หน้า 1 จากทั้งหมด 2

PL กับ STA ชอบทั้งคู่

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 08, 2004 5:27 pm
โดย ม้าเฉียว
ตอนนี้ผมสนใจหุ้นสองตัวนี้มาก เพราะมองว่าทั้ง 2 บริษัท มีการเติบโตที่น่าพอใจ
PL ผมมองว่าโดดเด่นที่ ROE ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้จะอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง STA ก็มี ROE ที่ก้าวกระโดด จากระดับราคายางพาราที่สูงขึ้น แม้ช่วงนี้ราคาจะลดลงไปบ้าง (ราคาที่ SICOM) และเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถรักษาผลประกอบการในระดับนี้ได้ อย่างน้อยก็อีก 5 ปี ข้างหน้า เพราะหลังจากนี้ Supply ของยางอาจสูงขึ้น จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกในต่างประเทศ

ทั้งคู่มีหนี้มากใช้ได้ PL นั้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ ซึ่งใช้ไปเพื่อซื้อรถ ให้ลูกค้าเช่า ซึ่งดูแล้ว PL น่าจะจัดการได้ไม่ยาก แต่หากต้องการขยายพอร์ตรถอีกอาจต้องเพิ่มทุน ซึ่งผมก็เตรียมเงินไว้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้ว (เผื่อไว้) ซึ่งน่าจะเป็นการเพิ่มทุนที่ส่งผลดีต่อกิจการอย่างยิ่ง
ส่วน STA นั้นหนี้ก็ไม่น้อย แต่ก็ดูไม่เสียงเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์หมุนเวียน ความสามารถในการทำกำไร

เมื่อพิจารณาระดับราคาตอนนี้ ก็ยังไม่นับว่าแพง PL ซื้อขายกันที่ PE ประมาณ 6-7 STA ซื้อขายกันที่ PE ประมาณ 3-4

ส่วนการปันผลนั้นก็ถือว่าดี PL ปีนี้ถ้าโชคดีอาจได้ซัก 3 บาท STA ก็น่าจะอย่างน้อย 4-5 บาท คิดเป็นผลตอบแทนก็สูงเอาการเมื่อเทียบกับราคาในกระดานตอนนี้

แต่ที่ผมยังไม่แน่ใจ คือ ผมยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าบริษัททั้งคู่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ ช่วยผมคิดหน่อย :wink:
และถ้าหากให้เลือกอย่างเดียว จะเลือกลงทุนตัวไหน

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 08, 2004 7:47 pm
โดย บุคคลทั่วไป
หมายเหตุ: ข้อความนี้มีเนื้อหาข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงครับ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณ ส่วนผู้โพสต์ผมขอความกรุณาหลีกเลี่ยงข้อความประเภทนี้ครับ

ในอนาคตจะไม่มีการเตือนล่วงหน้า หากทีม Admin เห็นสมควรจะดำเนินการลบกระทู้ทันที และอาจจะแบนล็อกอินเพื่อป้องกันปัญหา

Administrator
ThaiValueInvestor.com



มีข่าวเกี่ยวกับ PL ค่ะ
Symbol: PL
Headline: การขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์ PL
Time: 8 ส.ค. 2004 18:45:00

การขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (PL)

ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์บริษัท ภัทรลิสซิ่งจำกัด
(มหาชน) "PL" เนื่องจากบริษัทจะทำการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และ บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด มหาชน จะทำคำเสนอซื้อหุ้นไม่เกิน 25,520,762 หุ้น ในราคา 120.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาสูงสุดและต่ำสุดประจำวันไม่ครอบคลุมราคาดังกล่าว

ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 9.51 น. ของวันที่ 9 ส.ค. 2547 เพื่อขยายราคาสูงสุดและต่ำสุดประจำวันให้ครอบคลุมราคาเสนอซื้อดังกล่าว

