หน้า 1 จากทั้งหมด 1

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 01, 2004 2:49 pm
โดย wpong not login
พี่ลูกอีสานครับ ผมคิดว่าการที่หุ้นตัวใดจะเป็น Growth Stock ได้นั้นจะต้องเก่งบวกเฮงครับ คือปัจจัยแวดล้อมอำนวยให้ กลยุทธของบริษัทประสบผลครับ โดยปกติหุ้นประเภทนี้ควรจะอยู่ในระยะเริ่มต้นโครงการซึ่งมีความเสี่ยง หรือยากต่อการคาดเดาสำหรับผู้คนทั่วไป ยกตัวอย่างในอดีตเช่น SHIN ,PTT , PTTEP หรือ STANLY
ผมเห็นว่าหุ้นในกลุ่มนี้ไม่ควรใช้ PE หรือ PBV เป็นตัวประเมินค่า ในเชิงปริมาณควรใช้ NPV หรือ DCF มากกว่าครับ ซึ่งต้องตั้งสมมติฐานหลายๆกรณี
ในเชิงคุณภาพควรประเมินจากคน คือเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร และดูความเป็นไปได้ของโครงการเป็นหลักครับ :oops:

หุ้นที่ผมคิดว่าคุ้มค่าที่เราจะประเมินว่าเป็น Growth Stock หรือไม่คือ
BH , BGH, CP7-11,PL,STA ,SATTEL ...
ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพของ CP7-11
ผมคงต้องมาดูว่ากลยุทธ์ในปัจจุบันจะทำให้ร้านโชวห่วยในอีก 3 ปีข้างหน้า สูญพันธ์หรือเหลือรอดสักกี่เปอร์เซ็นต์ หากสมมติฐานนี้เกิดขึ้นจริงมูลค่าหุ้นบวกกับความโลภของคนจะทำให้มันมีมูลค่าประมาณเท่าไร โดยสรุปแล้วจะใช้ความน่าจะเป็นมาประเมินมูลค่าด้วย
ผมไม่คิดว่าการระดมทุนเป็นปัจจัยที่เราควรนำมาคัดแยกหุ้นออก เนื่องจากประโยชน์ของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทต่างๆ คือลดต้นทุนทางการเงิน และเสริมภาพลักษณ์ของบริษัท ดังนั้นหากผู้บริหารมีคุณธรรม การระดมทุนจึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ลองคิดใจเขาใจเราสิครับ ถ้าไม่ระดมทุนแล้วจะเอาบริษัทที่มีโครงการดีๆเข้าตลาดหลักทรัพย์ทำไม

Growth / Down Stock อีกกรณีหนึ่งควรเป็นหุ้นที่ผลประกอบการในไตรมาสที่กำลังจะประกาศ มีผลกับราคาหุ้นอย่างมาก เช่น FANCY เนื่องจากผู้ถือหุ้นตัวนี้กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจซื้อเพิ่มเพื่อเฉลี่ยราคา หรือขายทิ้ง

ต้องขอโทษพี่ลูกอีสานที่อาจตอบไม่ตรงคำถาม

ผมเชื่อว่าหุ้นเหล่านี้จะมีความเสี่ยงลดลงเมื่อเราศึกษามากขึ้น

ที่เขียนนี่ไม่ได้หมายถึงให้ซื้อตอนราคาแพงนะครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 02, 2004 7:01 am
โดย wpong not login
ผมเคยอ่านกระทู้ที่พีเจ๋งเป็นผู้ตั้ง และพี่ครรชิตสนับสนุนข้อมูล โดยใช้เงื่อนไขว่าบริษัทที่มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี และใน 4 ปีมีกำไรเพิ่มขึ้นมากกกว่า 100 % ปรากฎว่าพี่ครรชิตแสดงข้อมูลพบมี 10 กว่าบริษัท
ผมว่าการที่เราจะหา 10 กว่าบริษัทชนิดนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก :oops:
ผมคิดว่า Growth Stock ยังมีหลายตัวในปัจจุบัน แต่เราควรจะเลือกให้ตรงกับความถนัดของเรา
ผมเลือก PL ครับ โดยสรุปแล้วหุ้นตัวนี้มี Upside Gain สูงในขณะที่ Down side risk ต่ำ ผมไม่กังวลในการถือหุ้นตัวนี้ครับ
อย่างไรก็ตามหุ้นตัวนี้ก็มีข้อเสียบ้างในแง่ของการไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบกับ
EASTWATER ซึ่งเป็น Monopolyสุดๆ
BH ไม่ต้องกังวลเศรฐกิจโลกเลยครับ คงอีกนานที่คู่แข่งจะตามทัน
7-11 ผมว่ามันไม่ใช่ร้านขายสินค้านะครับ มันเป็นช่องทางการตลาดที่ดีที่สุดที่สินค้าใหม่ต้องการ คุณคิดว่าอำนาจการต่อรองตอนนี้เขามีระดับใหนครับ แล้วในอนาคตจะเป็นอย่างไร เขายอมขาย Lotus แต่เก็บ 7-11 ครับ

