ปู่คิดว่าพยุงรอบนี้ รัฐแพ้แน่(กระเป๋าฉีก) แล้วอะไรจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง
ปู่ฝากให้ช่วยกันคิด
ฝากให้ช่วยกันคิด....ถ้ารัฐพยุงน้ำมันไม่ไหวอะไรจะเกิดขึ้น???
-
ปู่เอง
Postเสร็จ ปู่อ่านข่าวเช้านี้ก็เจอหัวข้อข่าวนี้พอดี
..................................
กองทุนน้ำมันหมดหน้าตัก เตรียมกู้แบงก์พยุงราคาต่อ หอการค้าหวั่นสงครามยืดเยื้อ
รัฐอาจต้องควักถึงหมื่นล้าน วอนชาวบ้านช่วยกันประหยัด
กองทุนน้ำมันกระเป๋าฉีก จ่ายเงินพยุงราคาน้ำมันไปแล้วกว่า 4.3 พันล้าน
ติดลบ 803 ล้านบาท เตรียมยื่นครม.ขอใช้วงเงินโอดีจากแบงก์กรุงไทย-นครหลวงไทย
หอการค้าไทยหวั่นสงครามตะวันออกกลาง หากสงครามบานปลาย น้ำมันพุ่งไม่เลิก
รัฐบาลอาจต้องใช้เงินถึงหมื่นล้านเข้าพยุง
นายศิวะนันท์ ณ นคร ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เปิด
เผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน โดยมี นายพละ สุขเวช เป็น
ประธานการประชุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการกู้เงินจาก
ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน วงเงิน 8,000 ล้านบาท ด้วยวิธีเบิกเงินเกินบัญชี(OD) มีกระทรวง
การคลังเป็นผู้ค้ำประกัน
ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียด
ต่างๆ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติต่อไป ปัจจุบันสถาบันบริหารกองทุนพลังงานได้
ดำเนินการเจรจาเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขในการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยและธนาคารนครหลวง
ไทยไว้แล้ว โดยธนาคารยินดีให้การสนับสนุนวงเงินกู้ไม่เกินแห่งละ 8,000 ล้านบาท โดยคิดอัตรา
ดอกเบี้ย 2.75% หรือตามภาวะตลาด
ปัจจัยสำคัญที่สถาบันต้องเตรียมการกู้เงินดังกล่าว เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกยัง
คงมีความผันผวนสูง โดยสถานการณ์น้ำมันช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเบรนท์ และดูไบ อยู่ที่
ระดับ 31.10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 33.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตลอดจนราคาน้ำมัน
สำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ เบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 43.45 เหรียญสหรัฐต่อ
บาร์เรล และ 37.62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายศิวะนันท์กล่าวว่า หากรัฐไม่ทำการตรึงราคาน้ำมันไว้ ราคาน้ำมันในประเทศ ณ วัน
ที่ 24 มีนาคม 2547 เบนซิน 95 จะอยู่ที่ระดับ 18.67 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 จะอยู่ที่ระดับ
17.98 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 15.03 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ตั้งแต่รัฐบาลได้ใช้
นโยบายตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อวันที่ 10 มกราคม จนถึง วันที่ 24 มีนาคม 2547
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทำการชดเชยไปแล้วทั้งสิ้น 4,300 ล้านบาท และชดเชยก๊าซหุงต้มและ
เงินคืนกรณีอื่นๆ อีกจำนวน 1,119 ล้านบาท โดยกองทุน มีเงินสดสุทธิเท่ากับ 4,616 ล้านบาท
ขณะที่มีภาระต้องจ่ายชดเชยรวมทั้งสิ้น 5,419 ล้าน บาท ส่งผลทำให้ฐานะกองทุนติดลบอยู่ที่
ระดับ 803 ล้านบาท
'จากปัจจัยต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และบรรเทาผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายรัฐบาล สถาบันจึงได้เตรียมเงินสำรอง เพื่อใช้ใน
การตรึงราคาน้ำมันต่อไป ซึ่งผลจากการตรึงราคาน้ำมันที่ผ่านมา ทำให้ราคาสินค้าไม่ได้มีการ
ปรับขึ้นแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนต้องช่วยกัน คือ การประหยัดน้ำมัน เพราะนอกจากช่วย
ประหยัดเงินในกระเป๋าของตนเองแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินค่าน้ำมันที่เราต้องจ่ายให้แก่ต่าง
ประเทศด้วย' นายศิวะนันท์ กล่าว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย
หอการค้าไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส
2 เนื่องจากเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ทั่วโลก วิตกว่าอาจจะเกิด
สงครามตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญของโลก และอาจกระทบให้ปริมาณการ
ผลิตน้ำมันลดลงขณะที่ปริมาณความต้องการใช้สูงขึ้นและเริ่มมีการกักตุน น้ำมันไว้ใช้บ้างแล้ว
หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รัฐบาลอาจต้องใช้เงินกองทุน
น้ำมันเชื้อเพลิงอีก 8,000-10,000 ล้านบาท ในการตรึงราคาน้ำมันต่อไปจนถึงไตรมาส 2 นอก
จากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ(เอฟที) ที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้นช่วงปลายเดือนมิถุนายน
ตามราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งแนวโน้มใน
การขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม จะเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้
'หากราคาน้ำมันแพงขึ้น 1-2 บาทต่อลิตร จะกระทบต่ออัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ
ไทยประมาณร้อยละ 0.5 ดังนั้นการที่รัฐบาลใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯพยุงราคาน้ำมันประมาณ
10,000 ล้านบาท เพื่อตรึงราคาน้ำมันให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ และไม่ให้ประชาชนประสบ
ปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น' นายธนวรรธน์ กล่าว
..................................
