โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 06, 2003 7:31 pm
ขออนุญาตให้ข้อมูลกว้าง ๆ นะครับ
1. อุตสาหกรรมสกัดน้ำมันถั่วเหลือง ผู้นำคือ TVO (ยี่ห้อองุ่น) กำลังการผลิตปัจจุบัน 3500 ตันเมล็ดต่อวัน (จะเพิ่มเป็น 4000 ตัน ปีหน้า)
2. บ. ธนากรอุตสาหกรรมน้ำมันพืช จก. (ยี่ห้อกุ๊ก - ในเครือธนาคารกสิกรไทย และ ตระกูลหวั่งหลี) กำลังการผลิตไม่มั่นใจ แต่น่าจะประมาณ 1000 กว่าตันต่อวัน
3. บ. อุตสาหกรรมวิวัฒน์ จก. (ยี่ห้อ ทิพ - เจ้าของเป็น มรว. ในราชสกุล ดิศกุล) กำลังการผลิตน่าจะประมาณ 500 ตันต่อวัน
4. บ. พรอำนวยทรัพย์ จก สวรรคโลก ไม่ทราบยี่ห้อน้ำมัน อาจจะขายเป็นน้ำมันดิบก็ได้ กำลังการผลิตน่าจะไม่เกิน 400 ตันต่อวัน
5. กลุ่มบริษัทกมลกิจ ซึ่งมีอยู่ 2/3 โรงงาน อยู่ปทุมธานี (อาจจะย้ายแล้ว) และอำเภอท่าเรือ อยุธยา และ ที่ลำพูน (ลานนาการเกษตร) น่าจะใช้ยี่ห้อ ริน และเป็นผู้นำผลิต housebrand ให้ Top & Lotus กำลังผลิตรวมน่าจะประมาณ 300 ตันต่อวัน
6. บริษัท ส. ไทยเสรี จก ที่พระประแดง กำลังน่าจะวันละ 150 ตัน ไม่มียี่ห้อ
ทั้งอุตสาหกรรม มีความต้องการใช้เมล็ดถั่วเหลือง ประมาณ 2 ล้านตันกว่า ๆ ซึ่งต้องรวมถึงการผลิต Full Fat Soya (ถั่วนึ่งสุกโดยไม่สกัดน้ำมัน) สำหรับใช้ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ และลูกสุกร และอุตสาหกรรมผลิตซี่อิ๊ว เต้าเจี้ยว น้ำนมถั่วเหลือง
การผลิตเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศประมาณ 3.5 แสนตัน ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการผลิตเต้าเจี้ยว และน้ำนมถั่วเหลือง ดังนั้นประเทศไทยจะต้องการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองประมาณปีละ 1.7-1.8 ล้านตัน
ผลผลิตจากโรงงานสกัดถั่วเหลืองจะได้ผลิตภัณฑ์หลัก คือ กากถั่วเหลือง สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งมีความต้องการใช้ปีละประมาณ 2.5 - 2.8 ล้านตัน ดังนั้น จึงยังมีการนำเข้ากากถั่วเหลืองปีละประมาณ 1.5 ล้านตัน
น้ำมันถั่วเหลือง ส่วนใหญ่จะจำหน่ายภายในประเทศ แต่ก็มีส่งออกบ้างไปจีน และ อินเดีย
การแข่งขัน
สำหรับกากถั่วเหลือง จะต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากอาร์เจนติน่า บราซิล อินเดีย และอเมริกา ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้นำเข้ากากถั่วเหลืองจะต้องเสียภาษีนำเข้า 5 เปอร์เซนต์ ซึ่งก็สามารถเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม การผลิตกากถั่วเหลือง ยังคงต่ำกว่าความต้องการใช้การถั่วเหลืองถึงครึ่งต่อครึ่ง ทำให้ยังคงมีตลาดรองรับอยู่
น้ำมันถั่วเหลืองในประเทศ จะต้องแข่งขันกับน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีราคาถูกกว่า แต่น้ำมันถั่วเหลืองก็มีคุณค่าดีกว่า เมื่อไรน้ำมันปาล์มสูงขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อน้ำมันถั่วเหลือง เช่นในปัจจุบัน ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ราคาในประเทศยังไม่ตอบรับเท่าไร โดยดูได้จากราคาหุ้นของ UPOIC, CPI, UVAN, LST
ผลกระทบ
ค่าระวางเรือแพงก็จะทำให้ต้นทุนเมล็ดถั่วเหลืองแพงขึ้น
ค่าเงินบาท ถ้าแข็งขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์
อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หากอยู่ในสภาวะที่ดี การใช้กากถั่วเหลืองก็จะเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้จำหน่ายกากถั่วเหลืองได้มากขึ้น ในทางกลับกัน หากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ถดถอย ก็จะเป็นปัญหาได้
ผลผลิตเมล็ดถั่วเหลืองในตลาดโลก หากลดน้อยลง ก็จำทำให้ราคาสูง การบริหารจะลำบาก
