ขอความเห็นและวิเคราะห์ของ RATCH กับ EGCOMP
EGCOMP เป็นหุ้นที่น่าสนใจมี upside แถมยังมีปันผลดีอีกต่างหาก ส่วนที่น่าห่วงว่า EGAT ตอนเข้าตลาดผลอาจจะเป็นดังที่พี่ CK ว่าก็ได้ หรือบางที่อาจตรงกันข้ามก็ได้ถ้าเผอิญจะขึ้นเป็นกลุ่ม เห่อเล่นกันเป็นกลุ่มๆ แบบ Bank ตอนนี้ก็ได้นะครับ
ที่น่าห่วงผมว่าห่วง Mr Regulator (NEPO,EPPO)ที่จะถูกตั้งมาคุมราคา การจัดการ etc ของพลังงานไฟฟ้ามากกว่า ราคาขายจะเท่าไหร่ กำหนด tariff ยังไง เป็นผลมายังรายได้ของ EGAT EGCOMP RATCH หรือบริษัทผลิตไฟฟ้าอื่นๆ
EGAT จากที่เป็น God Father ใหญ่ วันหลังก็จะกลายเป็น Big Brother ของน้องๆผู้ผลิตไฟฟ้าแทน ...เขื่อนก็ต้องถูกแยกออกไป จะเหลือก็โรงไฟฟ้ากับสายส่ง ...สายส่งในอนาคตก็จะถูกแยกออกไปเป็นอีกบริษัท ที่จัดการเรื่องdistribute สรุปแล้วไม่เป็น Big Brother ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไร
แต่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจนะครับ เรื่องความมั่นคง คงไม่มีประเทศไหนปล่อยให้บริษัทพวกนี้เจ๊งหรอกครับแค่ไฟดับสักวันก็ยุ่งระดับประเทศแล้ว จำข่าวตอนอเมริกาไฟฟ้าดับได้ไหมครับ
ถามว่าปริมาณความต้องการไฟฟ้าจะลดลงไหมในอนาคต ดูจาก forecast ปีนี้ Peak อยู่ที่ ประมาณ 17000 MW อีกสิบปีข้างหน้าอยู่ที่ 38000 MW ถ้าอัตรา Economic เติบโตแบบปานกลาง
ผลิตออกมาไม่ต้องกลัวไม่มีที่ขาย ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้ กำลังผลิตของประเทศเราประมาณ 22000 MW กันสำรองอีก 15 เปอร์เซนต์อีกไม่กี่ปีก็จะชน เพดานแล้วถ้าไม่สร้างใหม่หรือหาจากแหล่งอื่น
จากทางพม่าหรือลาว หรือจากจีน ราคาถูกกว่าเพราะเป็น Hydro บริษัทผลิตไฟฟ้าในบ้านเราก็เป็นแบบเข้าไปร่วมทุนร่วมลงทุนอะไรทำนองนั้น หรืออาจซื้อมาเลยโดด แต่๔ึงยังไงโรงไฟฟ้าในบ้านเราต้องมีการสร้างเพิ่มอยู่ดี คงไม่ฝากผีฝากไข้ให้เพื่อนบ้านทั้งหมดหรอกครับเกิดวันไหนอารมณ์ไม่เอนจอย หยุดส่งหรือตัดไฟไปดื้อๆจะทำไง
เรื่องเปิดเสรี เกิดว่า Mr Regulator ไปกดราคาขายเกิน บริษัทผลิตไฟฟ้าพวกนี้ไม่มีกำไรถามจริงๆเถอะครับจะมีแมวที่ไหนมาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ที่จะ Support Demand ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจ ไม่ใช่องค์กรการกุศลนะครับ กำไรต้องมี แต่ก็ต้องไม่เวอร์ เกินชาวบ้านตาดำๆเดือดร้อน ....เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของ Mr Regulator เขาอีกหละครับ
ต้องดูวันที่ EGAT เข้าอีกทีว่าจะเป็นยังไง
แต่ถ้าต้องการลงทุน แบบ VI ผมว่าไม่น่ามองข้ามหุ้นพวกนี้นะครับ ซื้อเอาไปกอดได้เลย ส่วนใหญ่ปันผลก็เยี่ยมๆทั้งนั้น
รู้สึกจะเขียนมากไปแล้ว ถูกผิดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
All comments are welcome.