ปกติผมชอบหุ้นที่มีการใช้ประโยชน์จากกระแสเงินสด และนำกำไรไปสร้างความได้เปรียบเยอะๆ แต่ก็ตกหลุมรัก PL ในราคาแถวๆนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น บางคนบอกว่าที่เขาอยู่ได้เพราะ KBANK ช่วย แต่จะมีสักกี่คนที่ไปดูว่าเมื่อเขาขยายตัวไปรับลูกค้านอกเครือ KBANK ตัว Gross Margin เขาเพิ่มขึ้นเท่าไร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทั้งตลาด และตัวบริษัทเอง ผมคิดว่าราคาที่เขาคิดกับลูกค้าเก่า คิดแบบไม่เอากำไรเท่าไรครับ
อีกอย่างหลายคนกลัวกำไรจากการขายรถจะลด ครับมันอาจลดในบางไตรมาส แต่เราก็สามารถหาต้นทุนของรถโดยประมาณจากอัตราค่าเสื่อมราคาที่บริษัทตั้งไว้ได้ ลองเอาทรัพย์สินถาวรตั้ง หารด้วยค่าเสื่อมราคาและตัดบัญชี ลองทำหลายงวดก็จะพบครับ
งบเขาสะอาดและใช้ประโยชน์ได้เยอะครับ
Operating Lease นี่โกงยาก ไม่เหมือน Hiring Purchase
ผมชอบองค์กรที่มีความกระตือรือล้น :evil:

พี่ลูกอีสานครับผมไม่มีความเข้าใจในธุรกิจสิ่งทอ อีกทั้งบริษัท TRก็ติดตามข้อมูลยาก ปัจจบันก็มีกำลังการผลิตเต็มที่ ธุรกิจหลักแต่เดิมคือ Rayon ก็มีแต่จะเสื่อมถอย ซ้ำรายยังต้องระวังการใช้ Insider อีก ถ้าจะกรุณาช่วยแนะนำวิธีหาข้อมูลของ TR หน่อยครับ :shock:

Egcomp มีข้อดีที่เป็น Cost Plus คือไม่ขาดทุน แต่ผมว่าเลือกทั้งทีน่าจะเลือกบริษัทที่มันเพิ่มราคาได้ตามใจฉัน เช่น BH, RGR น่าจะดีกว่านะครับ เอาแบบ Win Win นะครับ เราชอบกำไร ลูกค้าชอบหรู ชอบเป็น HISO

ก่อนจบขอแนะนำหนังสือชื่อคล้ายๆกับ 13ปี 14นายครับ

ผมว่าการลงทุนมันสนุกก็ตรงที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และได้ใช้จินตนาการนี่หละครับ สำหรับผลตอบแทนในรูปของเงินได้เยอะก็ดี ได้น้อยก็ไม่เป็นไร

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 02, 2004 10:56 am
โดย บุคคลทั่วไป
se-ed ไม่เหมาะที่จะถือครับ ราคาแพงมาก ในขณะที่ net profit มีค่าคงที่ ประมาณ 5% ทุกปี

รอให้ราคาลงมาเหลือ 2.2 ถึงจะน่าสนใจ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 02, 2004 12:18 pm
โดย บุคคลทั่วไป
เป็นสิ่งที่นักลงทุน เสาะแสวงหากันทุกคนครับ

growth/ super growth stock

ปีที่ผ่านมาก็มี กลุ่มเดินเรือ กลุ่มปิโตรเคมี นี่นับว่าเข้าข่าย

เป็นหุ้นที่ไม่เคยมีใครมอง ใครพูดถึงมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว

จากนี้ไปอีกสัก 3-5 ปี มีตัวใด ในกลุ่มใดที่เข้าข่าย ?

