GRAMMY

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ล็อคหัวข้อ
koo

โพสต์ โดย koo » พุธ ก.ย. 10, 2003 9:50 pm

โดนทุบมาหละสิ เหมือนกันเลย
โดดใส่ตอนเช้า นึกว่ามันอ่อนลงมากแล้ว ที่ไหนได้......
แต่ก็ยังมั่นใจว่าเป็นหุ้นดีครับ ตั้งใจจะเก็บใว้นานๆแสนนาน
แล้วจะสะสมเพิ่มเรื่อยๆ :wink:



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2003 10:46 am

ขอเสนอให้กับคุณ Zero หน่อยนะครับ GRAMMY มีรายได้อื่นๆ หลายทางครับ โดยเฉพาะส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกที่เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นไว้
ซึ่ง บริษัทเหล่านั้น มีความสามารถในการทำกำไรได้ดีทีเดียว แต่ที่กล่าว
ไว้ข้างต้นนั้น เป็นเพียงบริษัท GRAMMY อย่างเดียว จะเห็นว่า รายได้
จากการดำเนินงานที่เป็น core ของบริษัทฯ มีการขยับตัวเล็กน้อยไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่จะทำให้เห็นว่า ลำพัง GRAMMY นั้นมีการดำเนินธุรกิจหลักขององค์กรอยู่อย่างเป็นกิจลักษณะ ทั้งนี้สืบเนื่องจากมุ่งเน้นรายได้ที่เกิดจากการป้องกัน เทปผีและซีดีเถือนในตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมุ่งการแตกไลน์ธุรกิจพร้อมๆ กันหลายด้าน ซึ่งบางด้านเริ่มที่จะสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ใช่ core activity ขององค์กร ในทางตรงกันข้ามกับเป็นกิจกรรมที่ทำให้องค์กรประสพปัญหาการขาดทุน อาทิเช่น การมุ่งเน้นผลิตภาพยนต์ เป็นต้นครับ

โดยรวมแล้ว ผมยังเห็นว่า Grammy เป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยมีเงินปันผลเป็นกำไรจากการดำเนินงานให้กับผู้ถือหุ้น แต่ทั้งนี้
มูลค่าหุ้นในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมขององค์กรที่เริ่มจะมีการขยายไลน์ธุรกิจ และทำให้ธุรกรรมหลักขององค์กรเปลียนไป ราคาหุ้นที่ขยับอยู่ ณ ขณะนี้ สะท้อนให้เห็นมูลค่าขององค์กรแล้วครับ



chung

โพสต์ โดย chung » พุธ ต.ค. 15, 2003 5:10 pm

ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ แกรมมี่เพิ่งเริ่มจริงจัง หนังเรื่องแรกๆของ GMM picture อย่าง 15 ค่ำฯ ทำขึ้นมาเพราะต้องการเอากล่องและก็สร้างเครดิตก่อนมากกว่า ได้กำไรไปไม่ถึง 10 ล้าน จนล่าสุดหนังเรื่อง แฟนฉัน หนังที่ร่วมทุนโดย 3 บริษัท (Grammy 70%) ลงทุนด้าน production 15 ล้าน รวมด้านโปรโมชั่นแล้วงบน่าจะอยู่ที่ 20-30 ล้าน ....ตอนนี้ยอดคนดูไปแล้วที่เกือบ 100 ล้าน (ประมาณการกันว่าจะวิ่งถึง 120 ล้านแน่ๆ เมื่อหนังออกจากโปรแกรม) ..... ถือว่าเป็นหนังที่ทำรายได้สูงที่สุดเรื่องนึงในรอบหลายปี ...