ที่น่าห่วงผมว่าห่วง Mr Regulator (NEPO,EPPO)ที่จะถูกตั้งมาคุมราคา การจัดการ etc ของพลังงานไฟฟ้ามากกว่า ราคาขายจะเท่าไหร่ กำหนด tariff ยังไง เป็นผลมายังรายได้ของ EGAT EGCOMP RATCH หรือบริษัทผลิตไฟฟ้าอื่นๆ
EGAT จากที่เป็น God Father ใหญ่ วันหลังก็จะกลายเป็น Big Brother ของน้องๆผู้ผลิตไฟฟ้าแทน ...เขื่อนก็ต้องถูกแยกออกไป จะเหลือก็โรงไฟฟ้ากับสายส่ง ...สายส่งในอนาคตก็จะถูกแยกออกไปเป็นอีกบริษัท ที่จัดการเรื่องdistribute สรุปแล้วไม่เป็น Big Brother ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไร
แต่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจนะครับ เรื่องความมั่นคง คงไม่มีประเทศไหนปล่อยให้บริษัทพวกนี้เจ๊งหรอกครับแค่ไฟดับสักวันก็ยุ่งระดับประเทศแล้ว จำข่าวตอนอเมริกาไฟฟ้าดับได้ไหมครับ
ถามว่าปริมาณความต้องการไฟฟ้าจะลดลงไหมในอนาคต ดูจาก forecast ปีนี้ Peak อยู่ที่ ประมาณ 17000 MW อีกสิบปีข้างหน้าอยู่ที่ 38000 MW ถ้าอัตรา Economic เติบโตแบบปานกลาง
ผลิตออกมาไม่ต้องกลัวไม่มีที่ขาย ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้ กำลังผลิตของประเทศเราประมาณ 22000 MW กันสำรองอีก 15 เปอร์เซนต์อีกไม่กี่ปีก็จะชน เพดานแล้วถ้าไม่สร้างใหม่หรือหาจากแหล่งอื่น
จากทางพม่าหรือลาว หรือจากจีน ราคาถูกกว่าเพราะเป็น Hydro บริษัทผลิตไฟฟ้าในบ้านเราก็เป็นแบบเข้าไปร่วมทุนร่วมลงทุนอะไรทำนองนั้น หรืออาจซื้อมาเลยโดด แต่๔ึงยังไงโรงไฟฟ้าในบ้านเราต้องมีการสร้างเพิ่มอยู่ดี คงไม่ฝากผีฝากไข้ให้เพื่อนบ้านทั้งหมดหรอกครับเกิดวันไหนอารมณ์ไม่เอนจอย หยุดส่งหรือตัดไฟไปดื้อๆจะทำไง
เรื่องเปิดเสรี เกิดว่า Mr Regulator ไปกดราคาขายเกิน บริษัทผลิตไฟฟ้าพวกนี้ไม่มีกำไรถามจริงๆเถอะครับจะมีแมวที่ไหนมาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ที่จะ Support Demand ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจ ไม่ใช่องค์กรการกุศลนะครับ กำไรต้องมี แต่ก็ต้องไม่เวอร์ เกินชาวบ้านตาดำๆเดือดร้อน ....เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของ Mr Regulator เขาอีกหละครับ
ต้องดูวันที่ EGAT เข้าอีกทีว่าจะเป็นยังไง
แต่ถ้าต้องการลงทุน แบบ VI ผมว่าไม่น่ามองข้ามหุ้นพวกนี้นะครับ ซื้อเอาไปกอดได้เลย ส่วนใหญ่ปันผลก็เยี่ยมๆทั้งนั้น
รู้สึกจะเขียนมากไปแล้ว ถูกผิดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
All comments are welcome.
copy มาจากประชาชาติธุรกิจครับ
ตอนเข้าตลาดรูปแบบคงไม่ต่างจากเดิมมากนัก
-----------------------------------
ปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า เปิดทาง กฟผ.ผูกขาดเบ็ดเสร็จ
วิเคราะห์
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2543 รัฐบาลชุดต่างๆ ที่ผ่านมาได้ใช้เวลาถึง 3 ปีในการศึกษาและหาวิธีการที่จะ "ล้มเลิก" มติ ครม.ในปี 2543 ที่ระบุจะแปรรูปกิจการไฟฟ้า (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย-การไฟฟ้านครหลวง-การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ของประเทศด้วยการเปิดเสรีเต็มที่ และแยกกิจการผลิตไฟฟ้า-ระบบสายส่ง-ระบบจำหน่ายออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมี "ตลาดกลาง (pool)" กำหนดราคาค้าส่ง หรือ full competition (power pool) มาเป็นการปรับโครงสร้างแบบ enhanced single buyer model (ESB) หรือการปรับปรุงจากระบบปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้แต่ละการไฟฟ้ายังมีความรับผิดชอบดั่งเดิม ตามผลการศึกษาของบริษัท Boston Consulting Group
โดยรูปแบบของ enhanced single buyer model จะประกอบไปด้วย
1)กิจการผลิตไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ยังเป็นผู้ดำเนินการผลิตและส่งไฟฟ้าเช่นเดียวกับในปัจจุบัน และ กฟผ.ยังเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายเดียว หรือ single buyer ที่จะส่งกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย คือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
2)ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า การสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า จะสั่งโดยศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (system operator) ซึ่งศูนย์นี้จะอยู่ภายใต้กิจการระบบส่งไฟฟ้า (transmission) ของ กฟผ. แต่มีหน่วยงานกำกับดูแล (regulator) ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าให้มีความโปร่งใสในการสั่งจ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านกระบวนการแบ่งขอบเขตงาน (ring fence) ที่ชัดเจน
3)บทบาทของผู้ประกอบการเอกชน ในอนาคตการผลิตไฟฟ้าจะเปิดให้มีการประมูลแข่งขัน โดยจะมีการตั้งองค์กรกำกับดูแลเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์-เงื่อนไขการประมูลให้มีความชัดเจน โปร่งใส และให้ความเป็นธรรมกับผู้ลงทุน และ 4)การกำกับดูแล จะมีการตั้งองค์กรกำกับดูแล (regulator) ภายใต้กระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า กำกับดูแลราคาค่าบริการ คุณภาพการบริการ และการลงทุนให้เหมาะสมเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และให้ความเป็นธรรมกับนักลงทุนและคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับการบริการที่ดีและมีคุณภาพ
สำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งก็จะต้องดำเนินการปรับโครงสร้างของตัวเองตามรูปแบบของ enhanced single buyer model ด้วย โดย กฟผ.จะมีการแปลงสภาพเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯในไตรมาสที่ 1 ของปี 2547 โดยมีการแยกบัญชี (account unbunding) ระหว่างกิจการการผลิต กับกิจการระบบส่ง เพื่อสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานและเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ กฟผ.