เพื่อให้หลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถซื้อขายต่อไปได้ตามสภาพความเป็นจริง ตลาดหลักทรัพย์จึงอาศัย อำนาจตามความในข้อ 24 (6) แห่งข้อบังคับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องข้อกำหนด เกี่ยวกับการซื้อขาย การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์จดทะเบียน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2542 เปลี่ยนแปลงราคาสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling and Floor) ของหลักทรัพย์ดังกล่าวบนกระดาน หลักในวันที่ 9 ส.ค. 2547 ให้หลักทรัพย์ PL มีราคาสูงสุดและต่ำสุดไม่เกินสองเท่าจากราคา ซื้อขายครั้งสุดท้ายบนกระดานหลักของหลักทรัพย์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์จึงปลดเครื่องหมาย H หลักทรัพย์ดังกล่าว ตั้งแต่เวลา 11.15 น. ของวันที่ 9 ส.ค. 2547 เป็นต้นไป

ล้อเล่นนะคะ ข่าวนี้ไม่จริงหรอกค่ะ หนูเขียนขึ้นเอง

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 09, 2004 9:52 am
โดย pl
คุณ guest อย่าทำแบบนี้อีกเลยครับ ผมอ่านแล้วเกือบช็อคคคตาย เล่นแรงนะครับ :wink: อ่านไปก็งงครับเพราะผมตามข่าวทุกวัน ไม่เห็นข่าวนี้เลย ทำให้สงกะสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เฮ้อ... โล่งอก

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 14, 2004 8:18 am
โดย guest
ประเด็นของอุปทานที่จะสูงขึ้นเป็นเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อยในอนาคตอีก 4-5 ปีข้างหน้า เพราะการส่งเสริมให้ปลูกยางพาราเพิ่มเติมในหลายพื้นที่ของประเทศ ในประเทศจีน และลาว ซึ่งน่าจะได้เปรียบเพราะมีแรงงานที่จะเข้าไปทำงานในสวนยาง
ไม่รู้ว่าจะมีเทคนิคการผลิตไหนบ้างที่ช่วยลดการใช้แรงงานในการกรีดยาง

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 14, 2004 11:30 am
โดย ม้าเฉียว
จริง Sta เค้าก็ทำสวนยางด้วย แต่เป็นบริษัทย่อย คือ
บริษัท สตาร์เท็กซ์ รับเบอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการสวนยาง โดยมีเนื้อที่สวนยางประมาณ 300 ไร่ ตั้งอยู่ที่จังหวัดตรัง

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 14, 2004 11:44 am
โดย ม้าเฉียว
บริษัทในกลุ่มศรีตรัง
  • บริษัท ประกอบธุรกิจ % การลงทุน
    1. บริษัท รับเบอร์แลนด์ โปรดักส์ จำกัด ผลิตน้ำยางข้น 51.00
    2. บริษัท สยามเซมเพอร์เมด จำกัด ผลิตถุงมือแพทย์ 36.00
    3. บริษัท ไทยเทครับเบอร์ จำกัด ผลิตยางแท่ง STR 33.50
    4. บริษัท หน่ำฮั่วรับเบอร์ จำกัด ผลิตน้ำยางข้น ยางแผ่นรมควัน ยางแก้ว (ADS) 50.00
    5. บริษัท ไทยแทงค์อินสตอลเลชั่น จำกัด ให้เช่าแทงค์เก็บน้ำยางข้นเพื่อการส่งออก 10.00
    6. บริษัท อันวาร์พาราวูด จำกัด ผลิตไม้ยางพาราสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ 70.00
    7. บริษัท สตาร์เท็กซ์ รับเบอร์ จำกัด ดำเนินกิจการสวนยาง 48.16
    8. บริษัท เซี่ยงไฮ้ เซมเพอริท รับเบอร์
    แอนด์ พลาสติก จำกัด ผลิตราวจับบันไดเลื่อน 10.00
    9. บริษัท สะเดา พี.เอส. รับเบอร์ จำกัด ผลิตยางแผ่นรมควัน 50.00
    10. บริษัท พรีเมียร์ซีสเต็มเอ็นจิเนียริ่ง
    จำกัด ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมบริการทำหน้าที่ติดตั้งเครื่องจักรให้แก่โรงงานต่างๆ 39.16
    11. บริษัท สตาร์ไลท์ เอ็กซเพรส ทราน
    สปอร์ต จำกัด ให้บริการด้านการขนส่งแก่บริษัทต่างๆในเครือกลุ่มบริษัทศรีตรัง 18.13
    12. บริษัท เซมเพอร์ฟอร์ม แปซิฟิก จำกัด ผลิตชิ้นส่วนยาง พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมรถไฟ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมไฟฟ้า 40.00
    13. บริษัท เซมเพอร์เฟล็กซ์ เอเซีย จำกัด ผลิตสายไฮโดรลิคแรงดันสูง 40.00
    บริษัท ประกอบธุรกิจ % การลงทุน
    14. บริษัท เซมเพอร์เมด ยูเอสเออิ้งค์ จำกัด จัดจำหน่ายถุงมือใช้ในการแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา 40.75
    15. บริษัท ศรีตรังอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดจำหน่ายยางในประเทศสิงคโปร์ 100.00