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » พุธ ต.ค. 15, 2003 5:44 pm

Grammy มีลิขสิทธิ์เพลงประมาณ20ปี(ประมาณนะครับ) ไม่ทราบว่ามีน้ำหนักในการพิจารณาการลงทุน หรือไม่ครับ ขอความเห็นครับ

ขอบคุณครับ



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » พุธ ต.ค. 15, 2003 10:49 pm

แสดงความคิดเห็นครับ

ถ้าไม่จ่ายค่าตัวของ Presenter ผมว่าไม่ควรทำนะครับ เพราะรายได้ก็คงมาจากศิลปินเวลาออกเทปใหม่ๆ concert รวมทั้ง Presenter ให้สินค้าต่างๆ ถ้าไม่จ่ายคงแย่ แต่ถ้าจ่ายก็คง ok ครับ

ขอบคุณครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. ต.ค. 16, 2003 11:52 am

ผมชอบกระทู้จังครับ อ่านได้แนวความคิดของนักลงทุนหลากหลายดีครับอีกทั้งเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกในมุมมองที่แตกต่างกันดี หุ้น grammy เป็นหุ้นตัวแรกที่ผมเข้าลงทุน แต่ตอนเนี้ย ตัดจากพอร์ตไปแล้วครับ



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » พฤหัสฯ. ต.ค. 16, 2003 5:59 pm

Major Shareholders ของบริษัท GMM MEDIA PUBLC COMPANY LIMITED (GMMM) 28/08/03
--------
บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) 158,999,400 79.50 %
SOMERS (U.K.) LIMITED 4,733,600 2.37%
กองทุนเปิด กรุงไทยธนวรรธน์ 1,422,400 0.71 %
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 1,328,800 0.66 %
กองทุนเปิด ไทยสร้างโอกาส 1,273,800 0.64 %
TFB FOR MFC-THAI FUND INVESTMENT PLAN 1,026,0000 .51%
---------

รายได้ของGrammy ส่วนหนึ่งก็จะมาจาก Gmmm ผมเข้าใจถูกต้องใช่หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » ศุกร์ ต.ค. 17, 2003 5:45 pm