ในส่วนของ กฟน.กับ กฟภ. จะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการระบบจำหน่าย (distribution) กับการค้าปลีกไฟฟ้า (retail) ภายในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง และจะมีการแยกบัญชีระหว่างธุรกิจสายจำหน่าย กับธุรกิจสายจัดหาไฟฟ้า ออกจากกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ มีหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อทำการตรวจสอบและป้องกันการอุดหนุนระหว่างธุรกิจสายจำหน่ายที่มีลักษณะของการผูกขาด กับธุรกิจการค้าปลีกไฟฟ้า
กฟผ.ตั้งป้อมผู้ผูกขาด
ปัญหาที่เป็นข้อเคลือบแคลงน่าสงสัยในขณะนี้ก็คือ จะมีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าทำไม ? ในเมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯหลังการแปรสภาพเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด ยังคงดำเนินสถานะผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดและเป็นผู้ควบคุมระบบสายส่งไฟฟ้าทั่วประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งการจัดส่งและจำหน่ายไฟฟ้าในแก่ กฟน.-กฟภ.ที่ตกอยู่ในฐานะผู้จัดทำระบบจำหน่ายกับการค้าปลีก
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าข้อเสนอในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในปี 2543 ที่เสนอให้เปิดเสรีแยกกิจการการผลิต-สายส่ง-จัดจำหน่ายออกจากกัน และให้มีการประมูลขายไฟฟ้าในตลาดกลาง (power pool) ซึ่งทั้งบริษัท กฟผ.กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP/SPP) สามารถเข้าร่วมเสนอราคาขายไฟฟ้าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงจากการแข่งขันที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
จากเหตุผลที่ว่า การปรับโครงสร้างแบบ enhanced single buyer หรือ ESB นั้น เป็นการ "ปรับปรุง" จากระบบปัจจุบันที่เปิดทางให้กับบริษัท กฟผ. จำกัด ผูกขาดการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้าเพียงผู้เดียว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การนำเอาชื่อบริษัท กฟผ. จำกัด มาสวมแทนชื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพียงแต่ทำการแยกระบบบัญชีระหว่างกิจการผลิตกับกิจการระบบส่งออกจากกัน แต่ทั้ง 2 ระบบบัญชีดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้บริษัท กฟผ. จำกัด แตกต่างไปจากระบบเสรีเดิมที่เสนอให้แยกออกมาเป็นบริษัทต่างหากไม่เกี่ยวข้องกัน
และเมื่อการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าถูกตัดสินโดย ครม.ออกมาในลักษณะนี้ ทุกฝ่ายจึงฝากความหวังไว้กับ "องค์กรกำกับดูแล (regulator)" จะสามารถให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน
"ใคร" กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า
จากกรอบการกำกับดูแลและหน่วยงานกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าที่จัดทำโดย กระทรวงพลังงาน แสดงให้เห็นว่าองค์กรกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงพลังงานอีกทอดหนึ่ง เพื่อดูแลให้กิจการไฟฟ้าของประเทศมีระบบที่มั่นคง รักษาระดับราคาและคุณภาพการบริการให้มีความเหมาะสมกับผู้บริโภค โดยการกำกับดูแลจะมีการตั้ง "คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า หรือ board of commission" ขึ้นมา ประกอบไปด้วยกรรมการ 7 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านพลังงาน, เศรษฐศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์, การเงิน หรือกฎหมาย 1 ในนั้นจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแล (CEO) โดยตำแหน่ง และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เป็นหน่วยงานในกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการชุดนี้
ถามว่า คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (board of commission) ซึ่งดูเหมือนว่ามีอำนาจหน้าที่ล้นฟ้าในกิจการที่เกี่ยวกับไฟฟ้าของประเทศมาจากไหน
คำตอบก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา 1 ชุด เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกกรรมการกำกับดูแล 6 คน เมื่อกรรมการกำกับดูแลทั้ง 6 คนได้รับการสรรหาผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว กรรมการทั้ง 6 คนก็จะทำหน้าที่เป็นผู้สรรหาหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแล (CEO) อีกต่อหนึ่ง
นั้นหมายความว่า การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าจากความเป็นรัฐวิสาหกิจมาสู่ บริษัทจำกัด (มหาชน) นั้น ในข้อเท็จจริงทุกอย่างยังถูก "ครอบงำ" โดยรัฐผ่านทาง กระทรวงพลังงานเหมือนเดิม จากความเป็นจริงที่ว่า กรรมการสรรหาจะกล้าขัดใจ รมต.ในการคัดเลือกกรรมการกำกับดูแลหรือไม่ ดังนั้นกิจการของ 3 การไฟฟ้าปัจจุบัน
แม้แปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) แล้วก็ตาม แต่ยังต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายหลัก กับกฎหมายรอง (primary and secondary legislation) ว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าเหมือนเดิม
