หน้า 1 จากทั้งหมด 1

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2004 2:43 am
โดย เพื่อนมายู
ขอโทษนะครับหากผมมีความคิดไม่คล้อยตาม
ผมว่าวิธีนี้มีประโยชน์สำหรับคนไม่ค่อยกล้า cut loss มากกว่า โดยให้ค่อยๆปล่อยของออกแล้วปลอบใจตัวเองว่าได้กระแสเงินสดแฝง เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้กล้าขาย (เป็นวิธีเชียร์ขายที่แยบยล...ตามที่คุณนักดูดาวบอก)

คิดดูซิครับ สมมุติซื้อหุ้นตามที่เค้ายกตัวอย่าง KTB มาในราคา 11 บาท พอลงมาถึง10บาท แล้วขายออกส่วนหนื่งซัก10% ถ้าหุ้นลงต่อ ก็ถือว่าโชคดี แล้วคุณมาซื้อคืนที่9.40บาท ถ้าหุ้นชึ้นไปถึง10บาท คุณก็ยังคงขาดทุน แต่ถ้าโชคไม่ดีหุ้นมันดันลงต่อ ก็ซวยซิครับ

สรุปว่าคุณไม่รู้ล่วงหน้าหรอกครับว่ามันจะขึ้นหรือลง เพราะถ้าผมรู้ว่ามันลงแน่ๆ ผมปล่อยหมดเลยครับตั้งแต่ 10.90 แล้วครับ แล้วมาซื้อที่ต่ำที่สุดอาจจะเป็น 2บาทก็ได้ เรื่องจริงก็คือถ้าผมรู้ได้ขนาดนั้น ผมคงไม่ไปซื้อมันตั้งแต่แรกแล้วแหละครับถ้าคิดว่าจะต้องซื้อราคาแพงมาไว้เพื่อขายในราคาถูกกว่าแล้วบอกว่าได้กระแสเงินสดแฝง

แนวคิดทำนองนี้...ผมกลับชอบแนวทางการลดต้นทุนราคาหุ้นจากหนังสือ เซียนหุ้นห่านทองคำ(เล่ม2) มากกว่าครับ ผมว่าปลอดภัยดีกว่า สำหรับเมืองไทย อ่านเล่มนี้แล้วผมชอบครับ ดูมันใกล้ตัวดี

ที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องการเลือกหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม จะปลอดภัยที่สุดครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2004 6:11 am
โดย F
แนวคิดคุณเด่นศรีคือ เน้นมีปริมาณหุ้นในพอร์ตที่มากขึ้นครับ ไม่เดาตลาด มันไปไหนไปตามมัน ถึงแม้บางครั้งซื้อคืนหมดไม่ได้บางส่วน ก็อาจใช้ช่องว่างของตลาดครับ ที่พี่เค้าบอกว่าเป็นความลับ

คนที่จะทำได้ขึ้นอยู่กับแนวคิดและใจครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2004 12:33 pm
โดย เพื่อนมายู
จริงด้วยซิครับ...คุณนักดูดาว....ผมลืมนึกไป
ผมก็เริ่มเห็นด้วยแล้ว.....ใครขายก่อนก็จะยิ่งได้กำไรก่อนจริงๆด้วย
ขอ WG , PL หนักๆเลยครับ ก่อนที่มันจะตกหนักกว่านี้ ลงมา50สตางค์ ก็ให้รีบๆขายเลยครับ เดี๋ยวจะไม่ทัน เพราะมันอาจลงไปเกิน3บาทก็ได้ แล้วค่อยมาซื้อใหม่ แต่ถ้าลงไป3บาทแล้วยังลงต่อ ก็ขายออกมาก่อนอีกทีมันจะลงไปมากกว่านี้อีก......โหหหห คิดๆดู ยิ่งทำยิ่งกำไรนะแบบนี้ มีกระแสเงินสดแฝงเก็บไว้เพียบเลย
ขอ EGCOMPกับ TPC ด้วยนะครับ ( เดี๋ยวจะหาว่ามาเชียร์แต่หุ้นขาดสภาพคล่อง) ผมว่าขายกันออกมาก่อนได้แล้วครับ เพราะมันคงจะลงมากกว่าตอนนี้นะครับ อาจลงเยอะด้วย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2004 4:46 pm
โดย ปู่เอง
ปู่สงสัยใคร่ถามหนึ่งคำถาม
แล้วถ้าเป็นเหมือนยุค1700ลงมา200ล่ะ วิธีนี้จะเหมาะหรือไม่
แล้วถ้าบังเอิญไปเจอหุ้นแบบ fin1 ในอดีตล่ะ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2004 5:24 pm
โดย .
แต่ละคน มีสไตล์ต่างกัน
ยาวิเศษของคนหนึ่ง อาจเป็นยาพิษของอีกคนก็ได้