ขอบคุณครับ :D



เต้ย

ผมว่าแกรมมี่มีอนาคตนะ

โพสต์ โดย เต้ย » ศุกร์ ต.ค. 24, 2003 11:56 pm

ผมเพิ่งเล่นหุ้นและแทบจะไม่รู้หลักการอะไรเกี่ยวกับ Value Investing เลย แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กเลยฟังเพลงบ่อย เลยอยากจะร่วมออกความเห็นด้วยนะครับ
ผมถือแกรมมีอยู่ประมาณครึ่งพอร์ทครับ ที่ชอบก็เพราะนโยบายครับ คือนโยบายการแตกค่ายเพลงเป็นค่ายย่อยๆครับ
คือผมคิดว่าที่ผ่านมาเมืองไทยไม่เคยมี"ค่ายเพลง"จริงๆอยู่เลย มีแต่ค่ายโปรโมทคนน่าตาดีๆขึ้นมาเป็นนักร้อง จริงอยู่ครับแกรมมี่ก็เป็นค่ายลักษณะนี้ที่สำคัญ แต่นโยบายการแตกเป็นค่ายย่อยๆทำให้เกิดความหลากหลายของศิลปินและแนวเพลงมากขึ้น ทำให้ยังสามารถขายเพลงตามแนวทางเดิมได้ และสามารถบุกบิกเพลงแนวใหม่ๆได้
และด้วยค่ายเพลงย่อยๆนี่เองที่จะมำให้แกรมมีกลายเป็น "ค่ายเพลง" อย่างแท้จริง คือมีหน้าที่ช่วยดูแลศิลปินที่ทีฝีมือ และทำสำคัญช่วยโปรโมท
อุตสาหกรรมเพลงของโลกปัจจุบัน ศิลปินที่ได้รับการยอมรับถึงฝีมือ ว่าเป็นของจริง อย่าง Santana Linkin Park FatboySlim ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ก็ล้วนอยู่กับค่ายใหญ่ๆทั้งนั้น ถึงจะมีชื่อเสียงระดับโลกได้
ค่ายเพลงจึงมีน่าที่สนับสนุนศิลปิน เช่นมีห้องอัดที่ดีทีสุด และโปรโมท ไม่ใช่เข้าไปกำหนดดนตรีถึง100%
แกรมมีกำลังเดินไปในแนวทางนี้ จากข้อมูลที่ทราบค่ายย่อยๆเหล่านี้ เช่น MoreMusic Genie Madcatz และศิลปินหลายๆคน เช่น โลโซ อัสนี-วสันต์ ได้รับอิสระในการทำเพลงแทบจะเต็มที่ (ไม่ต้องเสนองาน พอทำเสร็จแล้วเอาไปให้ผู้บริหารอนุมัติ ส่วนวงใหม่ๆต้องทำdemo มีreference ฯลฯ)
ทำให้แนวเพลงและคุณภาพของแกรมมีตอนนี้ความหลากหลายและพัฒนามากขึ้น นโยบายแบบนี้ทำให้แกรมมี่สามารถหาศิลปินได้มากมาย โดยเฉพาะจากวงการเพลงindy (ส่วนคนน่าตาดีๆนั้นใครๆก็หาได้จากModelingอยู่แล้ว) ซึ่งhappyที่ตัวเองได้ทำเพลงอย่างที่ตัวเองอยากทำ(ประนีประนอมนิดหน่อย) แต่ได้ตังค์มากขึ้น ศิลปินจากindyพวกนี้ทำเพลงของเขาให้ง่ายขึ้น popขึ้น สำหรับผู้ฟังวงกว้าง เช่น Koh mr.SAX man แนว Jazz , SkaLaxzy แนว Ska , ก้านคอคลับ แนวแรป-ฮิปฮอบ
ศิลปินใหม่ๆเหล่านี้นอกจากจะขยายตลาดของบริษัทแล้ว ยังช่วยพัฒนาคุณภาพงานโดยรวมของแกรมมีด้วย อย่าลืมนะครับว่าเพลง "แฟนจ๋า"ที่ดังสนั่นของป๋าเบิร์ดนั้น แต่งโดยJoeyBoy (นักร้องเพลงแร็ปอันดับ1ของเมืองไทย-ตามการตัดสินของผมเอง) ซึ่งมาอยู่กับแกรมมีเนื่องจากนโยบายแบบนี้ และได้บริหารค่ายของตัวเองด้วย
ลองนึกถึงค่ายเพลงใหญ่ๆของโลกอย่าง Warner EMI BMG SONY ฯลฯ ผมว่าแกรมมี่กำลังเดินไปในแนวทางนั้น แต่เปรียบเทียบกับ RS แล้วเทียบกันไม่ได้เลย
สุดท้ายเรื่องผู้บริหาร ผมก็เคยไม่มั่นใจในตัวอากู๋ ในกรณีไต้หวันเหมือนกัน แต่ปัจจุบันนี้ผมประทับใจอากู๋มาก โดยเฉพาะกรณีGMM Picture ซึ่งก็ใช้นโยบายเดียวกับเพลง หลังจากที่ล้มเหลวและเปลี่ยนทีมงานยกชุดไปแล้ว แกรมมีใช้วิธีเปิดรับความคิดดีๆจากภายนอก อากู๋ไปเจรจากับรุ่นน้องนิเทศ-จุฬา อย่างบริษัทหับ-โห้-หิ้น ซึ่งเป็นโปรดัคชั่นเฮาวส์เล็กๆ แต่ผลิดงานชั้นดี แกรมมีทำหนังกับ บ.หับฯ 2เรื่อง คือ 15ค่ำฯ ซึ่งไม่เจ๊งและได้กล่องมหาศาล และ"แฟนฉัน" ซึ่งได้เงิน(มาก) และกำลังจะได้กล่องด้วย ซึ่งพิสูจน์ว่าหนังดีก็ทำเงินได้ (ในอนาคต เมื่อรสนิยมในการฟังเพลงของตลาดสูงขึ้นเพลงดีก็จะทำเงินได้เช่นกัน) ในขณะเดียวกันก็ยังผลิดหนังทั่วๆไปได้ด้วย ในขณะที่RSยังไม่ได้มีวิสัยทัศน์อะไรที่น่าประทับใจเลย หนัง-ยังทำหนังผีกับหนังวัยรุ่นแบบเดิมๆ ส่วนเพลง-ก็ไม่ต้องพูดถึง แต่เริ่มมีการรับศิลปินจากindy เข้ามาบ้าง เช่น Acappella7 , ลำดวน แต่ด้วยนโยบายที่ไม่ชัดเจนทำให้มีการพัฒนาอะไร
สุดท้ายปัญหาสำคัญ คือ เรื่องลิขสิทธิ mp3 แผ่นCDที่writeกันง่ายเหลือเกิน และล่าสุดปัญหาPeer-to-peer คิดว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหน แต่อย่างไรก็ดีปัญหานี้เป็นปัญหาระดับโลกนะครับ มันคงไม่สามารถแก้ได้ง่ายๆ แต่ผมว่ายังไงคนก็ฟังเพลง และยังคิดว่าModelทางธุรกิจแบบนี้ยังเป็นสิ่งที่ยังworkไปอีกนานครับ
สรุปแล้วจะเห็นได้ว่าผมมีอคติกับ RS มาก (ก็แน่หละครับ ก็เล่นถือแกรมมีอยู่ครึ่งพอร์ทหนิ) แต่อย่างจะช่วยแชร์จากมุมมองของคนฟังเพลงบ้างครับ พี่ๆท่านใดจะช่วยวิจารณ์เชิญได้เต็มที่เลยนะครับ