ประสานเข้ากับเจตนารมณ์ของ กฟผ.ที่ยังคง "ผูกขาด" การผลิต-การจัดส่ง-การจำหน่ายไฟฟ้า ที่ซ่อนอยู่ภายใต้การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ enhanced single buyer หรือ ESB แล้ว นับเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่ารัฐจะให้ความเป็นธรรมกับผู้ลงทุนผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน กับการให้ความคุ้มครองผู้บริโภค ผ่านทางกลไกกำกับดูแลเหล่านี้ได้อย่างไร
ประชาชาติธุรกิจ หน้า 10
ตอนเข้าตลาดรูปแบบคงไม่ต่างจากเดิมมากนัก
-----------------------------------
ปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า เปิดทาง กฟผ.ผูกขาดเบ็ดเสร็จ
วิเคราะห์
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2543 รัฐบาลชุดต่างๆ ที่ผ่านมาได้ใช้เวลาถึง 3 ปีในการศึกษาและหาวิธีการที่จะ "ล้มเลิก" มติ ครม.ในปี 2543 ที่ระบุจะแปรรูปกิจการไฟฟ้า (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย-การไฟฟ้านครหลวง-การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ของประเทศด้วยการเปิดเสรีเต็มที่ และแยกกิจการผลิตไฟฟ้า-ระบบสายส่ง-ระบบจำหน่ายออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมี "ตลาดกลาง (pool)" กำหนดราคาค้าส่ง หรือ full competition (power pool) มาเป็นการปรับโครงสร้างแบบ enhanced single buyer model (ESB) หรือการปรับปรุงจากระบบปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้แต่ละการไฟฟ้ายังมีความรับผิดชอบดั่งเดิม ตามผลการศึกษาของบริษัท Boston Consulting Group
โดยรูปแบบของ enhanced single buyer model จะประกอบไปด้วย
1)กิจการผลิตไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ยังเป็นผู้ดำเนินการผลิตและส่งไฟฟ้าเช่นเดียวกับในปัจจุบัน และ กฟผ.ยังเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายเดียว หรือ single buyer ที่จะส่งกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย คือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
2)ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า การสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า จะสั่งโดยศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (system operator) ซึ่งศูนย์นี้จะอยู่ภายใต้กิจการระบบส่งไฟฟ้า (transmission) ของ กฟผ. แต่มีหน่วยงานกำกับดูแล (regulator) ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าให้มีความโปร่งใสในการสั่งจ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านกระบวนการแบ่งขอบเขตงาน (ring fence) ที่ชัดเจน
3)บทบาทของผู้ประกอบการเอกชน ในอนาคตการผลิตไฟฟ้าจะเปิดให้มีการประมูลแข่งขัน โดยจะมีการตั้งองค์กรกำกับดูแลเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์-เงื่อนไขการประมูลให้มีความชัดเจน โปร่งใส และให้ความเป็นธรรมกับผู้ลงทุน และ 4)การกำกับดูแล จะมีการตั้งองค์กรกำกับดูแล (regulator) ภายใต้กระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า กำกับดูแลราคาค่าบริการ คุณภาพการบริการ และการลงทุนให้เหมาะสมเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และให้ความเป็นธรรมกับนักลงทุนและคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับการบริการที่ดีและมีคุณภาพ
สำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งก็จะต้องดำเนินการปรับโครงสร้างของตัวเองตามรูปแบบของ enhanced single buyer model ด้วย โดย กฟผ.จะมีการแปลงสภาพเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯในไตรมาสที่ 1 ของปี 2547 โดยมีการแยกบัญชี (account unbunding) ระหว่างกิจการการผลิต กับกิจการระบบส่ง เพื่อสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานและเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ กฟผ.
ในส่วนของ กฟน.กับ กฟภ. จะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการระบบจำหน่าย (distribution) กับการค้าปลีกไฟฟ้า (retail) ภายในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง และจะมีการแยกบัญชีระหว่างธุรกิจสายจำหน่าย กับธุรกิจสายจัดหาไฟฟ้า ออกจากกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ มีหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อทำการตรวจสอบและป้องกันการอุดหนุนระหว่างธุรกิจสายจำหน่ายที่มีลักษณะของการผูกขาด กับธุรกิจการค้าปลีกไฟฟ้า
กฟผ.ตั้งป้อมผู้ผูกขาด
ปัญหาที่เป็นข้อเคลือบแคลงน่าสงสัยในขณะนี้ก็คือ จะมีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าทำไม ? ในเมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯหลังการแปรสภาพเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด ยังคงดำเนินสถานะผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดและเป็นผู้ควบคุมระบบสายส่งไฟฟ้าทั่วประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งการจัดส่งและจำหน่ายไฟฟ้าในแก่ กฟน.-กฟภ.ที่ตกอยู่ในฐานะผู้จัดทำระบบจำหน่ายกับการค้าปลีก
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าข้อเสนอในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในปี 2543 ที่เสนอให้เปิดเสรีแยกกิจการการผลิต-สายส่ง-จัดจำหน่ายออกจากกัน และให้มีการประมูลขายไฟฟ้าในตลาดกลาง (power pool) ซึ่งทั้งบริษัท กฟผ.กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP/SPP) สามารถเข้าร่วมเสนอราคาขายไฟฟ้าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงจากการแข่งขันที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