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 14, 2004 11:49 am
โดย ม้าเฉียว
ตัว บริษัท สยามเซมเพอร์เมด จำกัด และบริษัทผลิตสินค้าที่ใช้วัตถุดิบยางพารานี้ น่าสนใจจริงๆ เพราะในเวลาที่ราคายางตกต่ำ กำไรของบริษัทย่อยเหล่านี้ก็จะดีขึ้น โดยเฉพาะบริษัท สยามเซมเพอร์เมด จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตถุงมือแพทย์รายใหญ่ที่สุดของไทย และถือว่าเป็นหนึ่งในรายใหย่ของโลก

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 15, 2004 7:56 am
โดย ม้าเฉียว
ที่ท่านนักดูดาวแนะนำมาก็ต้องน้อมรับไว้ แต่ที่ผมสนใจก็คือ พื้นฐานมันกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีอย่างชัดเจนหรือไม่ โดยเฉพาะความสามารถในการลดความผันผวนของธุรกิจ ซึ่งก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์และติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 15, 2004 8:06 am
โดย ม้าเฉียว
STA ในอดีตผลประกอบการจะลุ่มๆดอนๆ และสรางความผิดหวังให้กับใครหลายคน เพราะความผันผวนของราคายาง
แต่ปัจจุบัน

- STA ตั้งบริษัทศรีตรัง อินเตอร์เนชั่นแนล ที่สิงคโปร์ เพื่อทำ Hedging ราคายางพารา ทำให้สามารถขจัดความเสี่ยงจากราคายางพาราผันผวนได้ในระดับหนึ่ง
- หากราคายางสูงขึ้น STA จะขายผลิตภัณฑ์ยางได้ดีและมีกำไรเกิดขึ้นในบริษัทแม่ ส่วนบริษัทลูกอาจจะเผชิญกับภาวะราคาวัตถุดิบสูง กำไรลดลง แต่หากราคายางตกต่ำ กำไรจะไปอยู่ที่บริษัทลูกมากกว่าบริษัทแม่
- การตั้งตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในประเทศ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะรอดไหม) ก็ช่วยให้บริษัทสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง

แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยเสริมบางอย่างเท่านั้น ยังมีความเสี่ยงอื่นๆรออยู่อีกมาก ซึ่งหากบริษัทมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมออกมาให้เราเห็นก็น่าสนใจ

ตอนนี้ผมจึงแค่ VS ไปก่อน ถ้าภาพของการเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นก็จะเพิ่ม port ตัวนี้มากขึ้น