Test

test

โพสต์ โดย Test » เสาร์ ต.ค. 25, 2003 12:11 am

Test kub



Invisible hand

โพสต์ โดย Invisible hand » เสาร์ ต.ค. 25, 2003 12:56 am

ผมคิดว่ากรณีของ Grammy เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากครับ

ผมชอบ Grammy ในแง่ของการเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมที่สูงมาก มีทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในสินทรัพย์ในงบดุลคือลิขสิทธิ์เพลงและความนิยมในตัวศิลปิน ซึ่ง Grammy เองสามารถดึงออกมาใช้ประโยชน์ได้ไปอีกนานในรูปแบบของการทำ album รวมเพลง การทำคลื่นวิทยุที่สามารถนำเพลงเก่าๆ มาเปิดสลับ การ download ringtone หรือการจัดคอนเสริต เป็นต้น รวมทั้งการเป็นค่ายเพลงอันดับหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งการทำค่ายเพลงให้อยู่รอดในปัจจุบันถือว่ายากมาก จึงจัดว่าเป็นธุรกิจที่มี barrier to entry สูงมาก


แต่ประเด็นเดียวที่ได้ทำลายมูลค่าของ grammy ในระยะยาวและมูลค่าของบริษัทเพลงทั่วโลกคือการละเมิดลิขสิทธิในรูปแบบต่างๆ ที่ผมคิดว่าคงจะไม่มีวันทำให้หมดไปได้และนับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอนตราบใดที่เทคโนโลยีด้าน internet รวมถึงจำนวนผู้เข้าถึง interntet และการ write cd ยังพัฒนาไปเรื่อยๆ อัลบั้มที่ไม่โดนปัญหานี้มากน่าจะเป็นอัลบั้มที่มีเพลงที่ฟังได้ทั้ง album ( ไม่ใช่ห่วยทุกเพลงจนไม่ต้อง repeat เพลงไหนเลยนะครับ ) เช่น อัลบั้มแฟนจ๋า หรืออัลบั้มบางชุดของ แอน ธิติมา หรืออัลบั้มที่ target group ไม่น่าจะเป็นกลุ่มที่ชอบ write cd เช่น เพลงลูกทุ่ง หรือโลโซ หรือ crash แต่ปัจจุบัน album ส่วนใหญ่ของ grammy จะเพราะอยู่ 1-2 เพลง ซึ่งเกิดจากปัญหาตามที่จะได้เล่าต่อไปครับ

