอม หรือนั่งเล่นกะลูกหลานอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจแล้วสั่งซื้อขายหลักทรัพย์สักทีโดยไม่ทำอะไรเลย แล้วหาเงินได้มันก็เป็นการหาเงินมาเพื่อการบริโภคทั้งนั้น ต่อให้คนนั้นมันโกงเงินมาบริโภคมันก็ยังมีความดีทางเศรษฐกิจ แต่ความเลวจากการโกงมันมากกว่าเท่านั้นเอง(บุญบาปมันหักลบกันไม่ได้นะครับ) แล้วการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเล็งเงินปันผลหรือเงินส่วนต่างราคาโดยสุจริตล่ะครับไม่น่ายกย่องตรงไหน ไอที่คุณชัยว่านักลงทุนมืองสองสามอะไรนั่นน่ะที่ไม่ได้ซื้อหุ้น IPo ไม่ได้ช่วยอะไรสังคมให้งอกเงยน่ะ ผมจะพูดน้อยกว่านี้ครับถ้าตลาดหลักทรัพย์ทุกวันนี้มันต่ำกว่าร้อยจุดนะ (ร้อยจุดเป็นปีฐาน) มันเกิดส่วนต่างเกิดการซื้อขายย่อมมีส่วนต่างทำให้เกิดการบริโภค ถึงไม่มีส่วนต่างเลย บริษัทโบรกเกอร์ก็ได้เงินไปบริโภค แล้วถ้าคุณชัยเถียงว่ามีคนได้ก็ต้องมีคนเสียเอากรณีที่ว่าตลาดหลักทรัพย์ขึ้นๆลงๆวนลูปเท่าเดิมนะครับ(แต่จริงๆถ้าดูตลาดหลักทรัพย์ที่พัฒนา การวนลูปก็ไม่ได้วนเป็นแลมด้าที่เท่ากันนะครับมีแต่สูงขึ้นๆ มีการปรับฐานบ้างแต่สูงขึ้นเรื่อยๆ) อย่างที่ผมบอกแล้วถ้าไม่มีคนซื้อก้อไม่มีคนมาผลิตขาย ต่อให้คุณชัยผลิตอารัยต่อมิอะไร หรือคนอื่นๆผลิตแต่ไม่มีคนซื้อ ของท่วมโลกจะได้อะไร เพราะฉะนั้นการซื้อขายจึงจำเป็นครับ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสินทรัพย์ทุกคนเท่าเดิมแต่ข้าวของเครื่องใช้แพงขึ้นทุกวัน เราเป็นหุ้นส่วนกันวันนี้ได้กำไรแล้วเอาเงินกำไร(ปันผล)ไม่ได้ เราเป็นหุ้นส่วนกันวันนี้บริษัทโคตรหญ่าย แต่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องไปนั่งทำงานในบริษัทนั้นเพื่อให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งใน real secter เพื่อตอบสนองต่ออีโก้ของตนเองว่าโอ้โห เราช่วยชาติ ช่วยโลกแล้วนะ แล้วถ้าเราเป็นหุ้นส่วนแต่อยากเลิกแต่ไม่มีการซื้อขายหรือปรับมูลค่าสินทรัพย์ให้เป็นไปตามจริง มานไม่ชิบเป๋งเหรอครับ พลวัตของเงินมันต้องมี การเอาเงินมาแลกการเป็นหุ้นส่วนมันต้องมี
เงินสามารถทำงานได้ครับ คุณไม่ต้องทำงานแต่ถ้าเงินคุณทำงาน เงินคุณเป็นส่วนหนึ่งของการหากำไรเพื่อให้บริษัทเจริญเติบโตต่อไป จงภูมิใจครับ
คุณอยากจะมีความสุขโดยคุณไม่เบียดเบียนใคร คุณทำไป คุณอยากจะหาเงินโดยสุจริตวิธีไหนมาบริโภค คุณช่วยชาติได้ทั้งนั้นครับ
"จะได้อะไรถ้าได้โลกทั้งใบแต่ต้องสูญสิ้นจิตวิญญาณของตนเอง"



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2004 11:16 pm

IS IT TIME FOR AN END????