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 10, 2004 10:14 am
โดย อืมม์
ผมมองว่ามันเป็นกลยุทธ์ในการเล่นแบบไม่ต้องเดาตลาด ซึ่งผลที่ได้ก็คล้าย ๆ กับวิธีอื่น ๆ มันเป็นการบังคับให้รู้จักถือเวลาตลาดขึ้น ไม่เสียหายอะไรที่จะศึกษาแนวคิดแบบต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกันตัวเองครับ น่ายินดีที่ Vi หลาย ๆ ท่านรู้จักเปิดใจให้กว้างไม่ยึดติดว่าวิธีของตัวเองถูกต้องที่สุด แม้แต่นักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลกก็คงไม่คิดว่าวิธีของคนอื่นไม่คู่ควรกันการศึกษาหรอกครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 11, 2004 8:12 am
โดย บุคคลทั่วไป
ถ้าผมตกงาน และมีเงินมากจำนวนหนึ่งก็จะซื้อหุ้นในพอร์ตประมาณ 20 ตัว
แล้วใช้วิธีคุณเด่นศรี รับรองวันๆคีย์แต่คำสั่ง-ซื้อขาย สำหรับตัวผมสนุกครับ คนอื่นไม่รู้คิดแบบนี้หรือเปล่า

ที่คุณ ForrestGump พูดมา ต้องมีช่วงซื้อกลับคืนด้วย โดยซื้อจะต้องถูกกว่าขายไป

บริษัทที่มี market cap. เกินหมื่นล้านขึ้นไป ในปัจจุบัน บอกหน่อยซิครับว่าบริษัทไหนกำลังจะปิดกิจการ (เพราะคุณเด่นศรีแนะนำให้เลือกจาก set50)

ผลประกอบการ กำไร-ขาดทุน เป็นการคาดคะเนกันส่วนใหญ่ในตลาดทุน

ตราบใดหุ้นมีสภาพคล่อง หุ้นตก คุณสามารถหากำไร จากวิธีของคุณเด่นศรีได้แน่นอน แต่ต้องมีเวลาติดตามพอร์ตแบบไม่ต้องลุกไปไหนกันเลย

แต่ไม่ว่าวิธีไหน คุณเด่นศรีบอกไว้แล้ว การลงทุนจะสำเร็จมันอยู่ที่แผน และดำเนินการตามแผนอย่างมีวินัย

ไม่อยากให้ไปว่าวิธีผู้อื่นเป็นการลอกลวง ของเจ้ามือให้รายย่อยขายของถูก ศึกษาและตัดสินใจเองครับ วิธีไหนเลือกเอาเอง

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 11, 2004 10:42 am
โดย บุคคลทั่วไป
ผมเปิดใจรับฟังนะครับ ไม่ได้ต้องการจับผิดอะไร เพียงแต่ว่า

ไม่อยากให้พวกเราคิดว่า ไม่ต้องดูงบ ไม่ต้องดูกิจการ การส่งเสริมจากภาครัฐ และ "Story" ที่เกี่ยวข้องเลย ไม่งั้น หุ้นไม่ดีที่ถูกปั่น แล้วเราไปซื้อจาก"ยอดดอย" นั้น โอกาสที่จะทำกำไร และ แนวโน้มที่มันจะกลับขึ้นมา อาจจะยาก หรือ ไม่มีเลย มันคือ ความ "เสี่ยง"

และอีกอย่าง "ซื้อถูกกว่าตอนที่ขายไป" นั้น เป็นหลักการที่ดี แต่การที่ถ้ากิจการนั้น "ไม่ดี" คุณคิดหรือไม่ว่า มันจะราคาต่ำไปอีกนานแสนนาน ขอให้เลือกหุ้นกิจการที่ดี แล้วซื้อมันที่ต่ำกว่ามูลค่า น่าจะ"ปลอดภัย" กว่า เป็นไหนๆ