ผมคิดว่าสิ่งที่ grammy ต้องทำ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมาชดเชยรายได้จากธุรกิจเพลงที่ลดลงได้มากน้อยเพียงใด คือการนำ content คือ เพลง ไปใช้ประโยชน์ในการหารายได้รูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการขาย cd หรือ tape ให้มากที่สุด และสิ่งที่ทำอยู่คือธุรกิจสื่อ คือ วิทยุ และโทรทัศน์ การ download ringtone หรือการจัดเก็บลิขสิทธิ์คาราโอเกะ รวมทั้งการจัดคอนเสิร์ต เพราะผมมองอีกหน่อยเมื่อการละเมิดลิขสิทธิจะเข้าขั้นรุนแรง เพลงจะเป็นแค่วัตถุดิบที่ไม่สามารถขายเป็นรายได้ได้มากนัก แต่จะต้องถูกนำไปแปรรูปเพื่อขายเป็นรายได้ในรูปแบบอื่นๆ ดังนั้นธุรกิจที่จะมีความสำคัญมากๆ สำหรับ grammy ในระยะยาวคือธุรกิจ media โดยมี content เป็นแค่วัตถุดิบ ดังนั้น เราจะเห็นว่าคลื่นวิทยุของ grammy จะไม่เน้นการ promote เพลง แต่จะเน้นการหารายได้มากกว่า ซึ่งเราจะเห็นได้จาก greenwave ที่มี rating สูงสุด จะไม่เน้นเปิดเพลงใหม่ๆ นัก แต่จะเน้นการเปิดเพลงเพราะๆ เพื่อรักษาความนิยม

สำหรับการแตกค่ายเพลงออกไปมากๆ นั้น มีทั้งผลดีและผลเสีย ผลดีนั้นเป็นตามที่ความเห็นข้างบนว่าไว้ ซึ่งเป็นความเห็นที่ดีมาก และคิดว่าคงต้องมีความจำเป็นในการแตกค่ายเพลงจริงๆ แต่ข้อเสียที่ผมมองเห็นก็คือ การแย่ง resource ในองค์กรกัน เช่น นักแต่งเพลง หรือ resource ในการประชาสัมพันธ์ คือ งบประมาณ จึงทำให้บางอัลบั้มไม่ได้รับการโปรโมตเท่าที่ควร ยิ่งปัจจุบันธุรกิจสื่อของ grammy เน้นกำไรไม่เน้นโปรโมทเพลง จึงเป็นการซ้ำเติมปัญหา ศิลปินบางคนที่เคยมีนักแต่งเพลงดีๆ มาแต่งให้หลายเพลงในอัลบั้ม แต่ปัจจุบันอาจจะมีสัก 1-2 เพลงที่ดีจริงๆ ในอัลบั้ม ทำให้ขายไม่ดีไป ยิ่งปัจจุบันการ write cd ระบาด อัลบั้มไหนเพราะ 1-2 เพลงจะเสร็จเลย