จากเหตุผลที่ว่า การปรับโครงสร้างแบบ enhanced single buyer หรือ ESB นั้น เป็นการ "ปรับปรุง" จากระบบปัจจุบันที่เปิดทางให้กับบริษัท กฟผ. จำกัด ผูกขาดการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้าเพียงผู้เดียว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การนำเอาชื่อบริษัท กฟผ. จำกัด มาสวมแทนชื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพียงแต่ทำการแยกระบบบัญชีระหว่างกิจการผลิตกับกิจการระบบส่งออกจากกัน แต่ทั้ง 2 ระบบบัญชีดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้บริษัท กฟผ. จำกัด แตกต่างไปจากระบบเสรีเดิมที่เสนอให้แยกออกมาเป็นบริษัทต่างหากไม่เกี่ยวข้องกัน
และเมื่อการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าถูกตัดสินโดย ครม.ออกมาในลักษณะนี้ ทุกฝ่ายจึงฝากความหวังไว้กับ "องค์กรกำกับดูแล (regulator)" จะสามารถให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน
"ใคร" กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า
จากกรอบการกำกับดูแลและหน่วยงานกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าที่จัดทำโดย กระทรวงพลังงาน แสดงให้เห็นว่าองค์กรกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงพลังงานอีกทอดหนึ่ง เพื่อดูแลให้กิจการไฟฟ้าของประเทศมีระบบที่มั่นคง รักษาระดับราคาและคุณภาพการบริการให้มีความเหมาะสมกับผู้บริโภค โดยการกำกับดูแลจะมีการตั้ง "คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า หรือ board of commission" ขึ้นมา ประกอบไปด้วยกรรมการ 7 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านพลังงาน, เศรษฐศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์, การเงิน หรือกฎหมาย 1 ในนั้นจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแล (CEO) โดยตำแหน่ง และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เป็นหน่วยงานในกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการชุดนี้
ถามว่า คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (board of commission) ซึ่งดูเหมือนว่ามีอำนาจหน้าที่ล้นฟ้าในกิจการที่เกี่ยวกับไฟฟ้าของประเทศมาจากไหน
คำตอบก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา 1 ชุด เพื่อทำหน้าที่คัดเลือกกรรมการกำกับดูแล 6 คน เมื่อกรรมการกำกับดูแลทั้ง 6 คนได้รับการสรรหาผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว กรรมการทั้ง 6 คนก็จะทำหน้าที่เป็นผู้สรรหาหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแล (CEO) อีกต่อหนึ่ง
นั้นหมายความว่า การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าจากความเป็นรัฐวิสาหกิจมาสู่ บริษัทจำกัด (มหาชน) นั้น ในข้อเท็จจริงทุกอย่างยังถูก "ครอบงำ" โดยรัฐผ่านทาง กระทรวงพลังงานเหมือนเดิม จากความเป็นจริงที่ว่า กรรมการสรรหาจะกล้าขัดใจ รมต.ในการคัดเลือกกรรมการกำกับดูแลหรือไม่ ดังนั้นกิจการของ 3 การไฟฟ้าปัจจุบัน
แม้แปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) แล้วก็ตาม แต่ยังต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายหลัก กับกฎหมายรอง (primary and secondary legislation) ว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าเหมือนเดิม
ประสานเข้ากับเจตนารมณ์ของ กฟผ.ที่ยังคง "ผูกขาด" การผลิต-การจัดส่ง-การจำหน่ายไฟฟ้า ที่ซ่อนอยู่ภายใต้การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ enhanced single buyer หรือ ESB แล้ว นับเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่ารัฐจะให้ความเป็นธรรมกับผู้ลงทุนผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน กับการให้ความคุ้มครองผู้บริโภค ผ่านทางกลไกกำกับดูแลเหล่านี้ได้อย่างไร
ประชาชาติธุรกิจ หน้า 10
นี่ก็เป็นอีกบทความครับ มีการคาดถึงผลกระทบต่อ IPP ...(EGCOMP,RATCH etc) ด้วยครับ
----------------------
รูปแบบการผูกขาดในกิจการไฟฟ้าที่แย่น้อยที่สุด
ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์, [email protected]
เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ก.ย 2546 กระทรวงพลังงานได้จัดสัมมนาเพื่อนำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นของบริษัทที่ปรึกษา (Boston Consulting Group: BCG ) เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า ซึ่งทำให้การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง
ทั้งนี้เพราะโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่มีความชัดเจนเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสำเร็จของการแปรรูป กฟผ. ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายว่า จะกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2547
