การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆ
หลักง่ายๆๆ P/E ใช้กับธุรกิจที่ โตเต็มที่ อยู่ในช่วงออกดอกออกผล หรือ พวก Mature ครับ ดังนั้นจะมี dividend ที่สม่ำเสมอ
ส่วน DCF ใช้กับพวกธุรกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มลงทุน รายได้ในช่วงแรกจะมีไม่มาก แต่หลังจากนั้นหากธุรกิจไปได้ดี ก็จะมี cash flow ที่เพิ่มขึ้น จึงเหมาะกับพวกหุ้นที่เริ่มลงทุนโครงการใหม่ๆๆ
วิธีอื่น ผมไม่ชอบเลย พวก ev/ebit หรือ pb ratio เพราะนักวิเคราะห์บางคนไม่อยากจะว่าบัดซบก็ต้องว่าครับ ให้ ev/ebit ของ ms 20 เท่า ผมเห็นแล้วแทบจะโทรไปด่าเลย แต่นึกได้ว่าเรามิได้เป็นลูกค้าของโบรคนั้น
เท่าที่ผมอ่านดู นักวิเคราะห์ของ kimeng conservative ที่สุดครับ ของ natsec นี่สุดเวอร์จริงๆๆ ส่วน tisco นักวิเคราะห์ในกลุ่มหลักทรัพยื สงสัย bias มากไม่เคยเชียร์ซื้อเลย ให้ pe zmico 8 เท่า ส่วน pe ast cns kgi ให้ 15 เท่า ให้target price ต่ำแบบเห็นแล้วช๊อค zmico ตอน 40 มันให้ target ประมาณ book คือ 20 บาท เห็นแล้วอยากจะเตะสักที ใครเป็นลูกค้า tisco คงเคยผ่านตา จะเห็นได้ว่าไม่มีบทวิเคราะห์หุ้นหลักทรัพย์ออกมากว่า 6 เดือนแล้วจาก tisco เนื่องจากนักวิเคราะห์มันคงไม่หายติ้งต๊อง
ส่วน DCF ใช้กับพวกธุรกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มลงทุน รายได้ในช่วงแรกจะมีไม่มาก แต่หลังจากนั้นหากธุรกิจไปได้ดี ก็จะมี cash flow ที่เพิ่มขึ้น จึงเหมาะกับพวกหุ้นที่เริ่มลงทุนโครงการใหม่ๆๆ
วิธีอื่น ผมไม่ชอบเลย พวก ev/ebit หรือ pb ratio เพราะนักวิเคราะห์บางคนไม่อยากจะว่าบัดซบก็ต้องว่าครับ ให้ ev/ebit ของ ms 20 เท่า ผมเห็นแล้วแทบจะโทรไปด่าเลย แต่นึกได้ว่าเรามิได้เป็นลูกค้าของโบรคนั้น
เท่าที่ผมอ่านดู นักวิเคราะห์ของ kimeng conservative ที่สุดครับ ของ natsec นี่สุดเวอร์จริงๆๆ ส่วน tisco นักวิเคราะห์ในกลุ่มหลักทรัพยื สงสัย bias มากไม่เคยเชียร์ซื้อเลย ให้ pe zmico 8 เท่า ส่วน pe ast cns kgi ให้ 15 เท่า ให้target price ต่ำแบบเห็นแล้วช๊อค zmico ตอน 40 มันให้ target ประมาณ book คือ 20 บาท เห็นแล้วอยากจะเตะสักที ใครเป็นลูกค้า tisco คงเคยผ่านตา จะเห็นได้ว่าไม่มีบทวิเคราะห์หุ้นหลักทรัพย์ออกมากว่า 6 เดือนแล้วจาก tisco เนื่องจากนักวิเคราะห์มันคงไม่หายติ้งต๊อง
คุณ Wvix ได้ post ถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ในกระทิงเขียว ผมจึงขออนุญาต มา post ในที่นี่ด้วยนะครับ
valuation ทีใช้มีได้หลายแบบครับ
ตัวอย่างที่จะยกมาเป็นวัตถุนิยมนะครับ ไม่ควรใช้ในชีวิตจริง แต่ก็เห็นภาพได้ค่อนข้างชัดเจน
หากเรามีลูกสาว และมีคนมาจีบลูกสาวหลายคน