ส่วนเรื่องธุรกิจไต้หวัน ผมคงไม่วิจารณ์มากเพราะทุกคนคงมองคล้ายๆ กัน

ธุรกิจหนัง ผมคิดว่า grammy เริ่มมาถูกทางในกรณีของหนังเรื่อง แฟนฉัน เพราะแต่ก่อนหนังของ grammy นั้นจะยึดติดกับผู้กำกับไม่กี่คน และจะเน้นคุณภาพของหนังมากกว่า plot เรื่อง ไม่แน่ใจว่า grammy มีธุรกิจรองคือขายกล่องรึเปล่า ซึ่งยังไงหนังไทยก็มีคุณภาพการกำกับภาพศิลป์ แสงเสียง สู้หนังต่างประเทศไม่ได้อยู่แล้วซึ่ง grammy เองไม่รู้จะเน้นพวกนี้ไปทำไม ยิ่งเน้นต้นทุนยิ่งสูงและยิ่งขาดทุน ผมคิดว่าคนไทยดูหนังไทยนั้นจะเน้นทึ่ plot เรื่องมากกว่า แม้ว่าหนังไทยประเภทหนังตลาดเช่น หนังตลก หรือหนังผี ซึ่งดูจะไม่มีสาระนัก จะมีแนวโน้มทำเงิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าหนังที่มีสาระและมี plot เรื่องที่ดีจะไม่ทำเงิน ผมหวังว่า grammy หลังจากที่ ลองผิดลองถูกมานานมาก คงจะพอเห็นแนวทางแล้วว่าการที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจหนัง ควรจะทำอะไร แม้ว่าจะไม่กำไรทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะขาดทุนเกือบทุกเรื่องเหมือนที่ผ่านมา อย่างเรื่องคืนไร้เงา ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าคิดยังไงตอนที่เลือกเรื่องนี้มาสร้างครับ


หุ้น grammy คงเป็นหุ้นที่ผมชอบมากเหมือนกันครับหากไม่มีเรื่องละเมิดลิขสิทธิ แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าธุรกิจสื่อจะต้องเป็นธุรกิจที่หล่อเลี้ยงชีวิตของ grammy ในอนาคตครับ การแยก gmmm ออกมาผมคิดว่าผู้บริหารน่าจะมีความคิดอะไรบางอย่างครับ แต่ผมคิดว่าส่วนที่ดีของ grammy น่าจะอยู่ใน gmmm มากกว่า แต่ยังไง grammy ก็ยังได้ประโยชน์ส่วนใหญ่จาก gmmm เพราะถือหุ้นอยู่ 80% แต่ก็คงต้องเป็นเรื่องที่ดูต่อไปยาวๆ เหมือนกันครับผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมคิดและเล่ามานั้นถูกรึเปล่า

หากผู้บริหาร grammy มาอ่านกระทู้นี้ซึ่งโอกาสคงมีไม่มากนักสิ่งที่ผมอยากให้ลองศึกษาดูก็คือการซื้อค่ายเพลงเก่าๆ ที่ปิดตัวไปแล้ว เพื่อเป็นการซื้อลิขสิทธิ์เพลงเก่าๆ ที่ยังมีอายุไม่ถึง 20 ปี ที่หลายๆ เพลงมีคุณค่าหรือที่เรียกว่าเพลงร่วมสมัย แล้วนำมาหารายได้โดยวิธีต่างๆ เช่นการให้ศิลปินในค่ายมา cover ใหม่ หรือไม่ต้องร้องใหม่แต่นำมารวม album ก็ได้ จากหนังเรื่องแฟนฉัน ผมคิดว่ามีคนไม่น้อยที่ยังอยากฟังเพลงร่วมสมัยเก่าๆ ไม่น้อยเลยครับ

จริงๆ ผมก็เข้ามาแอบอ่านที่นี่ซักพักแล้วล่ะครับ พออ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกประทับใจในการแสดงความคิดเห็นของเพื่อนๆ แต่ละคนมากครับ เป็นห้องที่น่าอยู่และน่าชื่นชมมากแห่งนึงเลยครับ ถ้าไม่รังเกียจจะขอเข้ามาอ่านบ่อยๆ และแสดงความคิดเห็นบ้างนะครับ



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » จันทร์ ต.ค. 27, 2003 10:40 pm