BCG ได้เสนอทางเลือกในการแปรรูปกิจการไฟฟ้าทั้งหมด 6 ทางเลือก โดยเป็นรูปแบบภายใต้ระบบผูกขาด 3 ทางเลือกและรูปแบบภายใต้ระบบการแข่งขัน 3 ทางเลือก รูปแบบของระบบการแข่งขันมีตั้งแต่ ระบบกึ่งแข่งขัน ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าบางส่วนสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าได้ จนถึงระบบการแข่งขันเต็มที่ ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าทุกรายมีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้าและมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
แต่ในที่สุดแล้ว BCG เสนอว่า รูปแบบผูกขาดที่เรียกว่า Enhanced Single Buyer (ESB) เป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสมที่สุด เท่าที่ได้อ่านเอกสารที่มีการนำเสนอ ผมรู้สึกว่า เหตุผลหลักในการเสนอให้ใช้รูปแบบ ESB ก็คือรัฐบาลได้ตัดสินใจแล้วว่า ให้คงไว้ระบบการผูกขาดและในการแปรรูป กฟผ.ให้แปรรูปทั้งองค์กร
ถ้าเงื่อนไขของการศึกษาคือให้คงไว้ระบบผูกขาดและแปรรูป กฟผ.ทั้งองค์กรภายในไตรมาสแรกของปี 2547 ผมเห็นด้วยว่า ESB เป็นรูปแบบระบบผูกขาดที่ดีที่สุด
กล่าวคือดีกว่ารูปแบบปัจจุบัน และดีกว่ารูปแบบที่เรียกว่า Super National Champion (SNC) ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะรวมการไฟฟ้าทั้งสามแห่งเข้าด้วยกัน เพราะรูปแบบ SNC เป็นรูปแบบที่จะดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพยากมาก ไม่จูงใจให้มีการลงทุนโดยเอกชน
อีกทั้งคงใช้เวลานานกว่าจะสามารถกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากในขณะนี้ กฟผ.มีความพร้อมที่สุดที่จะแปรรูป แต่ภายใต้รูปแบบ SNC จะต้องรอให้การไฟฟ้าทั้งสามแห่งมีความพร้อมจึงจะแปรรูปได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะใช้รูปแบบ ESB ก็ต้องยอมรับว่า ปัญหาหลายข้อเกี่ยวกับระบบการผูกขาดที่ได้มีการหยิบยกขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา จะยังมีต่อไป โดยเฉพาะความเสี่ยงจากราคาเชื้อเพลิงและการวางแผนผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ยังต้องผ่านให้ประชาชน รวมทั้งเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนที่ยังคงต้องมีการทำสัญญาระยะยาวต่อไป (Power Purchase Agreement: PPA หรือสัญญาทาส ตามที่สื่อมวลชนบางฉบับเรียก)
เนื่องจากรูปแบบ ESB กำหนดเป็นเงื่อนไขว่า ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (ซึ่งขอเรียกว่า IPP) ต้องขายไฟฟ้าทั้งหมดให้หน่วยธุรกิจสายส่งไฟฟ้าของ กฟผ. (EGAT Transmission) โดยศูนย์ควบคุมระบบ (System Operator: SO) จะถูกแยกเป็นการภายในให้ปฏิบัติงานอย่างเป็นอิสระ (Ring Fenced)
SO มีหน้าที่รับผิดชอบในการสั่งเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าทุก ๆ โรงเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเพื่อให้ต้นนการผลิตอยู่ในระดับต่ำสุด ส่งผลให้รายได้ของ IPP ขึ้นอยู่กับการสั่งการของ กฟผ. เท่านั้น ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวเช่นในปัจจุบัน
และโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.จะรับซื้อจาก IPP ก็จะมีรูปแบบคล้ายๆ กับในสัญญาปัจจุบัน คือ ค่าไฟต้องแยกเป็น 2 ส่วนคือ ค่าความพร้อมจ่าย (AP) ซึ่งจะจ่ายเมื่อโรงไฟฟ้ามีความพร้อมที่จะจ่ายไฟฟ้า และค่าพลังงานฟ้า (EP) จะชำระเงินเมื่อมีการผลิตไฟฟ้า มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดสนใจลงทุน เนื่องจาก กฟผ. ซึ่งยังมีโรงไฟฟ้าของตนเองอาจไม่ยอมสั่งจ่ายไฟฟ้าของ IPP เลยก็ได้ ซึ่งก็เป็นหลักการที่เหมือนกับในกรณีที่เป็นโรงไฟฟ้าของ กฟผ. เอง
ทั้งนี้หากไม่มี AP และ EP ก็ต้องใช้รูปแบบการสั่งจ่ายประเภทอื่นที่มีผลคล้ายกัน เช่น มีปริมาณขั้นต่ำที่รับประกัน หรือให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนสามารถผลิตไฟได้ตามที่ตนเองกำหนด (Self Dispatch) เป็นต้น
การมี IPP นี้ทำให้ความเสี่ยงที่ผ่านไปให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับรูปแบบเดิมที่ กฟผ. ผูกขาดการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยความเสี่ยงบางเรื่องได้ถูกจำกัดอยู่ที่ผู้ลงทุน เช่น ความเสี่ยงจากการก่อสร้างและการดำเนินการ ซึ่งทำให้ IPP มีแรงจูงใจมากขึ้นในการประกอบธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ความเสี่ยงจากความต้องการไฟฟ้า กำลังการผลิตส่วนเกิน การวางแผนที่ผิดพลาด และราคาเชื้อเพลิง ยังคงถูกผ่านไปให้ผู้ใช้ไฟฟ้า และทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ได้รับประโยชน์หากมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต แต่ต้องซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว ทั้งโรงไฟฟ้าของ กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชนตลอดอายุของโครงการหรือสัญญา
เพื่อมิให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารับความเสี่ยงดังกล่าวหรือรับความเสี่ยงอื่น ๆ น้อยที่สุด จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการซื้อขายไฟฟ้าในระบบไฟฟ้า โดยให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้า (Retail Competition) ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกหลายรายจะทำให้มีการแข่งขันในการขายไฟฟ้าและในการเสนอเงื่อนไขที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า