กลุ่มเกษตร ? เชื่อว่าน่าจะมี

กลุ่มพานิชย์ ? ก็น่าจะมี

กลุ่มพลังงาน ? ขึ้นมาเยอะ แต่ยังมี

กลุ่มโรงพยาบาล ? มีแน่นอน

กลุ่มอาหาร ? มีโอกาสเหมือนกัน

กลุ่มยานยนต์ ? มีรึเปล่า อาจหลงหูหลงตาได้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 02, 2004 8:43 pm
โดย ชายสี่
MAJOR(+EGV) ครับ
- แทบจะผูกขาดเรื่องโรงหนัง
- ต้นทุนต่ำกว่าเพื่อน
- คงไม่มีคู่แข่งมากกว่านี้แล้ว
- กระแสการดูหนังยังคงเติบโตไปกับเด็กรุ่นใหม่อีกนานแสนนาน
- ปัจจัยที่จะกระทบต่อธุรกิจมีน้อยมากอาศัยการบริโภคภายในเป็นหลัก
- ปิดประตูขาดทุน นอกจากฟองสบู่แตกอีกรอบแต่นั่นคงเจ๊งกันหมดเหมือนกัน

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 03, 2004 12:40 pm
โดย wpong not login
ข้อมูลเกี่ยวกับ TR ที่พี่เขียนมันน่าสนใจดีครับ ผมจะหาโอกาสทำการบ้านภายหลังครับ ติดตามผลงานพี่มานาน ยอดเยี่ยมครับ

พี่มือล่องหนครับ ถ้าได้กลับมาอ่านกระทู้นี้อีกรอบ ช่วยแนะนำวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทที่มีลูกเยอะอย่าง RGR , BGH หน่อยครับ เราจะติดตามผลงานของบริษัทหล่านี้ได้อย่างไรครับ

ผมเสนอข้อมูลส่วนหนึ่งของ PL ที่น่าสนใจ อยากให้พี่ๆช่วยวิเคราะห์หน่อยครับ คือผมลองเอาสินทรัพย์ถาวรซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ให้เช่า หารด้วยค่าเสื่อมและค่าตัดบัญชี ย้อนหลังไป 4ไตรมาสได้ดังนี้ครับ
1/1/04 - 31/03/04 1/10/03-31/12/03 1/07/03 - 30/09/03 1/4/03-31/06/03

18.07 17.81 19.76 23.23 เท่า

ผมเลยคิดไปเองว่ารถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการคิดค่าเสื่อมที่สูงกว่าเดิมมาก ในขณะที่งบกำไรขาดทุน แสดง GPM ที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น รถยนต์งวดนี้เมื่อมีการขายทอดตลาดจะทำกำไรได้มากครับ
:roll:

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 04, 2004 1:21 pm
โดย WPONG NOT LOGIN
พี่มือล่องหน ครับขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
ในส่วนที่พี่เห็นว่า
ส่วน PL นั้นที่ gm เท่าเดิมแต่ค่าเสื่อมแพงขึ้นก็เป็นเพราะจำนวนรถให้เช่ามากขึ้นครับ
ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไรครับ :oops: เนื่องจากมีการคิดค่าเสื่อมเป็นเส้นตรง ดังนั้นถ้านำสินทรัพย์ถาวรทั้งหมดตั้ง หารด้วยค่าเสื่อมหลายๆงวดควรมีอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามผมแค่คิดคร่าวๆอาจผิดพลาดได้ครับ ถ้ามีอะไรแนะนำเพิ่มเติม ยินดีครับ
พี่ลูกอีสานครับ ในฐานะผู้ถือหุ้น ผมไม่ค่อยสนใจอัตราส่วนหนี้ต่อทุน หากกิจการมี Opeating Cash Flow ที่จ่ายดอกเบี้ยได้สบาย แถมสินทรัพย์เป็นรถยนต์ซึ่งมีสภาพคล่องสูง สามารถเปลี่ยเป็นเงินได้เมื่อจำเป็น สำหรับOperating Lease แล้วสินทรัพย์ยังเป็นชื่อของ PL อยู่เสมอ หากเรามองในแง่หลักความจริง ไม่ใช่ในแง่บัญชีรถของ PL ไม่ควรเป็นสินทรัพย์ถาวร
PL อาจไม่ต้องเพิ่มทุนก็ได้ครับหากไม่ต้องการเติบโตก้าวกระโดด เขาสามารถออกหุ้นกู้หลายงวด เพียงแต่จะความคล่องตัวจะต่ำ และอาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ
หาก Kbank ต้องการซื้อจริงผมคงได้ราคาที่ดี เหมื่อนที่มีการวิเคราะห์ในร้อยคนร้อยหุ้นครับ
แต่ผมคิดว่า Kbank คงไม่ซื้อ อีกทั้งไม่ทำ Operating Lease ครับ เพราะมันไม่เหมาะกับ Bank เลย ผมว่าเขาน่าไปทำ Hiring Purchase มากกว่าครับ รายละเอียดจะมาคุยให้ฟังอีกครั้งเมื่อมีโอกาสครับ
ขอบคุณครับสำหรับคำชม ผมคิดว่าหลักการทางบัญชีเน้นไปในทางระมัดระวัง ขณะที่หลักทางการเงิน หรือนักกลยุทธ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น บางครั้งเราอาจต้องมองหลายด้านครับ
คุณนักดูดาวครับ ในประเด็นนี้ผมว่ามันซ่อนคมอยู่หลายเรื่องนะครับ Opeating Lease เป็นงานบริการครับ และมีกำไรมากกว่า Financial Lease ในแง่ที่ได้รับกำไรจากการบริการ ดังนั้นใครๆย่อมอยากได้ แต่ทำไมคนอื่นทำได้ไม่ดีเท่าหละครับ หากใครบอกผมว่า OHTL , BH หรือเป็นนายหน้า คนขายประกันชีวิต ทำง่ายผมคงไม่เชื่อ ในหลักของการตลาดยังแบ่งการขายเป็นการขายคนธรรมดา และการขายองค์กรซึ่งมีความแตกต่างกันพอควร ในความคิดผม ธุรกิจที่เป็น Cost Compettive ไม่ควรมี Net Profit Margin เกิน 10 %
พอดีวันนี้ยุ่งก็เลยเขียนยาวไม่ได้ ผมมีธุระคงเข้าเน็ตไม่ได้อีกหลายวันครับ
ขออภัยนะครับ หากนำลางสาดมาฝากชาวสวนลองกอง :oops:
สำหรับเรื่องน้ำมันปาล์ม ผมคิดว่าส่วนสำคัญได้พูดหมดแล้วในกระทู้ CPI ครับ

ถือหุ้นดีเหมือนไม่ได้ถือหุ้น ยังว่างเปล่าเช่นเดิม

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 04, 2004 4:42 pm
โดย Wpong not login
พี่ STOCKMS ครับ ประเด็นนั้นไม่น่าห่วงเท่าไรครับ
สมมติว่าในบริษัทหนึ่ง ต้องการเช่ารถ โดยท่านประธาน อยากได้ Benz ท่านรองจะเอา BMW ท่านผู้ช่วยจะเอา Volvo แล้วผู้จัดการได้ Toyota ส่วนพวกช่างได้รถ ISUZU คงวุ่นน่าดูถ้าไปติดต่อแต่ละบริษัทเอง แล้ววันหนึ่งมีท่านรองคนใหม่อยากได้ Offroad ถ้าไม่ใช้ Operating Lease ที่เป็น Third Party คงแย่ นี่เป็นเรื่องจริงที่ผมเคยพบมา

สมมติว่ารถหนึ่งคัน PL ได้กำไร 20 % ต่อปี เราลองมาดูว่าคุ้มใหมที่ลูกค้าจะทำ Operating Lease อันดับแรกคาดว่า PL ซื้อรถและซ่อมบำรุงได้ถูกกว่าลูกค้าเอง 10 % และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร ทำประกันภัยอีก 10 % นอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องภาษี หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างเร็ว และทำให้งบการเงินดูดีขึ้นอีกนะครับ

อีกส่วนหนึ่งคือกฎหมายช่วยเหลือเรื่องนี้
1.ภาษี ถ้าลูกค้าซื้อเอง ลดภาษีได้ ไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่ PL ไม่จำกัด
2.สิ่งที่นายจ้างสัญญาว่าจะให้ หรือให้แล้ว เช่นรถประจำตำแหน่ง ไม่สามารถยกเลิกได้ ดังนั้นถ้าไม่เกิดต้มยำกุ้ง ปริมาณรถประจำตำแหน่งไม่ลด

ถ้าจะขาย รอผมกลับมาก่อนครับ วันจันทร์นะครับ

ผมเลือก PL เพราะพอเข้าใจได้
คุณนักดูดาว และ พี่อาย ครับ กลุ่มประกันภัยจัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้ใหมครับ

