หน้า 1 จากทั้งหมด 1

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 22, 2004 8:00 am
โดย greenday-
วันนี้เจอวิศวะจุฬา รหัส 27 เป็นระดับใหญ่พอควรในปูนกลาง บอกว่า จีนประเทศเดียว ป่วนไปหมด เพราะ ทั้งเหล็ก ทั้งปูน ทั้งเรือ มุ่งหน้าเข้าจีนหมดเลย
คุณเจ๋งก็จบวิศวะจุฬาหรือครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 22, 2004 11:46 am
โดย AAA_Thailand
ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

Warren เริ่มซื้อเงินสกุลอื่นๆ(เข้าใจเอาเองว่าเป็น ยูโร เยน และสวิสฟรังก์ เป็นหลัก) มาตั้งแต่ spring 2002แล้วครับ มาจากความกังวลว่า Dollar จะต้องตกเนื่องจาก Triple deficit โดยเฉพาะดุลการค้าและพันธบัตรที่สูงมาก ซึ่งสูงขนาดที่ว่าหากเป็นประเทศอื่นค่าเงินคงโดนโจมตีและลดค่าไปเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจาก US เป็นประเทศที่ทุกคนต้องการถือสกุลเงินเป็นสกุลสำรองทำให้สามารถพิมพ์เงินออกมาไม่จำกัด ประกอบกับความเป็น Super Power(มีคนเคยเปรียบเทียบว่ามากที่สุดหลังจาก Roman Empire) ทำให้ยังสามารถที่จะกู้เงินคนอื่นๆมาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะจากประเทศที่ได้ดุลการค้าคือจีนกับญี่ปุ่น ถ้ามองอย่างง่ายๆก็คือ จีนกับญี่ปุ่นให้ US กู้เงินมาซื้อสินค้าที่ตนผลิต ซึ่งมันจะดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่ความเชื่อมันยังคงอยู่ อันนี้คือมองในแง่ร้ายที่สุดนะครับ แต่ถ้ามองในแง่ดีก็คือ US เป็นประเทศที่มี Innovativeและยืดหยุ่น ค่อนข้างมาก ดังนั้นการค้าขายก็จะขายอะไรที่ใช้สมองคิดเป็นหลักเช่น software ในปัจจุบัน ก็อาจเป็นได้ว่า(แต่อาจจะน้อยกว่า) การค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นนาโนเทคเป็นต้นอาจจะปรับดุลการค้านี้ใหม่ได้ ดังนั้นในระยะสั้นถึงกลางการลดค่าเงินจึงเป็นทางเลือกแรกๆ แต่การลดค่าจะเป็นอย่างไรหากค่อยๆลดให้ทุกประเทศปรับตามก็น่าจะดีกว่า แต่หากเกิดการลดอย่างทันทีทันใดรับรองว่าเกิด recession ทั่วโลกแน่นอน Warren แกเลยเสนอให้ใช้ Import Certificate มาช่วยน่ะครับ ถ้าสนใจลองหาอ่านดูได้ใน ใน Fortune ครับ
มาที่ญี่ปุ่นบ้าง ญี่ปุ่นค่อนข้างชินกับการแข็งค่าของเงินเยนนะครับ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่าเงินเยน 400 เยน= 1 Dollar ครับ แล้วก็แข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆจนสูงสุดที่ ประมาณ 80 เยน(ประมาณปี 95 ) การแข็งค่าของเงินเยนทันทีเมื่อหลัง Plaza Accordนี่แหละครับเป็นสาเหตุให้ไทยบูมอย่างรวดเร็วเมื่อยุคน้าชาติ(ปี 87-88) เนื่องจากการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นเข้ามายัง SEA เพื่อจะยังคงความสามารถในการส่งออกไปยัง OECD ซึ่งตอนนั้นก็คล้ายๆกับตอนนี้ครับที่ราคา Commodityก็สูงขึ้นช่วงหนึ่ง เนื่องจากDemand ของประเทศ SEA ในการสร้างประเทศ ญี่ปุ่นก็กลัวว่าเงินแยนจะแข็งครับสำหรับรอบนี้จึงทุ่มซื้อดอลลาร์ แต่ญี่ปุ่นสามารถทำได้ครับเพราะปัจจุบันสภาพ zero inlation นั้นเหมาะอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลจะพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อซื้อดอลลาร์เก็บครับ
สถานการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้ามสำหรับจีนครับ เนื่องจากประเทศกำลัง boom จากการเป็นฐานการส่งออกสินค้า me too product ไป OECD โดยเฉพาะ US จีนก็ไม่อยากเห็น yuan แข็งหรือดอลลาร์อ่อน เนื่องจากปัจจุบัน Inflation ก็สูงอยู่แล้วหากพิมพ์เงินเพิ่มก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของ Asset Price Bubble ซึ่งปัจจุบันสูงมากอยู่แล้วเมื่อพิจารณาจากราคา Property ในเมืองใหญ่ๆเช่น Shanghai ประกอบกับสภาพของ bank จีนที่ส่วนใหญ่มาจาก Bank รัฐวิสาหกิจ ที่มีปัญหาทั้ง regulatory และการปล่อยกู้ให้รัฐวิสาหกิจที่ประสิทธิภาพต่ำ ก็อ่อนแออย่างยิ่งที่จะรับสภาพหากเกิดเหตุการณ์อย่างเช่นดุลการค้าตกต่ำ(คล้ายๆกับไทยช่วงปี 97 ) อย่างไรก็ตาม จีนมีความพิ้เศษอยุ่หลายอย่าง ความเป็นประเทศยักษ์ มีทรัพยกรอยู่ได้ด้วยตนเอง(Self contain)ในระดับหนึ่ง(เช่นมีน้ำมันเองบางส่วนเป็นต้น) เคยมีนักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanly ประมาณว่า จีนมีแรงงานประมาณ 750 ล้านคน และปัจจุบันมีการอพยพเข้ามาเป็นแรงงานในเมืองเพียงแค่ครึ่งหนึ่งส่วนที่เหลือก็จะมีการอพยพทุกๆปีปีละ 10 ล้านคน ทำให้อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 3 ทศวรรษกว่าแรงงานทั้งหมดจะมีงานทำและสามารถปรับค่าแรงได้ นอกจากนั้นจากความที่มีขนาดใหญ่มาก ประมาณว่า Industrilaiztion ของจีน จะต้องใช้ resources ในการสร้างมากกว่า reconstruction ของ ยุโรปและญี่ปุ่นรวมกันหลังสงครามโลกครั้งที่2 ทำให้อะไรก็ตามที่จีนผลิตไม่ได้เช่น natural resource ต่างๆจะมีราคาสูงขึ้น ส่วนอะไรที่จีนผลิตได้ก็จะมีราคาถูกลง นอกจากนั้นจากการที่มีแรงงานหลือเฟือขนาดนั้นก็คาดว่า จะเกิดการแข่งขันอย่างมากในบรรดาบริษัทของจีนด้วยกันทำให้ Profit Margin จะยิ่งหดลงครับ นี่ยังไม่นับการแข่งขันจากอินเดียทีเริ่มจะเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนจีนในช่วงต้น

จากที่เห็นทั้งหมดเข้าใจว่าคงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนในระดับมหภาคครับแต่จะเป็นเมื่อไรเท่านั้น

อยากได้ความคิดเห็นและข้อมูลจากท่านอื่นเพิ่มเติมด้วยนะครับ