โดยผู้ใช้ไฟสามารถเลือกได้ว่า จะซื้อไฟฟ้าจากผู้ค้าปลีกรายใด ผู้ผลิตสามารถขายตรงให้แก่ผู้ค้าปลีก หรือผู้ใช้ไฟฟ้าได้ โดยใช้บริการสายส่งและสายจำหน่าย ทั้งนี้ ผู้ให้บริการสายส่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการใช้สายไฟเท่านั้น และไม่ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งรูปแบบการแข่งขันนี้เป็นวิธีที่จะทำให้ผู้ลงทุนและกิจการไฟฟ้าเข้ามาช่วยแบกรับภาระความเสี่ยงร่วมกับผู้ใช้ไฟฟ้า
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าให้มีการแข่งขันในหลายประเทศในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา
รูปแบบการแข่งขันนี้มีความเป็นไปได้เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้สามารถสร้างตลาดการซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจำลองตลาดสินค้าทั่วไปได้โดยในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในหลายประเทศแล้วในยุโรป หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หลายประเทศในละตินอเมริกา
ส่วนในเอเซียก็ได้มีการเริ่มนำระบบการแข่งขันมาใช้ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ส่วนประเทศจีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บางรัฐในอินเดีย กำลังดำเนินการเตรียมการเพื่อนำระบบการแข่งขันมาใช้
ถ้ารัฐจะคงไว้ระบบผูกขาด รูปแบบ ESB น่าจะเหมาะสมที่สุด แต่อย่านำ ESB ไปบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไป ทั้งนี้ปัจจัยที่มีความสำคัญมากต่อความสำเร็จของนโยบายการแปรรูปทั้งองค์กรและจะต้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมคือความชัดเจนของโครงสร้างการกำกับดูแลและกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแลโดยเฉพาะค่าไฟฟ้า
รวมทั้งการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลที่เป็นอิสระ (Independent Regulatory Body) ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้าทางด้านราคา การแข่งขัน คุณภาพบริการและการลงทุนเพื่อคุ้มครองผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ในขณะเดียวกันให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ลงทุนด้วย
----------------------
รูปแบบการผูกขาดในกิจการไฟฟ้าที่แย่น้อยที่สุด
ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์, [email protected]
เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ก.ย 2546 กระทรวงพลังงานได้จัดสัมมนาเพื่อนำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นของบริษัทที่ปรึกษา (Boston Consulting Group: BCG ) เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า ซึ่งทำให้การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง
ทั้งนี้เพราะโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่มีความชัดเจนเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสำเร็จของการแปรรูป กฟผ. ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายว่า จะกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2547
BCG ได้เสนอทางเลือกในการแปรรูปกิจการไฟฟ้าทั้งหมด 6 ทางเลือก โดยเป็นรูปแบบภายใต้ระบบผูกขาด 3 ทางเลือกและรูปแบบภายใต้ระบบการแข่งขัน 3 ทางเลือก รูปแบบของระบบการแข่งขันมีตั้งแต่ ระบบกึ่งแข่งขัน ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าบางส่วนสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าได้ จนถึงระบบการแข่งขันเต็มที่ ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าทุกรายมีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้าและมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
แต่ในที่สุดแล้ว BCG เสนอว่า รูปแบบผูกขาดที่เรียกว่า Enhanced Single Buyer (ESB) เป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสมที่สุด เท่าที่ได้อ่านเอกสารที่มีการนำเสนอ ผมรู้สึกว่า เหตุผลหลักในการเสนอให้ใช้รูปแบบ ESB ก็คือรัฐบาลได้ตัดสินใจแล้วว่า ให้คงไว้ระบบการผูกขาดและในการแปรรูป กฟผ.ให้แปรรูปทั้งองค์กร
ถ้าเงื่อนไขของการศึกษาคือให้คงไว้ระบบผูกขาดและแปรรูป กฟผ.ทั้งองค์กรภายในไตรมาสแรกของปี 2547 ผมเห็นด้วยว่า ESB เป็นรูปแบบระบบผูกขาดที่ดีที่สุด
กล่าวคือดีกว่ารูปแบบปัจจุบัน และดีกว่ารูปแบบที่เรียกว่า Super National Champion (SNC) ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะรวมการไฟฟ้าทั้งสามแห่งเข้าด้วยกัน เพราะรูปแบบ SNC เป็นรูปแบบที่จะดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพยากมาก ไม่จูงใจให้มีการลงทุนโดยเอกชน
อีกทั้งคงใช้เวลานานกว่าจะสามารถกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากในขณะนี้ กฟผ.มีความพร้อมที่สุดที่จะแปรรูป แต่ภายใต้รูปแบบ SNC จะต้องรอให้การไฟฟ้าทั้งสามแห่งมีความพร้อมจึงจะแปรรูปได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะใช้รูปแบบ ESB ก็ต้องยอมรับว่า ปัญหาหลายข้อเกี่ยวกับระบบการผูกขาดที่ได้มีการหยิบยกขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา จะยังมีต่อไป โดยเฉพาะความเสี่ยงจากราคาเชื้อเพลิงและการวางแผนผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ยังต้องผ่านให้ประชาชน รวมทั้งเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนที่ยังคงต้องมีการทำสัญญาระยะยาวต่อไป (Power Purchase Agreement: PPA หรือสัญญาทาส ตามที่สื่อมวลชนบางฉบับเรียก)