ขอฝากข้อมูลไว้เท่านี้นะครับ
1. อุตสาหกรรมสกัดน้ำมันถั่วเหลือง ผู้นำคือ TVO (ยี่ห้อองุ่น) กำลังการผลิตปัจจุบัน 3500 ตันเมล็ดต่อวัน (จะเพิ่มเป็น 4000 ตัน ปีหน้า)
2. บ. ธนากรอุตสาหกรรมน้ำมันพืช จก. (ยี่ห้อกุ๊ก - ในเครือธนาคารกสิกรไทย และ ตระกูลหวั่งหลี) กำลังการผลิตไม่มั่นใจ แต่น่าจะประมาณ 1000 กว่าตันต่อวัน
3. บ. อุตสาหกรรมวิวัฒน์ จก. (ยี่ห้อ ทิพ - เจ้าของเป็น มรว. ในราชสกุล ดิศกุล) กำลังการผลิตน่าจะประมาณ 500 ตันต่อวัน
4. บ. พรอำนวยทรัพย์ จก สวรรคโลก ไม่ทราบยี่ห้อน้ำมัน อาจจะขายเป็นน้ำมันดิบก็ได้ กำลังการผลิตน่าจะไม่เกิน 400 ตันต่อวัน
5. กลุ่มบริษัทกมลกิจ ซึ่งมีอยู่ 2/3 โรงงาน อยู่ปทุมธานี (อาจจะย้ายแล้ว) และอำเภอท่าเรือ อยุธยา และ ที่ลำพูน (ลานนาการเกษตร) น่าจะใช้ยี่ห้อ ริน และเป็นผู้นำผลิต housebrand ให้ Top & Lotus กำลังผลิตรวมน่าจะประมาณ 300 ตันต่อวัน
6. บริษัท ส. ไทยเสรี จก ที่พระประแดง กำลังน่าจะวันละ 150 ตัน ไม่มียี่ห้อ
ทั้งอุตสาหกรรม มีความต้องการใช้เมล็ดถั่วเหลือง ประมาณ 2 ล้านตันกว่า ๆ ซึ่งต้องรวมถึงการผลิต Full Fat Soya (ถั่วนึ่งสุกโดยไม่สกัดน้ำมัน) สำหรับใช้ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ และลูกสุกร และอุตสาหกรรมผลิตซี่อิ๊ว เต้าเจี้ยว น้ำนมถั่วเหลือง
การผลิตเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศประมาณ 3.5 แสนตัน ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการผลิตเต้าเจี้ยว และน้ำนมถั่วเหลือง ดังนั้นประเทศไทยจะต้องการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองประมาณปีละ 1.7-1.8 ล้านตัน
ผลผลิตจากโรงงานสกัดถั่วเหลืองจะได้ผลิตภัณฑ์หลัก คือ กากถั่วเหลือง สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งมีความต้องการใช้ปีละประมาณ 2.5 - 2.8 ล้านตัน ดังนั้น จึงยังมีการนำเข้ากากถั่วเหลืองปีละประมาณ 1.5 ล้านตัน
น้ำมันถั่วเหลือง ส่วนใหญ่จะจำหน่ายภายในประเทศ แต่ก็มีส่งออกบ้างไปจีน และ อินเดีย
การแข่งขัน
สำหรับกากถั่วเหลือง จะต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากอาร์เจนติน่า บราซิล อินเดีย และอเมริกา ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้นำเข้ากากถั่วเหลืองจะต้องเสียภาษีนำเข้า 5 เปอร์เซนต์ ซึ่งก็สามารถเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม การผลิตกากถั่วเหลือง ยังคงต่ำกว่าความต้องการใช้การถั่วเหลืองถึงครึ่งต่อครึ่ง ทำให้ยังคงมีตลาดรองรับอยู่
น้ำมันถั่วเหลืองในประเทศ จะต้องแข่งขันกับน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีราคาถูกกว่า แต่น้ำมันถั่วเหลืองก็มีคุณค่าดีกว่า เมื่อไรน้ำมันปาล์มสูงขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อน้ำมันถั่วเหลือง เช่นในปัจจุบัน ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ราคาในประเทศยังไม่ตอบรับเท่าไร โดยดูได้จากราคาหุ้นของ UPOIC, CPI, UVAN, LST
ผลกระทบ
ค่าระวางเรือแพงก็จะทำให้ต้นทุนเมล็ดถั่วเหลืองแพงขึ้น
ค่าเงินบาท ถ้าแข็งขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์
อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หากอยู่ในสภาวะที่ดี การใช้กากถั่วเหลืองก็จะเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้จำหน่ายกากถั่วเหลืองได้มากขึ้น ในทางกลับกัน หากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ถดถอย ก็จะเป็นปัญหาได้
ผลผลิตเมล็ดถั่วเหลืองในตลาดโลก หากลดน้อยลง ก็จำทำให้ราคาสูง การบริหารจะลำบาก
ขอฝากข้อมูลไว้เท่านี้นะครับ