หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ใครอ่านเค้าจะคิดอย่างไร หากเค้าไม่รู้ก็คงเชื่อกันหมด

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 06, 2004 7:41 pm
โดย THAI
น้ำมันพุ่งทำ GDP หด 0.22%
แต่ดันกำไรหุ้นพลังงานเพิ่ม

รัฐอั้นไม่ไหว ประกาศขึ้นราคาน้ำมัเบนซินอีก 60 สตางค์ต่อลิตร ทำ GDP ทรุด 0.22% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 7% ในปีนี้ รวมทั้งส่งผลลบต่อหุ้นขนส่งที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานสวนกระแสได้รับผลดีเต็มๆ จากส่วนต่างราคาที่ขยับขึ้น โดยเฉพาะ PTT BCP -SUSCO

* น้ำมันเบนซินพุ่ง 60 สต./ลิตร
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน และการพิจารณาเพดานราคาน้ำมันในประเทศโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ที่ประชุมได้มีมติตกลงจะให้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 91 และเบนซิน 95 ขึ้นอีก 60 สตางค์/ลิตร โดยมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนนี้ (6 พ.ค.) เป็นต้นไป สำหรับในส่วนของน้ำมันดีเซลจะยังคงตรึงราคาไว้เท่าเดิม เพื่อไม่ให้กระทบต่ออัตราค่าส่งสินค้า การคมนาคม และราคาสินค้าทั่วไป
โดยการปรับขึ้นน้ำมันในครั้งนี้ เพื่อสะท้อนราคาที่แท้จริง และประชาชนจะได้ช่วยกันประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยไม่ใช่เรื่องปัญหาของเงินกองทุนน้ำมันแต่อย่างใด และตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 จนถึง ปัจจุบัน รัฐบาลได้ใช้เงินในการตรึงราคาน้ำมันทั้งสิ้น 6,900 ล้านบาท และคาดว่าหากมีการตรึงราคาน้ำมันถึงสิ้นปีจะใช้เงินถึง 10,000 ล้านบาทแน่นอน และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

* กระทบ GDP 0.22% จากที่ตั้งเป้า 7%
สำหรับราคาน้ำมันดีเซลปัจจุบันตรึงราคาอยู่ที่ 2.19 สตางค์/ลิตร เบนซิน 3.10 สตางค์/ลิตร โดยราคาน้ำมันเบนซิน 95 มีราคาอยู่ที่ 16.99 บาท/ลิตร ปรับขึ้นเป็น 17.59 บาท/ลิตร เบนซิน 91 อยู่ที่ 16.19 บาท/ลิตร ปรับขึ้นเป็น 16.79 บาท/ลิตร
ขณะเดียวกัน การปรับราคาน้ำมันขึ้นครั้งนี้ ทางสภาพัฒน์ฯ ระบุว่า จะมีผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) 0.22% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 7% จะเหลือประมาณ 6.78% แต่ยังมั่นใจว่าที่ตั้งเป้าไว้ 8% น่าจะทำได้

* อาจปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในอนาคต
ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ การขึ้นราคาดีเซลจะพิจารณากันต่อไปในอนาคต โดยจะต้องดูการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งหากราคาสูงมากขึ้นเกินที่รัฐบาลจะรับได้ก็คงจะต้องมีการปรับขึ้นราคาบ้าง
ส่วนราคาสินค้าที่ห่วงว่าจะเพิ่มขึ้นนั้น ขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะราคาน้ำมันดีเซลไม่ได้ปรับขึ้น จึงไม่ทำให้มีผลกระทบต่อการขนส่ง อย่างไรก็ตาม จะกำชับกับกระทรวงพาณิชย์อีกครั้ง ให้ระวังพ่อค้าแม่ค้าที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า

* หวั่นราคาพุ่งต่อเนื่อง
นายอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า การที่รัฐบาลอนุมัติปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินล็อตแรก 60 สตางค์นั้น ส่งผลให้ประชาชนต้องรับภาระในการบริโภคน้ำมันแพงขึ้นอีก แต่ผลจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินครั้งนี้เป็นแค่กลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ส่วนภาคอุตสาหกรรมคงไม่ได้ผลกระทบเพราะใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลัก
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอาจจะมีการปรับขึ้นอีกระลอก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของรัฐบาลด้วยหากมีการปรับขึ้นจริงราคาก็น่าจะอยู่ในระดับนี้ เพราะถือว่าเหมาะสมแล้วไม่ควรให้ขึ้นสูงถึง 80 สตางค์หรือมากกว่านั้นเพราะจะส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก
อนึ่ง ขณะนี้กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้าไปชดเชยน้ำมันเบนซิน 95 ที่ 26.52 ล้านบาทต่อวัน เบนซิน 91 ที่ 40.62 ล้านบาท ดีเซลที่ 98.65 ล้านบาท รวมแล้วเฉลี่ยวันละ 165.79 ล้านบาท และ ณ วันที่ 6 พ.ค.2547 รัฐบาลติดลบไปแล้ว 7,939.12 ล้านบาท