เนื่องจากรูปแบบ ESB กำหนดเป็นเงื่อนไขว่า ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (ซึ่งขอเรียกว่า IPP) ต้องขายไฟฟ้าทั้งหมดให้หน่วยธุรกิจสายส่งไฟฟ้าของ กฟผ. (EGAT Transmission) โดยศูนย์ควบคุมระบบ (System Operator: SO) จะถูกแยกเป็นการภายในให้ปฏิบัติงานอย่างเป็นอิสระ (Ring Fenced)
SO มีหน้าที่รับผิดชอบในการสั่งเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าทุก ๆ โรงเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเพื่อให้ต้นนการผลิตอยู่ในระดับต่ำสุด ส่งผลให้รายได้ของ IPP ขึ้นอยู่กับการสั่งการของ กฟผ. เท่านั้น ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวเช่นในปัจจุบัน
และโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.จะรับซื้อจาก IPP ก็จะมีรูปแบบคล้ายๆ กับในสัญญาปัจจุบัน คือ ค่าไฟต้องแยกเป็น 2 ส่วนคือ ค่าความพร้อมจ่าย (AP) ซึ่งจะจ่ายเมื่อโรงไฟฟ้ามีความพร้อมที่จะจ่ายไฟฟ้า และค่าพลังงานฟ้า (EP) จะชำระเงินเมื่อมีการผลิตไฟฟ้า มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดสนใจลงทุน เนื่องจาก กฟผ. ซึ่งยังมีโรงไฟฟ้าของตนเองอาจไม่ยอมสั่งจ่ายไฟฟ้าของ IPP เลยก็ได้ ซึ่งก็เป็นหลักการที่เหมือนกับในกรณีที่เป็นโรงไฟฟ้าของ กฟผ. เอง
ทั้งนี้หากไม่มี AP และ EP ก็ต้องใช้รูปแบบการสั่งจ่ายประเภทอื่นที่มีผลคล้ายกัน เช่น มีปริมาณขั้นต่ำที่รับประกัน หรือให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนสามารถผลิตไฟได้ตามที่ตนเองกำหนด (Self Dispatch) เป็นต้น
การมี IPP นี้ทำให้ความเสี่ยงที่ผ่านไปให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับรูปแบบเดิมที่ กฟผ. ผูกขาดการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยความเสี่ยงบางเรื่องได้ถูกจำกัดอยู่ที่ผู้ลงทุน เช่น ความเสี่ยงจากการก่อสร้างและการดำเนินการ ซึ่งทำให้ IPP มีแรงจูงใจมากขึ้นในการประกอบธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ความเสี่ยงจากความต้องการไฟฟ้า กำลังการผลิตส่วนเกิน การวางแผนที่ผิดพลาด และราคาเชื้อเพลิง ยังคงถูกผ่านไปให้ผู้ใช้ไฟฟ้า และทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ได้รับประโยชน์หากมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต แต่ต้องซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว ทั้งโรงไฟฟ้าของ กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชนตลอดอายุของโครงการหรือสัญญา
เพื่อมิให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารับความเสี่ยงดังกล่าวหรือรับความเสี่ยงอื่น ๆ น้อยที่สุด จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการซื้อขายไฟฟ้าในระบบไฟฟ้า โดยให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้า (Retail Competition) ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกหลายรายจะทำให้มีการแข่งขันในการขายไฟฟ้าและในการเสนอเงื่อนไขที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า
โดยผู้ใช้ไฟสามารถเลือกได้ว่า จะซื้อไฟฟ้าจากผู้ค้าปลีกรายใด ผู้ผลิตสามารถขายตรงให้แก่ผู้ค้าปลีก หรือผู้ใช้ไฟฟ้าได้ โดยใช้บริการสายส่งและสายจำหน่าย ทั้งนี้ ผู้ให้บริการสายส่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการใช้สายไฟเท่านั้น และไม่ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งรูปแบบการแข่งขันนี้เป็นวิธีที่จะทำให้ผู้ลงทุนและกิจการไฟฟ้าเข้ามาช่วยแบกรับภาระความเสี่ยงร่วมกับผู้ใช้ไฟฟ้า
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าให้มีการแข่งขันในหลายประเทศในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา
รูปแบบการแข่งขันนี้มีความเป็นไปได้เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้สามารถสร้างตลาดการซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจำลองตลาดสินค้าทั่วไปได้โดยในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในหลายประเทศแล้วในยุโรป หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หลายประเทศในละตินอเมริกา
ส่วนในเอเซียก็ได้มีการเริ่มนำระบบการแข่งขันมาใช้ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ส่วนประเทศจีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บางรัฐในอินเดีย กำลังดำเนินการเตรียมการเพื่อนำระบบการแข่งขันมาใช้
ถ้ารัฐจะคงไว้ระบบผูกขาด รูปแบบ ESB น่าจะเหมาะสมที่สุด แต่อย่านำ ESB ไปบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไป ทั้งนี้ปัจจัยที่มีความสำคัญมากต่อความสำเร็จของนโยบายการแปรรูปทั้งองค์กรและจะต้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมคือความชัดเจนของโครงสร้างการกำกับดูแลและกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแลโดยเฉพาะค่าไฟฟ้า
รวมทั้งการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลที่เป็นอิสระ (Independent Regulatory Body) ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้าทางด้านราคา การแข่งขัน คุณภาพบริการและการลงทุนเพื่อคุ้มครองผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ในขณะเดียวกันให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ลงทุนด้วย