saung

ขอคิดด้วยคนครับ

โพสต์ โดย saung » เสาร์ ต.ค. 09, 2004 7:54 pm

สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าการที่จะได้มา ซึ่งอิสรภาพมันอยู่ที่ โอกาสที่ผ่านเขามาในชีวิต แต่เราจะมีปัญญาแทงตลอด เข้าใจโอกาสที่ได้รับหรือไม่
ตอนนี้ผมอายุ32 ปี ผมเริ่มเล่นหุ้นตอนอายุ 20ปี ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามาก
10ปีที่ผ่านไป ผมบอกตรงๆว่าไม่ได้มีอะไรที่ดีขึ้นเลย จนเมี่อ 2ปีที่ผ่านมาผมจึงได้รู้ว่า สิ่งที่ผมขาดไปคือ ความรู้ ทำให้ตัวเองไม่มีปํญญาพอที่จะเข้าใจ โอกาสที่เข้ามาหลายๆครั้ง ที่จะทำให้ ชีวิตมีอิสรภาพได้
ในตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้ว่า ความรู้คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ ตัวเราเองเข้าใจ โอกาสที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การลงทุน ธุรกิจ หรืออะไรก็ตามที่เราได้รับมันมา ผมขอไม่ยึดติดกับ เครื่องมือใดๆ อะไรก็ตามที่ถูกต้องชอบธรรม
ผมจะเรียนรู้ ให้เข้าใจและใช้มันไปสู่อิสรภาพครับ :arrow: :arrow: :arrow: :wink: [/b]