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 15, 2004 4:55 pm
โดย ม้าเฉียว
ที่ท่านนักดูดาวเตือนไว้ถึง ปัญหากระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ติดลบ นั้น เป็นประเด็นสำคัญเลยทีเดียวที่ผมเองก็กังวลอย่างมาก เพราะโดยส่วนตัวผมแล้ว จะใส่ใจกับกับงบกระแสเงินสดมากกว่างบอื่นๆ (ในขณะที่นักลงทุนหลายคนอาจดูแค่บรรทัดท้ายๆของงบกำไรขาดทุนเท่านั้น ซึ่งในที่นี้คงแทบไม่มี เพราะใครที่หลงเข้ามาเว็ปนี้ ก็คงจะค่อยๆซึมซับสิ่งดีๆ อย่างการฝึกดูงบการเงิน ของแนวทางการลงทุนอย่างมีความสุขไม่มากก็น้อย)
เห็นชัดว่า ลูกหนี้การค้า และสินค้าคงคลังของบริษัทสูงขึ้น และต้องรักษาสถานะกระแสเงินสดด้วยการใช้ OD
แต่ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ผมมองว่าในช่วงไตรมาส2-3 ผมจะเพิ่มระดับสินค้าคงคลังมากขึ้น เพราะราคายางในตลาดโลกตอนนี้อ่อนตัวลงมา แล้วเอาไปขายในช่วงปลายปี ที่Supplyของยางจะลดลง เพราะเป็นช่วงหน้าฝนที่กรีดยางไม่ค่อยได้ เพราะยางจะมีน้ำฝนปน ทำให้ยางมีคุณภาพต่ำ จึงน่าจะขายยางได้ราคาดีกว่า
ส่วนประเด็นของลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้นยังนึกหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 17, 2004 5:12 pm
โดย คนสงสัย
สงสัยเรื่องหุ้น PP ที่ยังขายไม่หมดน่ะครับ ตกลงจะเอายังไงกันอ่ะ เหมือนเคยได้ยินว่าการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจะต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น และต้องนำออกขายภายในเวลา 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ พอจะจำได้ว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติขายหุ้น PP ตั้งแต่ 12 กันยายน 2546 มันก็เกินปีมาแล้วหนิ ยังงี้หุ้น PP ที่เหลืออยู่ถือว่าเป็นโมฆะรึเปล่าครับ ใครพอรู้ช่วยตอบด้วยนะครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 18, 2004 1:40 pm
โดย AASHTO
หรือว่า ต้องดูว่า ปริมาณการ stock สินค้า เป็น season รึป่าวครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 18, 2004 2:00 pm
โดย ม้าเฉียว
ถูกต้องครับ
เดี๋ยวผมจะลองคิด Seasonal Index ของยอดสินค้าคงคลังดู

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 11:15 am
โดย บุคคลทั่วไป
คุณนักดูดาวเขียนไว้ว่า
ขอมองต่างมุมในเรื่องการเข้าออกจากธุรกิจ ซึ่งตรงนี้จะส่งผลต่อปริมาณผู้แข่งขัน

ในกรณีทำสวนยางนี่ไม่ใช่เริ่มต้นได้ง่ายและออกได้ง่าย ณ วันนี้หากจะมีผู้ทำธุรกิจสวนยางใหม่ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่หาที่ดิน ต้นพันธุ์ ปุ๋ย ยา ...คือต้องมีความรู้ในการทำการเกษตรมาก และต้องใช้เวลานานกว่ายางจะให้ผลผลิต น้อยคนนักที่อยากเข้ามาทำธุรกิจแบบนี้ เพราะทั้งยาก ทั้งกินเวลานาน

การออกจากธุรกิจ ก็เช่นกันครับ ผมคิดว่า หากเลิกโดยฉับพลัน ก็หาผู้ซื้อธุรกิจมาดำเนินการณ์ต่อยาก (ดังเหตุผลข้างต้น) สินทรัพย์ต่างๆที่ใช้ดำเนินธุรกิจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ซื้อง่ายขายคล่องนัก ทำให้ธุรกิจนี้เลิกยากครับ หากเลิกจริงก็คงต้องเจ็บตัวไม่น้อยทีเดียว

สรุป ผมคิดว่าธุรกิจยาง เข้ายาก ออกยากครับ
ไม่เชื่อค่ะ ถ้าเข้ายากจริง ทำไม นายเท่ง ลุงไข่นุ้ย ตายฉุย ยาย สิน เข้ามาทำธุรกิจสวนยางได้

