หน้า 1 จากทั้งหมด 1

Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 28, 2017 6:12 pm
โดย คนขายของ
ผมเคยเขียนบทความนี้ไว้สักพักหนึ่งแล้ว เผื่อเป็นประโยชน์กับเจ้าของกระทู้ครับ

ที่สุดของ VI
กุมภาพันธ์ 19, 2015 Filed under บทความ Posted by คนขายของ
พัฒนาการ ของการเป็นนักลงทุนนั้นผมเชื่อว่าคล้ายกับช่วงชีวิตของคนเราที่มีรายละเอียด แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ เช่นตอนเป็นเด็กก็ชอบของเล่น เป็นวัยรุ่นก็สนใจเรื่องแฟน โตมาหน่อยก็เรื่องหน้าที่การงาน หรือจะว่าอีกอย่าง พัฒนาการของนักลงทุนคงคล้ายกับวงจรผีเสื้อซึ่งตอนแรกเกิดมาเป็นหนอนแล้วกลาย มา เป็นตัวอ่อน มาเป็นดักแด้ แล้วค่อยกลายมาเป็นผีเสื้อที่สวยงาม ในบทความนี้ผมได้ลองแบ่งพัฒนาการ การลงทุนออกเป็นสี่ระยะด้วยกัน เราลองมาดูกันนะครับว่าแต่ละช่วงมีรายละเอียดเป็นอย่างไรกันบ้าง

พัฒนาการ แรกขอเรียกว่าระยะ “ตั้งหลัก” หากคุณเป็นคนที่เรียนจบมาที่บ้านไม่ได้มีเงินทองมากองให้ ไม่มีกิจการร้านรวงอะไร ส่วนใหญ่หลังจากจบมาแล้วได้ใช้เงินไปกับการเที่ยวเตร่ตามประสาคนเริ่มมี เงินเดือนได้สักปีสองปีก็เริ่มรู้สึกตัวได้ว่าต้องเริ่มเก็บออม ในระยะนี้บางคนเริ่มสนใจลงทุนบ้างแล้วแต่ก็ รู้สึกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นน้อยกว่ารายได้จากการทำงานมากๆ การประหยัดอดออมจึงเป็น หัวใจหลักสำหรับในช่วงนี้ที่จะทำให้มูลค่าพอร์ตเติบโตไปได้ ความรู้ในการลงทุนก็มีไม่มาก ดังนั้นโอกาส ขาดทุนมีสูงมากและอาจจะเป็นตัวฉุดมากกว่าตัวเสริมความมั่งคั่งด้วยซ้ำ

พัฒนาการ ที่สองขอเรียกว่าระยะ “วัยเรียน” ในช่วงนี้หลังจากที่การออมเริ่มเห็นผล จะเป็นช่วงที่นักลงทุน ขยันเสาะหาความรู้เรื่องการลงทุนมากขึ้นเพราะเงินลงทุนก้อนเริ่มใหญ่ขึ้น แต่เนื่องจากความรู้และ ประสบการณ์ยังไม่มาก ผลก็เลยออกมาแบบแพ้ชนะสลับกันไป ได้มาบ้างเสียไปบ้าง ขายตัวนั้นไปได้กำไรมา ซื้อตัวใหม่มากลับขาดทุน ทั้งนี้เพราะยังเห็น “ภาพใหญ่” ของการลงทุนไม่ชัดเจน ยังเหมือนตาบอดคลำช้าง อยู่ มองการลงทุนออกเป็นส่วนๆ ความรู้ที่สะสมมายังไม่ตกผลึก ทำให้ต้องเร่งขวนขวายมากขึ้น รายได้จาก การทำงานกับรายได้จากการลงทุน เริ่มมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน การออมยังคงมีความสำคัญต่อการสร้าง ความมั่งคั่ง

พัฒนาการที่สามขอ เรียกว่าระยะ “เติบโต” หลังจากอดออมมานาน พัฒนาความรู้เรื่องการลงทุนมาพอสมควร เริ่มมีความชำนาญมากขึ้น ไม่ได้ตัดสินใจในการลงทุนด้วยอะไรเพียงอย่างเดียวเช่น ดูเฉพาะค่า PE หรือ ดูเฉพาะเงินปันผลของบริษัท แต่มองภาพรวมของธุรกิจ ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม เริ่มศึกษาประวัติผู้บริหาร ทำการวิเคราะห์บริษัททั้งในแง่อัตราส่วนทางการเงิน และ ความสามารถในการ แข่งขัน พอร์ตเริ่มโตต่อเนื่องยาวนานหลายปี เป็นช่วงสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัว รายได้จาก งานประจำเริ่มมีน้ำหนักน้อยลงมาก บางคนพอร์ตโตมากจนมีอิสระภาพทางการเงินและออกมาเป็นนักลงทุน แบบ “Full Time”