Guest

โพสต์ โดย Guest » อาทิตย์ ต.ค. 10, 2004 12:00 am

ต้องบอกว่าเริ่มต้นนี้ผมเห็นด้วยกับคุณชัย (คงไม่ได้เป็นการต่อความยาว สาวความยืดนะครับ) เพระผมอยากให้มีการสร้างงาน เพราะสร้างงานแล้วมันดีต่อสังคมโดยรวม.... แต่งานจะเริ่มได้ก็ต้องมีแหล่งทุน และคนทำงานที่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อก่อให้เกิดการเริ่มต้น และก่อให้กิจการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้งานนั้นสามารถดำเนินต่อไปได้.... ซึ่งสมัยก่อนที่มีตลาดหุ้นก็คงเป็นธนาคารที่เป็นแหล่งทุนที่สำคัญ แต่ธนาคารเองก็ขอผลตอบแทนเป็นปันผลที่ตายตัว และต้องจ่ายกิจการไปที่เขาเรียกว่าดอกเบี้ย แถมมีกฎหสายที่รุนแรงถึงกับต้องขายทรัพย์สินเพื่อคืนหนี้... แต่มูลค่าของทุนที่ธนาคารให้ไปจะไม่มีค่าเพิ่มขึ้นมีแต่ลดลง ต่อมาเมื่อกิจการจำเป็นต้องขยายก็ต้องการเงินทุนเพิ่มอีก ....กิจการก็อาจจะกู้ธนาคารต่อ หรือ ขอเงินจากคนรู้จักของเจ้าของ และบอกว่าถ้าคุณ OK นะกิจการนี้จะให้ผลตอบแทนเท่านี้กับคุณนะ สนใจที่จะร่วมทุนกับผมหรือเปล่า ต่อมาถ้า OK กิจการก็ต้องมาเปรียบเทียบกับการกู้ธนาคารว่า อย่างไหนดีกว่ากัน.... ต่อมาก็มีตลาดทุนที่เรียกว่าตลาดหุ้นขึ้นมา เพื่อเปิดให้มีการซื้อขายหุ้น เพราะว่าสมมติ ถ้าคุณเป็นผู้ถือหุ้นในยุคที่ไม่มีตลาดหุ้น แล้วคุณต้องการเงินมาใช้ทำอะไรบางอย่าง โดยที่เงินปันผลก็ไม่พอ คุณก็อาจขายคืนกิจการ ซึ่งก็คงอย่างมากตาม Book Value หรือ วิ่งไปเสนอขายแก่คนอื่น แล้วพยายามชี้ให้เห็นว่าหุ้นของกิจการนี้ดีอย่างไร ซึ่งบางทีคุณอาจจะขายได้ราคาดีกว่าขายคืนกิจการเสียอีก....
จากสิ่งที่เล่ามาคร่าว ๆ เจตนาหลักของตลาดหุ้น ก็คือ แหล่งทุนของกิจการที่ต้องการขยายงาน ซึ่งอาจจะมีเจตนารองอีกอย่างคือ ทำให้มีการซื้อขายหุ้นได้ง่ายขึ้น คล่องขึ้น เพราะ จะทำให้ผู้ที่อยากขายมาเจอกับผู้ที่อยากซื้อได้ง่าย...
ซึ่งต่อมาจะเห็นว่าเจตนารองจะมากกว่าเจตนาหลัก.... แม้ว่าจะเป็นพวก IPO ก็ตามเพราะว่าเมื่อได้เงินจากการระดมทุน ก็ไม่ได้เป็นทำการลงทุนเพิ่มแต่อย่างไร ... อย่างนี้น่าด่าแรง ๆ เพราะ จะทำให้ระบบเศรษฐกิจพัง เนื่องจากเงินที่ควรจะหมุนในระบบการผลิต กลับเป็นเงินที่กลายเป็นค่าใช่จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เงินในระบบก็น้อยลงไป...
ต่อมาตลาดหุ้นก็ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น กิจการก็จะได้เข้ามาขอทุนจากตลาดมากขึ้น... ตลาดหุ้นก็ต้องพยายามชี้ชวนให้มีนักลงทุนมากขึ้น ฐานเงินก็มากขึ้น การระดมทุนก็จะสามารถขยายได้กว้างมากขึ้น
จากสิ่งที่เล่ามา ผมมองว่าทั้งนักลงทุน และ กิจการนั้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน (ตามหลักการ)... แต่รู้สึกว่าปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างก็เอาเปรียบซึ่งกันและกัน ถ้ามีโอกาส ... ตลาดก็เลยต้องมี กลต.ขึ้นมาเพื่อไม่ให้เอาเปรียบกัน (สิ่งนี้รู้สึกว่าจะยังเป็นฝันที่ค่อนข้างจะยังไม่มีทางเป็นจริง ถ้ายังมีคนโลภอยู่) ...
จะเห็นได้ว่าทุนค่อนข้างจะบ่งบอกถึงขนาดของอำนาจในการทำลาย หรือ สร้างสรรค์ .... เพราะฉะนั้นที่ผมเห็นด้วยกับคุณชัย ก็คือเรื่องของการนำเอาทุนมาสร้างงาน สร้างสิ่งต่าง ๆ ที่มีประโยชน์กับสังคม.... ซึ่งถ้าหลายคนยังสร้างงานเองไม่ได้ แต่ก็สร้างโอกาสให้กับคนที่สร้างงานได้แต่ไม่มีทุน หรือ สร้างคนเก่งและคนดีให้เกิดขึ้นในสังคม ... โดยการสนับสนุนหนังสือดี ๆ อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ดี ๆ บริจาคเงินให้แก่โรงเรียน เพื่อที่โรงเรียนจะสามารถจ้างครูมาสอนได้ มีหนังสือดี ๆ ให้เด็กอ่าน.... (ต้องบอกว่านี้เป็นโครงการในฝันของผม) ทำให้เด็กฉลาดขึ้น เข้มแข็งขึ้น เป็นคนดี ซึ่งถ้าลองคิดดูดี ๆ การซื้อหนังสือให้ การบริจาคเงินโดยมีวัตถุประสงค์เจาะจงนี้ ใช้ทุนไม่มาก แต่ผลตอบแทนระยะยาวจะคุ้มค่ามาก ... โดยเฉพาะสังคม.
หรือ อาจจะใช้ทุนในการสนับสนุนวิจัยเพื่อช่วยเหลือคนอื่น เช่น วิจัยแก้ปัญหาโรดจุดวงแหวนของมะละกอโดยไม่ใช้วีธีการของ GMO ซึ่งถ้าทำได้ก็จะช่วยคนหลายล้านคนเลยนะครับ .... หรือ สนับสนุนการปลูกป่าและดูแลป่า.. ซึ่งเรื่องพวกนี้มีเยอะครับ ซึ่งผมคิดว่า สมาชิก TVI หลายคนสามารถทำได้ ถ้าคิดว่าเป็นสิ่งดีและน่าทำครับ... จะได้แก้เหงาด้วยครับ.



ล็อคหัวข้อ