และถ้าธุรกิจสวนยาง เข้ายากออกยาก ธุรกิจ ทำนาก็ต้องเข้ายากออกยากด้วยสิคะ แล้วทำไม ตามี ยายมา ตาสี ตาสา ถึงเข้าได้

มั่วหรือเปล่าน้อง



:lol:

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 11:48 am
โดย xyz
เห็นด้วยกับคุณ Guest

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 11:49 am
โดย xyz
เห็นด้วยกับคุณ Guest

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 1:57 pm
โดย xyz
คนละประเด็นครับ

การพิจารณาว่าธุรกิจใหนเข้ายากเข้าง่าย จะไม่ใช้ตัวเองเข้าไปตัดสินเพราะตัวเราเองมีข้อจำกัดครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 2:26 pm
โดย ซีดาน
การที่จะบอกว่าเข้ายากง่ายแล้วไปเทียบกับชาวบ้านผมว่ามันไม่ใช่นะครับ
กรณีที่ตาสีตาสา สมมติเดิมทำธุรกิจสวนส้มแล้วอยู่ ๆ จะย้ายถิ่นมาอยู่ภาคใต้แล้วทำสวนยาง ผมว่ายากครับ สรุปผมเห็นด้วยครับว่าหากเพิ่งจะเริ่มทำน่ะ สวนยางทำยากครับ แต่ถ้ามีประสบการณ์อยู่แล้วก็อีกเรื่องนึง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 2:59 pm
โดย เห็นด้วย
การเทียบกับชาวบ้าน ผมว่าก็เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะโดยส่วนใหญ่ชาวบ้านจะเป็นกลุ่มที่มีปัจจัยด้านต่าง ๆ ค่อนข้างน้อย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ที่ดิน ความรู้ และอื่น ๆ

ซึ่งหมายความว่าขนาดมีสิ่งต่างๆน้อย เขายังทำได้ แล้วถ้าเป็นนายทุนมีเงินทองมากมาย มีเงินจ้างแรงงานมากมาย มีเงินจ้างนักวิชาการถ้าเขาขาดความรู้

ถ้าเขาจะทำ เขาจะทำไม่ได้เชียวหรือ

ผมเห็นด้วยกับคุณ xyz ว่าการเอาประสบการณ์ส่วนตัวของเราไปตัดสิน บางทีมันก็ผิดพลาดครับ เพราะเราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง และเราก็ไม่ได้มีทุกอย่างที่จะไปบอกคนโน้นคนนี้ว่าอันนี้ยาก อันนี้ง่าย คนเก่งกว่าเรามีเยอะ คนรวยกว่าเราก็มีเยอะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 3:15 pm
โดย กบน้อย
เยี่ยมครับคุณ xyz ได้ความรู้ใหม่ครับ เมื่อก่อนผมมักจะประเมินโดยเอาตัวเองเป็นเกณฑ์เหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเองได้ออกมาจากกะลาครอบ ( paradagm ) เห็นอะไรมากขึ้นเยอะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 3:26 pm
โดย บูมเมอแรง
สนับสนุนค่ะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 3:38 pm
โดย บูมเมอแรง
คุณสงสัย เขียนว่า
สงสัยเรื่องหุ้น PP ที่ยังขายไม่หมดน่ะครับ ตกลงจะเอายังไงกันอ่ะ เหมือนเคยได้ยินว่าการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจะต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น และต้องนำออกขายภายในเวลา 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ พอจะจำได้ว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติขายหุ้น PP ตั้งแต่ 12 กันยายน 2546 มันก็เกินปีมาแล้วหนิ ยังงี้หุ้น PP ที่เหลืออยู่ถือว่าเป็นโมฆะรึเปล่าครับ ใครพอรู้ช่วยตอบด้วยนะครับ
มีใครทราบใหมคะ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 29, 2004 11:04 pm
โดย คนสงสัย
เอ ผู้บริหาร STA ซื้อตลอดเลยแฮะ ซื้อตั้งแต่ 15 บาท ยัน 40.50
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/result59c.php

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 03, 2004 1:20 pm
โดย abc
ผมคนใหม่ใม่ใช่ก๊วนใคร อย่างที่คุณ xyz กล่าวครับ จริงๆ อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานตัดสินคนอื่น และควรใช้สติกับปัญญาแสดงความคิดเห็น ถ้าใช้อารมณ์มันจะแสดงความโง่เขลาของตนให้ผู้อื่นได้รู้มากขึ้น

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2004 6:52 pm
โดย บุคคลทั่วไป
....อืม...น่าคิด...

