ภาวะความซบเซา ของตลาดหุ้น เกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อมากว่า 2 เดือน โดยมีคำอธิบาย ถึงเหตุผลความตกต่ำ กันมาต่อเนื่อง และดูเหมือนนักลงทุน จะทำใจยอมรับ ภาวะการลงทุน ช่วงขาลงกันได้แล้ว แต่การทรุดตัวหนัก ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมื่อวานนี้ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก กันขึ้นมาอีก
เพราะความผันผวนของตลาดหุ้นในครั้งนี้ อาจรุนแรงเกินกว่าที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญจะประเมินกันไว้ และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ อาจจะดิ่งลงเหวลึกกว่าที่นักวิเคราะห์ทำนายไว้
ตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นปักหัวลงม้วนเดียว และปรับจากภาวะกระทิง สู่ภาวะหมีอย่างเต็มตัว โดยมีปัจจัยลบพุ่งกระทบอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปัญหาไข้หวัดนก สถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ และล่าสุด ถูกผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
โดยเฉพาะกรณีการระเบิดรถไฟในสเปน ซึ่งทำให้ทั้งโลกเกิดความหวาดผวาในสถานการณ์ก่อการร้ายอีกครั้ง
นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และแม้จะเข้าสู่ปีใหม่ ก็ยังขายไม่เลิก โดยปี 2546 มียอดขายหุ้นออกสุทธิกว่า 20,000 ล้านบาท แต่ช่วงเวลา 2 เดือนครึ่งในปีนี้ ถล่มหุ้นขายออกมาแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท
การที่ต่างชาติปักหลักขนหุ้นออกมาถล่มขาย เนื่องจากประเมินว่า ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยในปีนี้ไม่จูงใจ เพราะปีที่ผ่านมาหุ้นขึ้นแรงมาก โดยดัชนีฯ ปรับตัวขึ้น 117% ซึ่งถือว่าตอบรับความคาดหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ไปหมดแล้ว
และแม้ว่า เศรษฐกิจปีนี้จะโต 7-8% และผลกำไรบริษัทจดทะเบียนยังขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ แต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะไม่ขยับขึ้นมากนัก
นักลงทุนต่างชาติจึงย้ายเงินไปลงทุนตลาดหุ้นอื่นที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนสูงกว่า
การเทขายของนักลงทุนต่างชาติ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดฮวบลง ซึ่งควรจะต้องนำมุมมองของต่างชาติมาวิเคราะห์ เพื่อหาคำตอบว่า ตลาดหุ้นไทยหมดความสดใสจริงหรือไม่ และมีปัจจัยลบอะไรบ้างที่ทำให้ต่างชาติมีมุมมองที่เปลี่ยนไป
เพื่อเตือนให้นักลงทุนในประเทศระมัดระวังตัว เตรียมรับมือกับปัจจัยลบ
แต่การถอนการลงทุนของต่างชาติ กลับมีความพยายามโน้มน้าวนักลงทุนในประเทศไม่ให้ความสำคัญ มีความพยายามปลุกเร้าให้นักลงทุนในประเทศเกิดความเชื่อมั่น และมีการดำเนินมาตรการหลายด้าน เพื่อกระตุ้นการลงทุนตลาดหลักทรัพย์
ปัจจัยลบต่างๆ ที่พุ่งเข้าตลาดหุ้น ถูกตีความว่า เป็นเพียงผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยดัชนีหุ้นที่ทรุดตัวลงมาจากระดับ 800 จุด เหลือระดับ 700 จุด มีความพยายามแนะนำนักลงทุนว่า เป็นระดับราคาที่ต่ำ เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมมีแต่เสียงเชียร์ให้ซื้อหุ้น ทั้งที่สถานการณ์การลงทุน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ
และความผันผวนรุนแรงของตลาดหุ้น ประเดิมรับสัปดาห์ใหม่เมื่อวานนี้ ก็เป็นสิ่งบอกเหตุที่ดี
ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาจเป็นสิ่งสนับสนุนความคึกคักสดใสในตลาดหุ้น แต่การตัดสินใจลงทุนในขณะนี้ จะยึดเฉพาะปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเป็นตัวแปร
จีดีพีของประเทศไทย ปีนี้จะโตได้ 7-8% ตามที่สภาพัฒน์ทำนายไว้หรือไม่ แม้จะเป็นประเด็นที่สำคัญ แต่ก็ยังมีประเด็นอื่นที่มีความสำคัญมากกว่า
สถานการณ์การเมือง แม้นักลงทุนในประเทศ ยังไม่ให้น้ำหนักความสำคัญ แต่นักลงทุนต่างประเทศ ให้น้ำหนักความสำคัญหรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากที่พรรคไทยรักไทย พ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ที่จังหวัดสงขลา
เสถียรภาพรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มสั่นคลอน ภายในช่วงเวลาเพียง 2 เดือนเศษ ถูกนำไปคำนวณเพื่อตัดทอนดัชนีหุ้นลงไปหรือไม่
สถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ แม้นักลงทุนในประเทศอาจจะรู้สึกชินชา และให้น้ำหนักความสำคัญไม่มาก แต่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ กลับจับตา เพราะถือเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อการท่องเที่ยวและการลงทุน
และสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกโดยตรงล่าสุดคือ การระเบิดรถไฟในสเปน ซึ่งน่าจะเป็นอีกข่าวร้ายที่กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติ ถล่มขายหุ้นออกมาหนักมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญในตลาดหุ้น นักวิเคราะห์หุ้นประเมินไว้ก่อนหน้าว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ไม่ควรจะปรับตัวลงต่ำกว่า 680 จุด หรือเลวร้ายสุด ไม่ควรจะหลุดจากระดับ 650 จุด
แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่เสียแล้ว
เพราะปัจจัยลบและข่าวร้าย กำลังกระหน่ำทั้งจากภายนอกหรือปัจจัยภายในประเทศ
ต่างชาติซึ่งคาดหมายกันว่า เมื่อดัชนีหลุดจาก 700 จุด จะเริ่มชะลอการขาย แต่หลังการก่อการร้ายในสเปน ใครทำนายได้ว่า ต่างชาติจะหยุดขายเมื่อไหร่
การเมืองที่เริ่มจะไม่นิ่ง คะแนนนิยมของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตกฮวบตามดัชนีหุ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดไหน
และสถานการณ์ความรุนแรงภาคใต้ ภายหลังการบึ้มรถไฟในสเปน ใครบอกได้ว่า ต่างชาติจะรู้สึกอย่างไรกับการก่อการร้ายในประเทศไทย และมีความหวาดผวาเพิ่มขึ้นขนาดไหน
ถึงตอนนี้ ฝ่ายที่มองโลกในแง่ดี ต้องทบทวนปรับมุมมองใหม่แล้ว
เพราะตั้งแต่ต้นปี มีแต่เรื่องไม่ดีเต็มไปหมด ตลาดหุ้นจะดีได้ยังไง ยอมรับความจริงเสียทีเถอะ