* สะท้อนราคาที่แท้จริง
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาดอุตสาหกรรมและน้ำมันหล่อลื่น บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า การปรับเพดานเบนซินขึ้น 60 สตางค์ต่อลิตร ถือเป็นความจำเป็นที่รัฐควรดำเนินการเพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวม
เนื่องจากการตรึงราคาน้ำมันเอา ไว้ไม่สะท้อนตลาดที่แท้จริงโดยปล่อยให้ช่วงว่างต่างมากเกินไปจะยิ่งทำให้คนไทยไม่รู้จักประหยัด ซึ่งหากพิจารณาได้จากช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ไทยจ่ายเงินในการซื้อน้ำมันเข้าประเทศถึง 3.5 แสนล้านบาทจากสิ้นปีที่นำเข้าเพียงระดับ 3 แสนล้านบาทเท่านั้น
"หากมองภาพรวมเมื่อคนไทยใช้น้ำมันมากขึ้นเพราะเห็นว่ารัฐตรึงราคาไทยก็ต้องนำเข้าสูงขึ้น และเชื่อว่าหากไม่ปรับเพดานขึ้นจะทำให้ไทยนำเข้าน้ำมันถึง 4 แสนล้านบาทก็เป็นได้ ซึ่งการจ่ายเงินที่สูงขึ้นเพราะตลาดโลกแพงยังจะมีผลต่อภาวะค่าเงินบาทไทยให้อ่อนตามด้วยเพราะเงินที่ซื้อเราต้องใช้ดอลลาร์ ดังนั้นวิธีนี้น่าจะดีต่อทุกฝ่ายเพราะอนาคตประชาชนเองก็ต้องจ่ายเงินคืนหนี้ที่รัฐชดเชยเอาไว้ นายมนูญ กล่าว
สำหรับราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นอีกด้วยปัจจัยหลักๆ 3 ประการคือ 1. ความไม่สงบจากการก่อการร้ายในหลายๆ ประเทศทั้งจากอิรัก ซาอุดิอาระเบีย และมีทีท่าว่าจะยังคงมีเกิดขึ้นต่อเนื่องทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดค่อนข้างสูง 2. การที่สำรองของสหรัฐลดลงมากขึ้น
และ 3. ในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้จะเข้าสู่ฤดูท่องเทียวของสหรัฐที่จะมีผลต่อการใช้น้ำมันเบนซินมากขึ้นเพราะเป็นช่วง Summer Driving Season ซึ่งจะดันให้ราคาเบนซินมีโอกาสปรับสูงได้เพราะนักเก็งกำไรจะกว้านซื้อเพื่อรอทำกำไรเมื่อความต้องการสูงขึ้นในช่วงเดือน มิ.ย.นี้

* โต้ง เชื่อไม่กระทบการขยายตัว ศก.
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การปรับที่รัฐบาลปรับขึ้นราคาน้ำมันนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แม้ว่าการขึ้นราคาน้ำมันครั้งนี้จะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมานานหลายปีแล้ว ดังนั้น การที่อัตราเงินเฟ้อจะขยับขึ้นบ้างก็ไม่น่าจะมีปัญหาต่อเสรษฐกิจโดยรวม
โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันในตลาดโลกค่อนข้างผันผวนรัฐบาลจึงจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อชดเชยและตรึงราคาน้ำมันในประเทศไม่ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันการปรับขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค แต่ตอนนี้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำให้รัฐต้องใช้เงินกองทุนในการชดเชยจำนวนมาก
ดังนั้น การปล่อยให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาดโลกโดยรัฐบาลลดการชดเชยราคาน้ำมันลง น่าจะเป็นเรื่องดีเพราะทำให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้มากขึ้นและรัฐบาลก็ประหยัดเงินกองทุนชดเชยไปได้ระดับหนึ่ง

* การแข่งขันในตลาดน้ำมันลดลง
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นน่าจะเป็นผลกระทบในเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน เพราะจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มมากขึ้น
โดยการตรึงราคาน้ำมันของภาครัฐ จะทำให้ภาพการแข่งขันด้านราคาน้อยลง และถึงแม้ราคาน้ำมันจะมีผลต่อราคาน้ำมันต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แต่การเพิ่มขึ้นจะมากน้อยแค่ไหนนั้น จะต้องนำมาพิจารณาควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ของบรรดาผู้ประกอบการต่างๆ ด้วยว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ขึ้นมาชดเชยราคาน้ำมันได้มากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจไทยยังดีต่อเนื่อง และน่าจะส่งผลดีต่อบรรดาผู้ประกอบการ ที่น่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในปีนี้ด้วย