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2004 1:14 pm
โดย AASHTO
วันนี้ไปแล้ว sta เย้.....
กำไร รวม 3 ไตรมาส เกิน 10 บาท sure
กำไร รวม 4 ไตรมาส ไม่ต้องพูดถึง
.....
ถึงตอนนั้น ต้องมีคนมาขอซื้อจากเรา แพงๆ
เย้ๆๆๆๆๆ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2004 9:00 pm
โดย ดีใจจัง
ร่วมฉลองด้วยคน เย้ๆ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 08, 2004 10:58 am
โดย xyz
อา....47.50 บาทแล้ว

ดีใจด้วยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 15, 2004 8:49 am
โดย SC9
ราคาจะไปถึงไหนกันนี่ ตอนนี้ก็ 53.50 บาทแล้ว

เล่าเรื่องให้ฟัง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 25, 2004 6:50 am
โดย ผู้ผ่านทางมา
พอดีผมกำลังศึกษาข้อมูลเรื่องสแตนเลย์อยู่แต่บังเอิญผ่านทางมาและพอจะรู้จักเอสทีเอบ้างก็เลยขอเล่าอะไรให้ฟังสักนิดนะครับ ผมคิดว่าเพื่อนๆในห้องนี้คงได้กำไรจากหุ้นตัวนี้ไปหลายคน ก็ควรจะขอบคุณผู้บริหารเค้านะครับ แต่จริงๆแล้วธุรกิจของบริษัทจะดีขึ้นอย่างที่เห็นตลอดไปหรือไม่อยากให้เพื่อนๆมองให้แม่นๆนะครับ เพราะกำไรที่กระโดดมาเนื่องจากผู้บริหารคาดว่ายางราคาจะขึ้นและได้มีการซื้อยางตุนเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ชั่วนิรันดร์นะครับ ส่วนบริษัทลูกก็คงไม่ได้รับผลดีหรือเสียมากมายอะไรในระยะยาวเพราะส่วนใหญ่เป็นธุรกิจรับจ้างผลิต ซึ่งขายแพงกว่าคู่แข่งมากๆไม่ได้นะครับ และถ้าราคายางสูงขึ้นมากบริษัทก็ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นด้วย เช่นจะขายของโวลุ่มเท่าเดิม แต่ราคายางแพงขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์คุณก็ต้องใช้เงินเพิ่มอีกร้อยเปอร์เซ็นต์ในการซื้อวัตถุดิบนะครับ แต่ก็มีข้อดีเหมือนกันเช่นถ้าบริษัทมีเงินสดเหลือเยอะแต่คู่แข่งไม่มี อันนี้ถือว่าส้มหล่นเลยครับ เพราะคู่แข่งจะแพ้ภัยตัวเองทันที แต่ถ้าบริษัทก็ไม่มีเงินแต่ต้องกู้แบงค์มาซื้อวัตถุดิบ บริษัทก็จะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นครับ เพื่อนๆลองไปแกะงบดูนะครับ ผมขี้เกียจแกะเพราะไม่ค่อยชอบธุรกิจที่ไม่มี barrier to entry มันเหมือนกับการขึ้นรถเมล์ แล้วป้ายหน้าเกิดเจอคู่อริ ถ้าเค้ามามือเปล่าเราอาจสู้ได้ แต่ถ้าเค้าเอาปืนมา เราตายครับ ผมขอนั่งรถบีเอ็มกันกระสุนดีกว่าถ้าไม่ซวยจริงก็ไม่ตายครับ แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วถ้าใครมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสแตนเลย์ช่วยโพสไว้บ้างนะครับ