สำหรับ PL ผมลองคำนวนคร่าว อยากให้เพื่อนๆ พี่ ช่วยดูว่าเวอร์หรือเปล่าครับ
ผมคิดว่า EPS งวดถัดไปคงใกล้เคียงกับงวดนี้ ค่า ROE น่าจะได้สัก 30 % ถ้าเขารักษา ROE ในระดับนี้ และไม่จ่ายปันผล ภายใน 3 ปี ผมควรจะได้รับผลตอบแทนจาก Capital Gain 2 เท่า ถ้านักลงทุนยังยอมซื้อหุ้นที่มี PE ประมาณ 7 เท่า และมี ROE 30%
ไม่รวย แต่ไม่เครียด

พี่มือล่องหนครับ เรื่องภาษีสรรพสามิต ผมเห็นด้วยครับวันจันทร์ช่วยกันทุบหน่อยครับ ผมรออยู่ :twisted:

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 04, 2004 4:48 pm
โดย Wpong not login
ขอแก้ไขครับ พอดีมันเขียนติดกัน ผมไม่ได้หมายถึงให้พี่ Invisible Hand ช่วยทุบนะครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 04, 2004 9:34 pm
โดย โป้ง
นักดูดาว wrote:
ถ้าเกิดการก่อการร้ายขึ้นมากกว่านี้ หุ้นประกันวินาศภัยก็อาจจะเป็น growth stock หรือ speculative stock ได้ครับ โดยเฉพาะบริษัทที่รับงานวินาศภัยใหญ่ๆ เมื่อวันนั้นมาถึง การลงทุนกับหุ้นประกันอาจจะเหมือนกับเล่นรัสเซียนรูเล็ตเลยนะครับ พลาดก็เจ๊ง ไม่พลาดก็รวย
ถึงขนาดที่บอกไว้ ตลาดจะล่วงไปกี่จุดเนี่ย ถึงสภาวะนั้นเศษรฐกิจคงย่ำแย่ ซบเซาอย่างหนัก ไม่มีหลักประกันอะไรให้ความอุ่นใจได้ :cry:

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 12, 2004 4:06 pm
โดย wpong not login
อย่าง Metco จะเรียกว่าอะไรดีครับ
:oops:
Growth Stock
หุ้นดีไม่มีเสื่อม
หุ้นLove
:P

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 27, 2004 5:33 pm
โดย dragonbird
"se-ed ควรจะรอซื้อที่ 2.2 เพราะ net profit 5% ตลอดทุกปี"

ผมว่ามองอย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้องซะทีเดียวนะครับ ลักษณะธุรกิจ อย่าง Hmpro หรือ Se-ed ผมว่าดูที่ net profit อย่างเดียวไม่ได้ครับ เพราะซื้อมาขายไป หนี้ตัวสินค้าไม่ค่อยมี กำไรสุทธิแค่ 5% ก็เยอะแล้วนะครับ (ลองดูเซเว่นสิครับ กำไรกี่เปอร์เซ็นกัน เค้ายังยอมเสียค่าสิทธ์ขอเปิดร้านกันเป็นแถวเลย)

ดังนั้นผมว่าน่าจะพิจารณาที่ตัว growth ของ EPS มากกว่านะครับ ซึ่งหุ้นพวกนี้ Growth จะสูงได้ก็เพราะ
1. จำนวนหุ้นลดลง กำไรสุทธิ เท่าเดิม
2. จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นมากกว่า
3. จำนวนหุ้นลดลง กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น (ถ้าเจอแบบนี้อย่าปล่อยไว้นะครับ)

ทีนี้กำไรสุทธิจะเพิ่มได้ก็ต้องดูกันที่ยอดขายล่ะครับ ถึงแม้ว่า net profit เท่าเดิมแต่ถ้ายอดขายเพิ่มขึ้น 100% EPS ก็เพิ่มขึ้นได้ 100% ใช่ไหมครับแต่ถ้ายอดขายเพิ่มไม่ได้ 100% แต่เพิ่มปีละ 20-25% ผมก็ว่า ใช้ได้ล่ะมั้ง

แต่ผมก็รอให้ลงมาเหมือนกันนะครับ ที่2.2 น่ะ
ลองนึกดูนะครับ ซื้อ 2.2 ปันผล 0.5 บาทต่อปี div เกือบ 25% เชียวนา น้ำลายไหลเลยผม