กองทุนน้ำมันหมดหน้าตัก เตรียมกู้แบงก์พยุงราคาต่อ หอการค้าหวั่นสงครามยืดเยื้อ
รัฐอาจต้องควักถึงหมื่นล้าน วอนชาวบ้านช่วยกันประหยัด
กองทุนน้ำมันกระเป๋าฉีก จ่ายเงินพยุงราคาน้ำมันไปแล้วกว่า 4.3 พันล้าน
ติดลบ 803 ล้านบาท เตรียมยื่นครม.ขอใช้วงเงินโอดีจากแบงก์กรุงไทย-นครหลวงไทย
หอการค้าไทยหวั่นสงครามตะวันออกกลาง หากสงครามบานปลาย น้ำมันพุ่งไม่เลิก
รัฐบาลอาจต้องใช้เงินถึงหมื่นล้านเข้าพยุง
นายศิวะนันท์ ณ นคร ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เปิด
เผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน โดยมี นายพละ สุขเวช เป็น
ประธานการประชุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการกู้เงินจาก
ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน วงเงิน 8,000 ล้านบาท ด้วยวิธีเบิกเงินเกินบัญชี(OD) มีกระทรวง
การคลังเป็นผู้ค้ำประกัน
ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียด
ต่างๆ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติต่อไป ปัจจุบันสถาบันบริหารกองทุนพลังงานได้
ดำเนินการเจรจาเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขในการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยและธนาคารนครหลวง
ไทยไว้แล้ว โดยธนาคารยินดีให้การสนับสนุนวงเงินกู้ไม่เกินแห่งละ 8,000 ล้านบาท โดยคิดอัตรา
ดอกเบี้ย 2.75% หรือตามภาวะตลาด
ปัจจัยสำคัญที่สถาบันต้องเตรียมการกู้เงินดังกล่าว เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกยัง
คงมีความผันผวนสูง โดยสถานการณ์น้ำมันช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเบรนท์ และดูไบ อยู่ที่
ระดับ 31.10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 33.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตลอดจนราคาน้ำมัน
สำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ เบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 43.45 เหรียญสหรัฐต่อ
บาร์เรล และ 37.62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายศิวะนันท์กล่าวว่า หากรัฐไม่ทำการตรึงราคาน้ำมันไว้ ราคาน้ำมันในประเทศ ณ วัน
ที่ 24 มีนาคม 2547 เบนซิน 95 จะอยู่ที่ระดับ 18.67 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 จะอยู่ที่ระดับ
17.98 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 15.03 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ตั้งแต่รัฐบาลได้ใช้
นโยบายตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อวันที่ 10 มกราคม จนถึง วันที่ 24 มีนาคม 2547
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทำการชดเชยไปแล้วทั้งสิ้น 4,300 ล้านบาท และชดเชยก๊าซหุงต้มและ
เงินคืนกรณีอื่นๆ อีกจำนวน 1,119 ล้านบาท โดยกองทุน มีเงินสดสุทธิเท่ากับ 4,616 ล้านบาท
ขณะที่มีภาระต้องจ่ายชดเชยรวมทั้งสิ้น 5,419 ล้าน บาท ส่งผลทำให้ฐานะกองทุนติดลบอยู่ที่
ระดับ 803 ล้านบาท
'จากปัจจัยต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และบรรเทาผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายรัฐบาล สถาบันจึงได้เตรียมเงินสำรอง เพื่อใช้ใน
การตรึงราคาน้ำมันต่อไป ซึ่งผลจากการตรึงราคาน้ำมันที่ผ่านมา ทำให้ราคาสินค้าไม่ได้มีการ
ปรับขึ้นแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนต้องช่วยกัน คือ การประหยัดน้ำมัน เพราะนอกจากช่วย
ประหยัดเงินในกระเป๋าของตนเองแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินค่าน้ำมันที่เราต้องจ่ายให้แก่ต่าง
ประเทศด้วย' นายศิวะนันท์ กล่าว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย
หอการค้าไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส
2 เนื่องจากเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ทั่วโลก วิตกว่าอาจจะเกิด
สงครามตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญของโลก และอาจกระทบให้ปริมาณการ
ผลิตน้ำมันลดลงขณะที่ปริมาณความต้องการใช้สูงขึ้นและเริ่มมีการกักตุน น้ำมันไว้ใช้บ้างแล้ว
หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รัฐบาลอาจต้องใช้เงินกองทุน
น้ำมันเชื้อเพลิงอีก 8,000-10,000 ล้านบาท ในการตรึงราคาน้ำมันต่อไปจนถึงไตรมาส 2 นอก
จากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ(เอฟที) ที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้นช่วงปลายเดือนมิถุนายน
ตามราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งแนวโน้มใน
การขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม จะเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้
'หากราคาน้ำมันแพงขึ้น 1-2 บาทต่อลิตร จะกระทบต่ออัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ
ไทยประมาณร้อยละ 0.5 ดังนั้นการที่รัฐบาลใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯพยุงราคาน้ำมันประมาณ
10,000 ล้านบาท เพื่อตรึงราคาน้ำมันให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ และไม่ให้ประชาชนประสบ
ปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น' นายธนวรรธน์ กล่าว