ผู้ชายคนแรก ร่ำรวยมีสินทรัพย์มาก แต่ไม่ทำมาหากิน เล่นการพนัน หากเรายกลูกสาวให้ผู้ชายคนนี้โดยมองที่สินทรัพย์ แสดงว่าเราจะเลือกหุ้นโดยดู P/BV เป็นหลัก
หากผู้ชายคนที่ 2 มีรายได้ต่อเดือนสูงมาก แต่มีอาชีพที่เสี่ยงและมีรายได้ในอนาคตไม่แน่นอน และมีหนี้สินทางบ้านสูงมาก หากเรายกลูกสาวให้ แสดงว่าเราดูที่ P/E อย่างเดียว
หากผู้ชายคนที่ 3 เราพิจารณาทั้งสินทรัพย์ของเขาว่าไม่มีหนี้มากเกินไป มีรายได้สูงในระดับหนึ่ง อาชีพการงานมีความมั่นคงในระดับหนึ่งและมีโอกาสก้าวหน้า แสดงว่าเราเลื่อกหุ้นโดยวิธี DCF
สรุปก็คือ P/BV บอกอดีต
P/E บอกปัจจุบัน
DCF บอกอดีต ปัจจุบัน อนาคต ครับ
EV/EBITDA คล้าย P/E แต่ต่างตรงที่ EV/EBITDA ขจัดความแตกต่างหรือความบกพร่องของการตัดค่าเสื่อมราคาออก และใช้กรณีที่ P/E หาไม่ได้เพราะกำไรติดลบ หุ้นที่ earning เป็นบวกก็อาจจะมี EBITDA เป็นบวกได้ครับ
ประมาณการในอนาคตจะดูถึง แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมครับ และดูถืงความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในธุรกิจนั้น เช่น หากเราคาดว่า
ธุรกิจจะโต 10% หากบริษัท A มีการบริหารที่ดี อาจจะมียอดขายโต 15% ต่อปีหรือมากกว่าได้ แสดงว่า A มี market share เพิ่มขึ้น
ดังนั้นการประมาณการกำไรในอนาคตเป็น art ครับ เพราะทุกคนสามารถประมาณได้แตกต่างกันได้มากจากการประมาณ sale growth gross margin SG&A to sale ที่ต่างกัน นักวิเคราะห์ต่างก็มี financial model ที่มี assumption เยอะมากหุ้นบางตัวอาจจะมี 10 assumption ซึ่งเป็นการประมาณในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นโอกาสที่แตกต่างกันมีสูงมาก บางทีการทำ model หรือการหาราคาปัจจัยพื้นฐานตัวเลขก็มีส่วนสำคัญแต่เรื่อง gutt feeling หรือเรียกง่ายๆ ว่า sense ก็สำคัญไม่น้อยครับ
ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารบริษัทที่จะให้ข้อมูลนักวิเคราะห์ก็มีผลครับ นักวิเคราะห์ที่ดีควรจะถามคำถามที่สร้างสรรค์ และให้คำแนะนำบริษัทได้บ้างตามอัถภาพ ทำการบ้านมาก่อน visit อย่างนี้จะมีโอกาสที่จะได้ข้อมูลดีๆ ในอนาคตได้ครับ วิธี check เราก็ลองโทรไปคุยกับนักวิเคราะห์ของ broker ถามเกี่ยวกับหุ้นที่เขาวิเคราะห์ ( เราก็ควรทำการบ้านมาก่อนเช่นกัน ) หากคำตอบของเขาทำให้เรารู้สึก convince ซึ่งจะเกิดจาก logic การตอบที่ชัดเจน นักวิเคราะห์คนนั้นก็มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เราไม่ขาดทุนหากซื้อหุ้นตามเขา แต่หากรู้สึกตรงกันข้าม คุณภาพคำตอบที่เขาตอบเราก็คือคุณภาพการถามคำถามเวลา visit และคุณภาพการทำงานของเขานั่นแหละครับ
valuation ทีใช้มีได้หลายแบบครับ
ตัวอย่างที่จะยกมาเป็นวัตถุนิยมนะครับ ไม่ควรใช้ในชีวิตจริง แต่ก็เห็นภาพได้ค่อนข้างชัดเจน
หากเรามีลูกสาว และมีคนมาจีบลูกสาวหลายคน
ผู้ชายคนแรก ร่ำรวยมีสินทรัพย์มาก แต่ไม่ทำมาหากิน เล่นการพนัน หากเรายกลูกสาวให้ผู้ชายคนนี้โดยมองที่สินทรัพย์ แสดงว่าเราจะเลือกหุ้นโดยดู P/BV เป็นหลัก
หากผู้ชายคนที่ 2 มีรายได้ต่อเดือนสูงมาก แต่มีอาชีพที่เสี่ยงและมีรายได้ในอนาคตไม่แน่นอน และมีหนี้สินทางบ้านสูงมาก หากเรายกลูกสาวให้ แสดงว่าเราดูที่ P/E อย่างเดียว
หากผู้ชายคนที่ 3 เราพิจารณาทั้งสินทรัพย์ของเขาว่าไม่มีหนี้มากเกินไป มีรายได้สูงในระดับหนึ่ง อาชีพการงานมีความมั่นคงในระดับหนึ่งและมีโอกาสก้าวหน้า แสดงว่าเราเลื่อกหุ้นโดยวิธี DCF
สรุปก็คือ P/BV บอกอดีต
P/E บอกปัจจุบัน
DCF บอกอดีต ปัจจุบัน อนาคต ครับ
EV/EBITDA คล้าย P/E แต่ต่างตรงที่ EV/EBITDA ขจัดความแตกต่างหรือความบกพร่องของการตัดค่าเสื่อมราคาออก และใช้กรณีที่ P/E หาไม่ได้เพราะกำไรติดลบ หุ้นที่ earning เป็นบวกก็อาจจะมี EBITDA เป็นบวกได้ครับ
ประมาณการในอนาคตจะดูถึง แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมครับ และดูถืงความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในธุรกิจนั้น เช่น หากเราคาดว่า
ธุรกิจจะโต 10% หากบริษัท A มีการบริหารที่ดี อาจจะมียอดขายโต 15% ต่อปีหรือมากกว่าได้ แสดงว่า A มี market share เพิ่มขึ้น
ดังนั้นการประมาณการกำไรในอนาคตเป็น art ครับ เพราะทุกคนสามารถประมาณได้แตกต่างกันได้มากจากการประมาณ sale growth gross margin SG&A to sale ที่ต่างกัน นักวิเคราะห์ต่างก็มี financial model ที่มี assumption เยอะมากหุ้นบางตัวอาจจะมี 10 assumption ซึ่งเป็นการประมาณในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นโอกาสที่แตกต่างกันมีสูงมาก บางทีการทำ model หรือการหาราคาปัจจัยพื้นฐานตัวเลขก็มีส่วนสำคัญแต่เรื่อง gutt feeling หรือเรียกง่ายๆ ว่า sense ก็สำคัญไม่น้อยครับ
ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารบริษัทที่จะให้ข้อมูลนักวิเคราะห์ก็มีผลครับ นักวิเคราะห์ที่ดีควรจะถามคำถามที่สร้างสรรค์ และให้คำแนะนำบริษัทได้บ้างตามอัถภาพ ทำการบ้านมาก่อน visit อย่างนี้จะมีโอกาสที่จะได้ข้อมูลดีๆ ในอนาคตได้ครับ วิธี check เราก็ลองโทรไปคุยกับนักวิเคราะห์ของ broker ถามเกี่ยวกับหุ้นที่เขาวิเคราะห์ ( เราก็ควรทำการบ้านมาก่อนเช่นกัน ) หากคำตอบของเขาทำให้เรารู้สึก convince ซึ่งจะเกิดจาก logic การตอบที่ชัดเจน นักวิเคราะห์คนนั้นก็มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เราไม่ขาดทุนหากซื้อหุ้นตามเขา แต่หากรู้สึกตรงกันข้าม คุณภาพคำตอบที่เขาตอบเราก็คือคุณภาพการถามคำถามเวลา visit และคุณภาพการทำงานของเขานั่นแหละครับ