แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง
ผมว่าที่น่ากลัวกว่าน่าจะเป็น"คนไข้"ครับ
ถ้าหมอมีสุขภาพจิต
ความมั่นคงในบุคคลิกภาพ
ตลอดจนprocessในการตัดสินใจ
ไม่ได้มาตราฐาน(ฆ่าตัวตาย)
(ไม่ได้รวมถึงความรู้)
แล้วไปรักษาคนไข้ระยะวิกฤต
โอกาสในการรักษาผิดพลาดจะสูงมาก
ผล........ตาย เจ็บ พิการครับ
ยิ่งผมดูข่าวเรื่อง "หนึ่งอำเภอ หนึ่งหมอ"
คือคัดเด็กในอำเภอทุกอำเภอมาเรียนหมอ
(ไม่ได้ผ่านการต่อสู้คัดคนเก่ง+มีความพร้อมมากที่สุด)
สถิติฆ่าตัวตายของหมออาจจะสูงกว่านี้อีกมาก
รวมถึงคนไข้ด้วยครับ
ถ้าหมอมีสุขภาพจิต
ความมั่นคงในบุคคลิกภาพ
ตลอดจนprocessในการตัดสินใจ
ไม่ได้มาตราฐาน(ฆ่าตัวตาย)
(ไม่ได้รวมถึงความรู้)
แล้วไปรักษาคนไข้ระยะวิกฤต
โอกาสในการรักษาผิดพลาดจะสูงมาก
ผล........ตาย เจ็บ พิการครับ
ยิ่งผมดูข่าวเรื่อง "หนึ่งอำเภอ หนึ่งหมอ"
คือคัดเด็กในอำเภอทุกอำเภอมาเรียนหมอ
(ไม่ได้ผ่านการต่อสู้คัดคนเก่ง+มีความพร้อมมากที่สุด)
สถิติฆ่าตัวตายของหมออาจจะสูงกว่านี้อีกมาก
รวมถึงคนไข้ด้วยครับ
ผมจบแพทย์ทั่วไปจากศิริราชมา24ปี(เอา2คูณเป็นอายุพอดี)
ตอนเรียนหนักมากครับเพราะหมอมีน้อย
คือเรียนกลางวันกลางคืนอยู่เวรตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์
ตึกที่เรียนหนักสุดคือแผนกเด็ก
อยู่เวรวันเว้นวัน รับคนไข้ ทำlabเอง รายงานอจ.ตอนเช้า
(ผมหลับตอนlectureแทบทุกช.ม.)
กว่าจะจบเลือดตาแทบกระเด็น
ตอนเรียนมีความรู้สึกเป็นส่วนเกิน
คือเค้าไม่มีเราเค้าก็รักษาคนไข้กันไป(เราไปเรียน)
แต่พอจบมาเป็นinternผมออกมาบ้านนอก(จันทบุรี)
เพราะตั้งปณิธานไว้แล้วว่าไม่อยู่กรุงเทพ
ความรู้สึกเปลี่ยนไปครับ
ลุยทุกรูปแบบ อยากรักษายังไงว่ากันไปเลย
สต๊าฟเป็นแค่consultance
คือถ้ามีปัญหาตามเค้าได้
เค้าคอยรับผิดชอบให้(เพราะยังไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์)
จำได้ว่าผ่านสูติ2เดือนผ่าc\sคลอดไปซัก40รายได้
งานหนักกว่าตอนเป็นนักเรียนครับ
แต่มันมาก เลยไม่ค่อยเหนื่อย
แถมได้เงินเดือนด้วย(เดือนละ3500 ค่าเวร400)
รู้สึกสนุกที่สุดเพราะยังไม่มีภาระอะไร
พอจบมาทำงานที่ร.พ.จ.ตราด
สมัยนั้นเป็นรพ.เล็กๆครับมีหมอแค่10+คน
ไม่มีหมอเฉพาะทางเลย
ได้ทำงานเต็มที่ แต่ความรับผิดชอบสูงขึ้น
เพราะคนไข้อยู่ในมือเราคนเดียว
หนังสือ+ประสบการณ์ เป็นครูที่ดีที่สุดครับ
อาชีพหมอตรวจสอบกันลำบาก
เพราะเราดูแลคนไข้อยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว
ถ้าไม่consult หมออื่นเค้าก็ไม่มายุ่งด้วย
ในช่วง1-2ปีแรกคนไข้คือครูของหมอทุกคน
ต้องให้หมอลองวิชา
ถ้าหมอความรับผิดชอบไม่ดี ความรู้แย่ การตัดสินใจแย่
คนไข้ซวยครับ
ตอนเรียนหนักมากครับเพราะหมอมีน้อย
คือเรียนกลางวันกลางคืนอยู่เวรตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์
ตึกที่เรียนหนักสุดคือแผนกเด็ก
อยู่เวรวันเว้นวัน รับคนไข้ ทำlabเอง รายงานอจ.ตอนเช้า
(ผมหลับตอนlectureแทบทุกช.ม.)
กว่าจะจบเลือดตาแทบกระเด็น
ตอนเรียนมีความรู้สึกเป็นส่วนเกิน
คือเค้าไม่มีเราเค้าก็รักษาคนไข้กันไป(เราไปเรียน)
แต่พอจบมาเป็นinternผมออกมาบ้านนอก(จันทบุรี)
เพราะตั้งปณิธานไว้แล้วว่าไม่อยู่กรุงเทพ
ความรู้สึกเปลี่ยนไปครับ
ลุยทุกรูปแบบ อยากรักษายังไงว่ากันไปเลย
สต๊าฟเป็นแค่consultance
คือถ้ามีปัญหาตามเค้าได้
เค้าคอยรับผิดชอบให้(เพราะยังไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์)
จำได้ว่าผ่านสูติ2เดือนผ่าc\sคลอดไปซัก40รายได้
งานหนักกว่าตอนเป็นนักเรียนครับ
แต่มันมาก เลยไม่ค่อยเหนื่อย
แถมได้เงินเดือนด้วย(เดือนละ3500 ค่าเวร400)
รู้สึกสนุกที่สุดเพราะยังไม่มีภาระอะไร
พอจบมาทำงานที่ร.พ.จ.ตราด
สมัยนั้นเป็นรพ.เล็กๆครับมีหมอแค่10+คน
ไม่มีหมอเฉพาะทางเลย
ได้ทำงานเต็มที่ แต่ความรับผิดชอบสูงขึ้น
เพราะคนไข้อยู่ในมือเราคนเดียว
หนังสือ+ประสบการณ์ เป็นครูที่ดีที่สุดครับ
อาชีพหมอตรวจสอบกันลำบาก
เพราะเราดูแลคนไข้อยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว
ถ้าไม่consult หมออื่นเค้าก็ไม่มายุ่งด้วย
ในช่วง1-2ปีแรกคนไข้คือครูของหมอทุกคน
ต้องให้หมอลองวิชา
ถ้าหมอความรับผิดชอบไม่ดี ความรู้แย่ การตัดสินใจแย่
คนไข้ซวยครับ