* คาดรัฐต้องใช้เงินอีกกว่า 1.2 หมื่นลบ.
บล.เกียรตินาคิน จำกัด ระบุว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้เงินในการตรึงราคาน้ำมันตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 26 เม.ย. รวม 108 วันไปแล้ว 6,560 ล้านบาท หรือวันละ 86 ล้านบาท เป็นการชดเชยเบนซิน 95 วงเงิน 1,231 ล้านบาท เบนซิน 91 วงเงิน 1,973 ล้านบาท ดีเซล วงเงิน 3,354 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ชดเชยลิตรละ 1.84 บาท เบนซิน 91 ชดเชยลิตรละ 1.95 บาท และดีเซล ชดเชยลิตรละ 1.09 บาทต่อลิตร และปัจจุบันกองทุนน้ำมันติดลบอยู่ประมาณ 2,247 ล้านบาท หากรัฐบาลยังจะตรึงราคาเดิมต่อไป คาดว่าคงจะต้องใช้เงินเพื่อการชดเชยไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาทในปีนี้
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกล่าสุด น้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 32.22 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์เบนซิน 95 อยู่ที่ 44.33 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาจาก 1.อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีน, 2.การลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC ลง 1 ล้านบาร์เรล/วัน ที่มีผลมาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 47 ที่ผ่านมา, 3. ปัจจัยในเรื่องของการระเบิดของโรงกลั่นที่สหรัฐ และเหตุไฟฟ้าไหม้โรงกลั่นในญี่ปุ่นทำให้ และ 4. ปัจจัยในเรื่องของความกังวลในเรื่องของการก่อการร้าย


* หุ้นขนส่งหมอง-พลังงานสนใจ
นายชัยสิทธิ์ อนุวงศ์สมบูรณ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประกาศขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 60 สตางค์ ว่าถือเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาระยะสั้นของนักลงทุน ซึ่งทำให้หุ้นกลุ่มขนส่ง และกลุ่มพลังงาน ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ได้รับความสนใจจากนักลงทุนยิ่งขึ้น
โดยหุ้นกลุ่มขนส่ง เช่น TTA PSL จะได้รับผลกระทบในทางลบในการนำเข้าและส่งออก แต่เป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น ทำให้มูลค่าการส่งออกกระทบถึง 10% อย่างไรก็ตามบริษัทต่างๆมีการปรับตัวไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับภาวะตลาดที่สูงขึ้นแล้ว จึงไม่ส่งผลกระทบในระยะยาว

* PTT BCP -SUSCO โดดเด่น

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ประกอบธุรกิจปั๊มน้ำมันจำหน่ายควบคู่ไปด้วย อย่าง PTT BCP -SUSCO จะได้รับผลบวกในการขึ้นราคาน้ำมันโดยตรง ซึ่งในส่วนของ PTT เองถือเป็นบริษัทที่มีช่องทางการจำหน่ายในตลาดค้าปลีกรายใหญ่ ที่จำหน่ายน้ำมันเบนซิน ดีเซล เกือบ 6 พันล้านลิตรต่อปี จึงได้รับผลประโยชน์ จากการขึ้นราคาน้ำมันในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าจะปรับราคาเพดานน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากต้นทุนของน้ำมันเบนซินยังอยู่ที่ 20 บาทต่อลิตร ซึ่งห่างจากราคาน้ำมันปัจจุบันที่อยู่ระดับ 17 บาท และเร็วๆ นี้ คาดว่า แนวโน้มน้ำมันดิบของโลกน่าจะเกิน 40 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งหากมีการปรับเพดานราคาเพิ่มขึ้นจริงก็อาจปรับขึ้นเกือบ 20 บาทตามที่คาดไว้
ด้านนายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินไปในทิศทางเดียวกันว่า การปรับขึ้นราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบในทางลบต่อหุ้นลุ่มขนส่ง ทั้งทางอากาศและทางน้ำ เพราะทำให้มีต้นทุนในการดำเนินงานสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลให้รายได้และกำไรน้อยลง

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบในเชิงบวก คือกลุ่มพลังงาน อาทิ BCP-PTT-SUSCO เนื่องจากเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ย่อมได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจ
ากราคาที่ปรับขึ้นแต่ในระยะยาวจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยเชื่อว่าแต่ละบริษัทมีนโยบายปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าแล้ว


การปรับเพิ่มราคาน้ำมันของรัฐบาลจะไม่ทำให้รายได้ของ PTT หรือโรงกลั่นอื่นๆรายได้เพิ่มขึ้น เพราะ PTT หรือ โรงกลั่นต่างๆใช้ราคา MOP Price ในการขาย ดังนั้นการที่รัฐ ตรึงราคาน้ำมันไม่ให้เพิ่มขึ้น แต่ก็จะต้องจ่าย เงินช่วยเหลือส่วนต่างนี้ให้แก่โรงกลั่นต่างๆ จึงเป็นที่มาของกองทุนน้ำมัน แต่การที่ขึ้นราคาน้ำมันก็แค่เป็นการลดภาระของกองทุนน้ำมันเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำให้รายได้ ของโรงกลั่นต่างๆเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด