หน้า 1 จากทั้งหมด 1

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 17, 2003 8:44 pm
โดย ประจวบ
เศร้าเลยครับวันนี้รายย่อย.......เละเป็นวุ้น
ผมลองเปิดtvดูตอนเช้า วิ่งเข้าไป+7
ตอน4โมงเย็น- 2 แล้วผมก็ลงมาเปิดร้านทำงานต่อ
เมื่อกี้นั่งกินข้าวตอน2ทุ่มครึ่งดูข่าวmodern9 .........จ๊ะฮ๊าย..........- 10
เทรดกัน59000ล้านกว่าๆหย่อนไปไม่กี่ร้อยก็60000ล้าน
นักลงทุนสถาบัน+ฝรั่ง เทรดกันแค่9000ล้าน
รายย่อยเล่นกันเอง50000+ล้าน
ลองนึกถึงภาพที่คนซื้อตอนเช้าที่+7..........ตอนเย็น- 10 ........gapตั้ง17จุด
ถ้าพรุ่งนี้ร่วงต่อ.............อีกกี่รอบกว่าจะกลับมาถึงยอดเดิมครับ
น่าสงสารรายย่อยที่กำเงินออกมาจากแบ้ง....เพราะดอกเบี้ยต่ำติดดิน
หวังจะมาหาทางเพิ่มรายได้
เงินอาจหายไปจากมือ.......จนหมดหรือเกือบหมด.........ไปเข้ากระเป๋ารายใหญ่ที่ปั่นๆๆๆๆๆไม่กี่ราย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 19, 2003 11:20 pm
โดย ake(taladhoon)
ผมว่าตลาดหลักทรัพย์ชักเข้าชักออกนะครับ การออกข่าวนี้ไม่ดีเอามากๆเลยครับไม่มีความรับผิดชอบ วันนี้เห็นแล้วนะครับคุณ ผจก.ตลาด(ห)ลักทรัพย์ นี่ได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่มีไม่ห้าม อ้าวแล้ว 2 วันที่หุ้นตกมา เกือบ 20 จุดนี่ใครรับผิดชอบครับเงินมันหายไปไหนครับนักลงทุนบาดเจ็บกันระนาวเลยครับ แทนที่ออกข่าวมาปรามเลยบอกมาเลยว่าหุ้นตัวไหน อะไรจะมีมาตรการอย่างไร ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ที่มีคนพูดถึงว่า ปล่อยข่าวออกมาทุบเอาหุ้น

ทำอย่างนี้ยิ่งกว่าเด็กเล่นขายของอีกครับ

ตอนแรกผมเห็นด้วยนะครับ แต่ตอนนี้ผมกลับมีความรู้สึกไม่ดีจริงๆครับ รู้สึกว่ากรรมการนอกรีตครับทำตัวไม่เป็นกลาง

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาท่านผู้นำของเรา ก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นฝอยแตกออกมาได้ว่าเงินบาทนี้น่าจะอยู่ที่ 39 บาทเพราะเศรษฐกิจเราดี อ้าวแล้วงายเกิดอะไรขึ้น มีการเก็งกำไรค่าเงินบาทขึ้นมาเลย แข็งเอาๆ ท่านพูดออกมาได้อย่างไรครับผมเศร้าจริงๆครับ ธนาคารกลางของเราก็เลยต้องเข้าไปแทรกแซง แต่ไม่มีใครกล้าออกมาต่อว่า ท่านผู้นำก็ดีครับรู้ตัวไม่ออกมาพูดแล้ว

คำพูดของคนนี่มีอิทธิพลดลบันดาลชีวิตของอีกหลายคนจริงๆนะครับ

เศร้าครับ

กลัวกันมากไปมั้งครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 20, 2003 4:43 am
โดย หนึ่ง(taladhoon ด้วยครับ)
อย่าให้เรื่องร้ายในอดีตทำให้เราไม่กล้าที่จะก้าวต่อไปครับ


1. ดูจากโมเมนตั้ม แล้วควรจะขึ้นไปอีกนะครับ เพียงแต่ slope มันชันน้อยลง
2. โบนัสงามๆของโบรกเกอร์ อาจทำให้มีการซื้อ-ขายสูงต่อไปอีก ได้ข่าวว่า บางคนมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า MD บ.หลักทรัพย์เองเสียอีก 800,000 - 1,000,000 บ. ต่อเดือน
3. ผมไม่ได้ตามข่าวว่าใกล้เลือกตั้งแล้วหรือยัง แต่"ถ้า"ผมเป็นนักการเมือง ผมจะต้องหาทุนไว้ก่อนนะครับ ถ้าหุ้นขึ้น เค้าได้ทั้งผลงานและทุนรอน(ไม่ใช่ enron)
4. ดอกเบี้ยต่ำ ฝากแบงค์ ไปใย?
5. ปฏิกิริยาลูกโซ่ พูดกันปากต่อปาก เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากเล่นหุ้น ไม่ว่าจะเป็น คนขายไอติม เด็กนักเรียน คนตกงาน นาย ก. นาง ข.

สมัยนายก ชาติชาย ทุกอย่างเป็นฟองสบู่หมด ดอกเบี้ยสูง แต่ตลาดหุ้นก็ยังขึ้นเอาขึ้นเอา เชื่อว่าเป็นความเก็บกดทางเศรษฐกิจของประชาชนที่ได้มาจากสมัย นายกคนก่อน พล.อ. ชาติชาย

สมัยนี้ ดอกเบี้ยถูก แล้วตลาดหุ้นก็ขึ้นเอาขึ้นเอา มัน make sense ครับ แต่สมัยนี้ ความเก็บกดทางเศรษฐกิจของประชาชนก็ได้มาจากยุค IMF เหมือนกัน คงจำกันได้นะครับ ว่า IMF เริ่มที่ยุค นายก ชวลิต

สมัยนายก ชาติชาย มันแตกที่ประมาณ 1700 จุดใช่มั้ยครับ
ตอนนี้ยังเพิ่ง 500 กว่าจุด

อีกอย่างนึง ประวัติศาสตร์ไม่มีวันที่จะซ้ำรอยเป๊ะๆ ครับ ขนาดเรื่องสถิติยังต้องมี varience เลย

ต้นเหตุของ ความทุกข์ในวงการหุ้น คือ
"ขาดสติ" / "ไม่ใช้ปัญญา" / "โลภ"

Re: กลัวกันมากไปมั้งครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 22, 2003 4:50 am
โดย หนึ่ง
ปรัชญา เขียน:
หนึ่ง(taladhoon ด้วยครับ) เขียน:อย่าให้เรื่องร้ายในอดีตทำให้เราไม่กล้าที่จะก้าวต่อไปครับ


1. ดูจากโมเมนตั้ม แล้วควรจะขึ้นไปอีกนะครับ เพียงแต่ slope มันชันน้อยลง
2. โบนัสงามๆของโบรกเกอร์ อาจทำให้มีการซื้อ-ขายสูงต่อไปอีก ได้ข่าวว่า บางคนมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า MD บ.หลักทรัพย์เองเสียอีก 800,000 - 1,000,000 บ. ต่อเดือน
3. ผมไม่ได้ตามข่าวว่าใกล้เลือกตั้งแล้วหรือยัง แต่"ถ้า"ผมเป็นนักการเมือง ผมจะต้องหาทุนไว้ก่อนนะครับ ถ้าหุ้นขึ้น เค้าได้ทั้งผลงานและทุนรอน(ไม่ใช่ enron)
4. ดอกเบี้ยต่ำ ฝากแบงค์ ไปใย?
5. ปฏิกิริยาลูกโซ่ พูดกันปากต่อปาก เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากเล่นหุ้น ไม่ว่าจะเป็น คนขายไอติม เด็กนักเรียน คนตกงาน นาย ก. นาง ข.

สมัยนายก ชาติชาย ทุกอย่างเป็นฟองสบู่หมด ดอกเบี้ยสูง แต่ตลาดหุ้นก็ยังขึ้นเอาขึ้นเอา เชื่อว่าเป็นความเก็บกดทางเศรษฐกิจของประชาชนที่ได้มาจากสมัย นายกคนก่อน พล.อ. ชาติชาย

สมัยนี้ ดอกเบี้ยถูก แล้วตลาดหุ้นก็ขึ้นเอาขึ้นเอา มัน make sense ครับ แต่สมัยนี้ ความเก็บกดทางเศรษฐกิจของประชาชนก็ได้มาจากยุค IMF เหมือนกัน คงจำกันได้นะครับ ว่า IMF เริ่มที่ยุค นายก ชวลิต

สมัยนายก ชาติชาย มันแตกที่ประมาณ 1700 จุดใช่มั้ยครับ
ตอนนี้ยังเพิ่ง 500 กว่าจุด

อีกอย่างนึง ประวัติศาสตร์ไม่มีวันที่จะซ้ำรอยเป๊ะๆ ครับ ขนาดเรื่องสถิติยังต้องมี varience เลย

ต้นเหตุของ ความทุกข์ในวงการหุ้น คือ
"ขาดสติ" / "ไม่ใช้ปัญญา" / "โลภ"

-----------------------------------------------------------------------------------

:oops: เรื่องมาร์เก็ตติ้งรวยกว่านักลงทุนจริงครับ
มาดูมาเก็ตติ้งผมก็ได้ อยู่บ้านหลังละหลายล้านบาท
ส่งลูกเรียนอย่างดี วันศุกร์บินไปหาสามีที่ กทม.


เวลาลูกค้าเล่นหุ้นได้........มาร์เก็ตติ้งก็ได้
เวลาลูกค้าเล่นหุ้นเสีย...........มาร์เก็ตติ้งก็ยังได้


พูดแบบนี้10ครั้งก็ถูก10ครั้งล่ะครับ

นักการเมืองเขาไม่ค่อยได้เข้ามาปั่นหรอกหุ้นนะ
เขาบีบคอเอาหุ้นIPO แบบPTT

รอบที่แล้วไปดูประวัติกันเอาเอง
เน้นหุ้นวิสาหกิจทุกตัว จะมีสักหุ้นวิสาหกิจไหม....

ที่....รัฐมนตรี ลูก เมีย เครือญาติ
มิตรสหายจะไม่มีชื่อติดว่าได้รับการจัดสรรมากๆ


เรื่องดอกเบี้ยต่ำ
คนที่ฝากเงินเขาก็ยังฝากเงิน เหมือนคนฝากเงิน10คน
ที่กล้าย้ายเงินฝากมาเล่นหุ้น คงไม่เกิน3คน


(แต่นักวิเคราะห์ก็พยายามพูด เพื่อไม่ให้ตัวเองตกงาน)

ปฎิกริยาลูกโซ่ ก็พูดถึงแต่คนระดับล่าง
ลองไปชวนพวกที่เคยหมดจากตลาดหุ้นมาเล่นใหม่อีกสักหน
คงได้รับการปฏิเสธ

ไม่ได้ขัดคอนะครับ เพียงอยากจะบอกว่า...เหรียญมีสองด้าน
เหมือนเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว2ร้าน จะมีเพียงร้านเดียวที่ขายดี

ผมก็ไม่ใช่นักเก็งกำไรเต็มตัวปัจจุบัน(อดีตเป็น)
ผมก็ไม่ใช่นักลงทุนVIเต็มตัว แต่ถ้าจะมาถือหุ้นที่รู้พื้นฐานผมก็คิดว่า...
คงต้องวัดใจกันครับ

ขาดสติ คำนี้ฟังแล้วตีความยาก ทุกคนมีสติ แต่คิดผิด-คิดถูกต่างหาก
ไม่ใช้ปัญญา ใช้แล้วใช้ถูกหรือใช้ผิด ก็จะมารู้ตัวเมื่อเรื่องต่างๆมันผ่านไปแล้ว

โลภ มีใครไม่อยากรวยบ้าง คนมี1ล้านก็อยากมี10ล้าน
.......คนมี10ล้านก็อยากมีร้อยล้าน
ถ้าไม่อยากรวยคงไม่มีใครเข้ามาเล่นหุ้นเอาเงินฝากแบ๊งก์ปลอดภัยกว่า

สรุปในใจได้ความว่า...ทางใครทางมัน
(ยืมของคุณประจวบมาใช้หน่อยครับ)
1. เรื่องรายได้ของมาร์เก็ตติ้งผมบอกใบ้ถึงการชี้นำให้ซื้อขายต่อวันถี่ขึ้นครับ ซึ่งค่าคอมก็จะมากตามไปด้วย
2. นักการเมืองบางคนไม่ได้มีพฤติกรรมปั่นหุ้นโดยตรงหรอกครับ เพียงแต่ว่า กิจการที่เค้าทำอยู่นั้นโตจนคับประเทศแล้ว ดังนั้นภารกิจต่อไปที่เค้าต้องทำคือทำให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้กิจการของเขา(ราคาหุ้นของกิจการด้วย) สามารถขยายตัวตามเศรษฐกิจของประเทศได้อีก และยังสามารถกระจายการลงทุนไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า จีน, bla bla bla ได้ง่ายขึ้น เพราะเจ้าของกิจการที่ว่านี้ ตอนนี้เป็นผู้นำประเทศแล้ว แต่ก็ ok ครับ เพราะทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์
3. สำหรับเรื่องเหรียญสองด้านนี้ผมเห็นด้วยครับ แต่ขอยกตัวอย่างเป็น คนที่ขายหุ้นราคาต่ำกว่าทุน กับคนที่ซื้อหุ้นได้ในราคาถูกแล้วกันครับ
4. สำหรับคำว่า"ขาดสติ"ผมขอยกตัวอย่างเรื่อง Panic sell ครับ แค่วัน-สองวัน ถ้ารอหน่อยก็สบายไปแล้ว
5. คำว่า "ปัญญา" ผมขอยกความหมายในคำสอนของศาสดาแห่งศาสนาพุทธ ที่ท่านได้สอนในทำนองว่า "อย่าเชื่อใคร จนกว่าจะได้ไตร่ตรองด้วยปัญญาของตัวเอง" ตอนที่หุ้นตกจากเหตุการณ์ Panic sell มีบางคนแนะนำให้นาย ก. cut lost นาย ก. ไม่เคยเชื่อและไม่เคยปฏิบัติตามเลย ทำให้นาย ก. ขายขาดทุนแค่ครั้งเดียวจากการtradeประมาณร้อยครั้ง(เจ็บใจแต่ไม่เสียดาย) ซึ่งก็เป็นเพราะความใจร้อนของนาย ก. นั่นเอง
6. คำว่า "โลภ" นี่แหละครับ ในสมัยนายก ชาติชาย นั้น นักเก็งกำไรบางคน(หลายคนก็ได้ครับ)ได้พบกับราคาหุ้นที่ขึ้นมาหลายเท่าตัวด้วยเวลาอันสั้น แต่กลับย่ามใจ คิดว่ามันจะขึ้นอีก รวยแค่นี้น่ะน้อยไป ผลลัพธ์คือมันตกเหลือไม่ถึง 10% ของเงินต้นครับ