ขอแสดงความคิดเห็นครับ

8) ในความคิดเห็นของผม ผมเปรียบเทียบGrammyคือบริษัทที่ทำ(หรือขาย)software ให้กับบริษัทในเครือนำไปใช้ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเช่น concertของวง micro(ลิขสิทธิ์เพลงเป็นของGrammy)ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ก็จัดโดย A TIME(บริษัทในเครือGmmm)ในเวลาเดียวกันทางGrammy ก็ได้ออกalbum ของmicroเป็นที่เรียบร้อย หรือศิลปินที่ออกเทปกับGrammy ก็มีโอกาสที่Exact(บริษัทในเครือGmmm)จะนำไปเป็นนักแสดงนำด้วย หรือเพลงที่ใช้เปิดในรายการวิทยุ(บริษัทในเครือGmmm)ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพลงของGrammyอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเพลงที่เก่าแต่ยังไม่ได้ด้อยคุณค่าลงไป
:shock: ส่วนเรื่องการแยกตัวผมมีความเห็นว่า ในอนาคต ผลงานของGmmm อาจจะมาจากภายนอกโดยไม่จำเป็นต้องผูกอยู่กับsoftwareของGrammyก็ได้

ขอบคุณครับ



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » อังคาร ต.ค. 28, 2003 1:36 am

copy ข้อมูลมาฝากครับ
รายชื่อศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 10 อันดับแรก

2545
ชื่อศิลปิน............................สัดส่วน
1.ธงชัย แมคอินไตย์.............13.10%
2.พลพล............................3.89%
3.โลโซ..............................3.69%
4.รวมเพลง Project................3.15%
5.อัสนี & วสันต์.....................3.02%
6.ศิริพร อำไพพงษ์.................2.91%
7.2002 ราตรี........................2.91%
8.ปาล์มมี่............................2.58%
9.ไมค์ ภิรมย์พร....................2.57%
10.น้องพลับ .......................2.49%



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » ศุกร์ พ.ย. 14, 2003 1:12 pm

GRAMMY
สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)

สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน (หน่วย : พันบาท)

-----------------------ไตรมาสที่ 3-------------------------งวด 9 เดือน

------------ปี-------------2546--------2545-----------2546----------2545

กำไร(ขาดทุน)สุทธิ
------------------------131,547-----160,428------459,488------445,668
กำไร(ขาดทุน)สุทธิต่อหุ้น(บาท)
---------------------------0.27---------0.33------------0.94----------0.90



หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์



koikoi2

โพสต์ โดย koikoi2 » ศุกร์ พ.ย. 14, 2003 2:34 pm

14-Nov-03 13:41:19 Headline : GRAMMY :แบบรายงานการเปิดเผยการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน (ฉบับแก้ไข)
---------------------------------------------
(Form TS-7)
(ฉบับแก้ไข)

แบบรายงานการเปิดเผยการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน
บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2546

ข้าพเจ้าบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4 / 2546เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 เกี่ยวกับการอนุมัติการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. จำนวนหุ้นที่จะจำหน่ายคืน 10,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 2% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

2. วิธีการในการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน
(/) ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
( ) เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป

กำหนดระยะเวลาในการขายหุ้นที่ซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2546 ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2548 (ภายหลัง 6 เดือน นับแต่การซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้นแต่ต้องไม่เกิน 3 ปี)
หมายเหตุ บริษัทต้องเปิดเผยโครงการขายหุ้นที่ซื้อคืนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนวันเริ่มขายหุ้นที่ซื้อคืน

3. หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาที่จะจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน
บริษัทจะใช้หลักเกณฑ์การจำหน่ายหุ้นตามราคาตลาด หรือแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
ทั้งนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 85% ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายล่าสุด


บริษัทขอรับรองว่าสารสนเทศในแบบรายงานนี้ถูกต้องและครบถ้วนทุกประการ



(นางสาวอัญชลี จิวะรังสินี)
กรรมการ



ล็อคหัวข้อ