ผมเข้าใจว่า ในทางเทคนิคแล้ว เป็นหลักการที่ดีทีเดียว แต่ในทางปฏิบัติ ผมไม่ค่อยแน่ใจ ขอลองศึกษาและลองทำดูก่อนนะครับ

แต่อะไรที่ "ไม่ศึกษา" "ไม่รู้" คือ "เสี่ยง" ครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 11, 2004 10:47 am
โดย บุคคลทั่วไป
อ้อ ลืมพูดไป ที่คุณ เด่นศรีซื้อหุ้น 50 ตัวนั้น ไม่ใช่หุ้นใน Set50 นะครับ อย่าเข้าใจกันผิด เป็นหุ้นที่คุณ เด่นศรีเลือกต่างหาก และคิดว่าคุณเด่นศรีจะเลือกหุ้่นที่ราคาเปลี่ยนแปลง หวือหวา

จริงๆแล้วอยากให้คุณเด่นศรีแสดงหุ้นที่คุณเด่นศรีซื้อจริงๆ เป็นตัวอย่างซัก 5 ตัว ว่าเข้าซื้อเมื่อใด ราคาเปลี่ยนแปลงยังไง และ ได้ "กระแสเงินสดแฝง" ได้อย่างไร เท่าไหร่ แสดงวิธีคำนวนให้ดู จะเป็นที่เข้าใจ และ แบ่งปันความรู้อย่างจริงจังครับ

ขอบคุณครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 13, 2004 9:27 pm
โดย ประจวบ
หนังสือเล่มเดียวกันอ่านแล้วตีความได้ไม่เหมือนกันครับ
ผมอ่านrich dadซัก4-5เที่ยว
ใจความที่ผมว่าเป็นวรรคทองอันนึงคือ
"กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่ตอนขาย"

ถ้ามาประยุกต์กับการซื้อหุ้นคือ
ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากพอควร(=safety margin)
และได้ปันผลแน่นอน ณ.ราคาที่ซื้อ %มากพอโดยไม่สนใจราคาที่แกว่งตัว

ตย.grammyปันผลครึ่งปี0.6 ณ.ราคา15.5 คุณได้ทันที3.8%
grammyปันผลสม่ำเสมอทุก6เดือนมาหลายปี ธุรกิจไม่ค่อยป.ป.มาก
ถ้าเด้งขึ้นก็ได้2เด้ง ถ้าราคาลดลงกว่านี้ซื้อเพิ่มคุณได้%ปันผลมากกว่าเดิม
อันนี้คือกำไรเมื่อซื้อครับ(ปันผลมากกว่าเงินฝากประมาณ5-6เท่า)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 15, 2004 1:42 pm
โดย ประจวบ
ความหมายของอิสรภาพทางการเงิน
คือคุณมีรายได้เข้ามาโดยที่คุณไม่ต้องทำงานอะไรอีกเลยตลอดชีวิต
(ไม่ต้องเอาส่วนทุนมาขายกิน)
และเงินนั้นมีจำนวนมากพอที่ทำให้คุณยังชีพอยู่ได้
โดยมีความสุขพอสมควร

ต่างจากคำว่าwealthหรือมั่งคั่ง
คือถ้าคุณหยุดทำงานแล้วจะอยู่โดยไม่ต้องทำงานได้นานแค่ไหน
(รวมทั้งต้นและเงินที่ไหลเข้ามารวมกัน)

เป้าหมายของเราน่าจะเป็นอิสรภาพทางการเงินครับ
คือสร้างโรงงาน(สร้างเงิน)ที่จะสร้างรายได้เข้ามาสม่ำเสมออย่างมั่นคง
แรกๆเป็นร.ง.เล็กๆ ทำงานเก็บเงินสร้างร.ง.ให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จนร.ง.โตมากพอ ที่ให้รายได้ที่ทำให้เราอยู่ได้โดยไม่ต้องลงไปทำงานอีก
นั่นคืออิสรภาพทางการเงินที่ว่าครับ

แต่จะถึงจุดนี้ได้เร็วช้าแค่ไหน
คุณต้องอย่าให้ค่าmaintenanceชีวิตของคุณสูงจนเกินไป
ไม่อย่างงั้นถมเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเต็มครับ

"ความอยากของคนไม่มีจำกัด จำกัดอยู่แค่จินตนาการณ์เท่านั้น"