มีหลายๆคนคงคิดว่าที่สุดของชีวิตการเป็นนักลงทุนคงมาหยุดอยู่ ที่ตรงนี้ คือการมีอิสระภาพทางการเงิน และชีวิตก็สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองไปเรื่อยๆ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยมุ่งเป็นพันเป็นหมื่นประมาณนั้น ผมลองศึกษาชีวิตของนักลงทุนชั้นเซียนระดับโลก หลายคนมีชื่อติดหนึ่งในร้อยของอันดับมหาเศรษฐีของโลก เพื่อที่จะดูว่าหลังจากที่เขาสร้างความมั่งคั่งมากมายแล้วเขาทำอะไรกัน?

ผม พบว่าหลายๆท่านยังไม่หยุดอยู่แค่ “การสร้างความมั่งคั่ง” แต่กลับมุ่งสู่พัฒนาการที่ขั้นสี่ ซึ่งผมขอเรียกว่า ระยะ “ทำประโยชน์” อย่างเช่น Warren Buffett ได้เริ่มโครงการ “The Giving Pledge” ในปี 2010 โดยได้ชักชวนมหาเศรษฐีทั้งหลายให้บริจาคเงินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความ มั่งคั่งทั้งหมดเพื่อการกุศล ซึ่งอภิมหาเศรษฐีนักลงทุน Ray Dalio ได้ตอบรับการเข้าร่วมโครงการนี้ หรืออย่าง George Soros เขามีมูลนิธิที่เขาก่อตั้งเองให้การสนับสนุนเงินทุนวิจัยและการศึกษา โดยเน้นประเทศแถบยุโรปตะวันออก ผู้จัดการกองทุนชื่อก้องโลก Peter Lynch ที่นักลงทุนไทยหลายคนรู้จักดี ตอนนี้เขาไม่ได้รับบริหาร กองทุนเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่ให้เวลาส่วน ใหญ่แก่ “Lynch Foundation” ซึ่งเน้นการบริจาคเงินเพื่อ การกุศล

เราจะเห็นได้ว่า “พัฒนาการที่สี่” ซึ่งว่าด้วยการทำประโยชน์แก่ส่วนรวมนั้น ใช้ทักษะที่แตกต่างจาก พัฒนาการในช่วงที่หนึ่งถึงสามเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงที่สี่นี้ นักลงทุนจะต้อง “จ่าย” หรือ “ใช้” ความมั่งคั่งที่อุตส่าห์เก็บออมและลงทุนออกไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับที่เคยทำมาตลอด ทำให้อาจจะมีนักลงทุนบางคนไม่สามารถก้าวข้ามไปถึง “ที่สุด” ของการเป็นนักลงทุนได้ แต่หากเขา ลองพิจารณาให้ดีก็อาจจะเห็นว่า เงินที่หามาได้นั้นจะมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อได้ใช้มันออกไป ในทางที่ถูกที่ควร ไม่เช่นนั้นก็คงกับเหมือนที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “หนังสือที่ซื้อไว้แต่ไม่ได้อ่าน มีดที่แหลมคมแต่เอามาแขวนประดับ เงินทองที่มีแต่ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น สามอย่างนี้มีไว้ก็เหมือนไม่มี ซ้ำยังเป็นภาระต้องคอยดูแลรักษาอีกต่างหาก”

แสดงความเห็น

Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 31, 2017 11:03 am
โดย Linzhichange
กระทู้ดีจังครับ ผมขอตอบแบบนี้แล้วกันครับ

1. แนะนำให้หาหนังสือเกี่ยวกับเรื่อง Positive Psychology อ่านดูครับ น่าจะได้คำตอบครบถ้วน

2. ถ้าไม่มีเวลา ลองดู Mind map สรุปของ Jonathan Haidt ก็อ่านง่ายหน่อย

3. ถ้าให้ผมสรุป
ส่วนตัวผมคิดว่า ชีวิตคนเราต้องหาอะไรทำครับ งานที่ยิ่งทำแล้วมีความหมายยิ่งดี
ส่วนเรื่องลงทุนหาเงิน อิสระภาพทางการเงินอะไรพวกนี้ มันอาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันครับ

สองเรื่องนี้ ถึงจะเกื้อหนุนกัน ต้องแยกกันคิดครับ ถ้าเอามารวมกัน เราจะตัดสินใจผิดได้ง่าย ๆ ครับ