ผมดูงบ tkt ดูชอบกล ขอความคิดเห็นด้วยครับ
ผมดูงบ tkt ดูชอบกล ขอความคิดเห็นด้วยครับ
อันนี้ต้อง บอกว่าผมก็ไม่แน่ใจ น่ะ งูๆปลาๆ แต่ ดูแล้วดูอีก ก็ไม่น่าจะผิดได้ ถ้าผิดพลาด ประการใด โปรด บอกกล่าวด้วยครับ
คือ ครึ่งปี47 ในไฟลิ่ง เวปของsec.or.th บอกว่า มีกำไร 16 ล้านบาท แต่พอมาดูตรงกำไรต่อหุ้น กลับ บอกว่า 0.48 บาทต่อหุ้น ซึ่ง เดิมก่อนทำไอพีโอ ก็เห็นๆอยู่ว่ามี 168 ล้านหุ้น หลังไอพีโอ มี 208 ล้าน หุ้น ผมก็อุตส่า เอา ทุนเดิมมาคิด มันก็ ได้แค่ 0.095 บาทต่อหุ้นเท่านั้น
แล้ว ยัง ราคา ไอพีโอ อีก ปีนี้ ครึ่งปี ได้กำไรแค่ 16 ล้าน ผมให้ทั้งปี ไปเลย 45 บาท ก็จะได้กำไรต่อหุ้น 0.216 บาทต่อหุ้น รวมหุ้นใหม่ด้วย พีอี กลุ่มตอนนี้ ประมาณ 10 ถึง 12 เท่า เห็นจะได้ มั้งไม่ได้คำนวน แล้วคิดดู ว่า ตั้งไอพีโอไปได้ ไง งงงงงง คร้าบ
แต่ที่สำคัญคือ ไอ้ กำไรต่อหุ้น ครึ่งปี47 หน่ะ 0.48 บาท มันมาได้ไง ถ้าผมผิดก็ดีไป แต่ถ้า ....... หลอกลวงประชาชน เลยน่ะครับ นี่
คือ ครึ่งปี47 ในไฟลิ่ง เวปของsec.or.th บอกว่า มีกำไร 16 ล้านบาท แต่พอมาดูตรงกำไรต่อหุ้น กลับ บอกว่า 0.48 บาทต่อหุ้น ซึ่ง เดิมก่อนทำไอพีโอ ก็เห็นๆอยู่ว่ามี 168 ล้านหุ้น หลังไอพีโอ มี 208 ล้าน หุ้น ผมก็อุตส่า เอา ทุนเดิมมาคิด มันก็ ได้แค่ 0.095 บาทต่อหุ้นเท่านั้น
แล้ว ยัง ราคา ไอพีโอ อีก ปีนี้ ครึ่งปี ได้กำไรแค่ 16 ล้าน ผมให้ทั้งปี ไปเลย 45 บาท ก็จะได้กำไรต่อหุ้น 0.216 บาทต่อหุ้น รวมหุ้นใหม่ด้วย พีอี กลุ่มตอนนี้ ประมาณ 10 ถึง 12 เท่า เห็นจะได้ มั้งไม่ได้คำนวน แล้วคิดดู ว่า ตั้งไอพีโอไปได้ ไง งงงงงง คร้าบ
แต่ที่สำคัญคือ ไอ้ กำไรต่อหุ้น ครึ่งปี47 หน่ะ 0.48 บาท มันมาได้ไง ถ้าผมผิดก็ดีไป แต่ถ้า ....... หลอกลวงประชาชน เลยน่ะครับ นี่
ทราบ ที่มาแล้วครับ เป็นการใช้ กลเม็ด นิดหน่อย ครับ จริงๆหุ้นมัน พาร์1บาท แต่ ในงบการเงิน ดันกวนบาทา ครับ ดันไปทำจำนวนหุ้น ที่เอาไปหารกำไร 33 กว่าล้านหุ้น นั้น ก็คือ ตอนพาร์ 5 บาท ครับแถมไม่ได้ เอาหุ้นไอพีโอมาคิดด้วย จริงๆต้องปรับ พาร์เปน1บาทแล้วค่อยคิด เพราะมีการเปลี่ยนพาร์แล้ว แต่ ในงบ ไตรมาส 2 ก็ยังใช้ พาร์ 5 อยู่ ครับ ตัวเลข เลยเป็นเช่นนี้
อยากให้ IPO ที่กำลังจะออกมาตัวต่อ ๆ ไป ขายไม่ออกบ้างจังเลยครับ
ชอบตั้งราคา IPO ซะสูงลิ่ว แต่งตัวเลขให้กำไรเยอะ ๆ ก่อนเข้าตลาด
ผมมันก็ดันเป็นพวกชอบวิเคราห์โดยเน้นตัวเลขด้วย
รู้ทั้งรู้ว่าบริษัทเข้าใหม่เชื่อถือไม่ค่อยได้แต่ก็อดไม่ค่อยได้เวลาเห็น
p/e, p/bv ต่ำ ๆ
อย่างแมงป่องตอนแลกนี่ชอบมากเลย
พอมาอ่านเจอว่ากำไรก่อนเข้าตลาดใช้การตัดจ่ายลิขสิทธิ์
แบบห้าปีเท่า ๆ กัน แต่พอเข้าตลาดแล้วจะตัดจ่าย 3 ปี ปีแรก 55%
เนี่ยไม่อยากจะวิเคราะห์ต่อเลยครับ
ชอบตั้งราคา IPO ซะสูงลิ่ว แต่งตัวเลขให้กำไรเยอะ ๆ ก่อนเข้าตลาด
ผมมันก็ดันเป็นพวกชอบวิเคราห์โดยเน้นตัวเลขด้วย
รู้ทั้งรู้ว่าบริษัทเข้าใหม่เชื่อถือไม่ค่อยได้แต่ก็อดไม่ค่อยได้เวลาเห็น
p/e, p/bv ต่ำ ๆ
อย่างแมงป่องตอนแลกนี่ชอบมากเลย
พอมาอ่านเจอว่ากำไรก่อนเข้าตลาดใช้การตัดจ่ายลิขสิทธิ์
แบบห้าปีเท่า ๆ กัน แต่พอเข้าตลาดแล้วจะตัดจ่าย 3 ปี ปีแรก 55%
เนี่ยไม่อยากจะวิเคราะห์ต่อเลยครับ
คล้าย ๆ กับการตัดค่าเสื่อมราคาน่ะครับ
ประมาณว่าซื้อลิขสิทธิ์หนังมาเรื่องนึงที่ราคา 100 ล้านบาท
ถ้าเลือกตัดจ่ายห้าปีเท่า ๆ กัน
ปีแรกก็จะมีต้นทุนขาย 20 ล้านบาทของหนังเรื่องนั้น
80 ล้านบาทที่เหลือจะบันทึกเป็นสินทรัพย์
แต่ในความเป็นจริงยอดขายของหนังใหม่มันขายได้มากแค่ปีแรกเท่านั้น
ปีที่ 5 คงขายแทบไม่ได้ เว้นแต่มีหนังภาคใหม่ออกมา ซึ่งจะช่วยกระตุ้น
ยอกขายภาคแรกด้วย
ช่วงปีที่ผ่านมาะธุรกิจ vcd โตค่อนข้างมาก การเลือกตัดค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์
ในปีแรกแค่ 20% เลยทำให้กำไรของแมงป่องเห็นแล้วน่าตกใจมาก
ค้านกับความรู้สึกของผมเวลาเห็นร้านแมงป่องตามห้าง
(หนังของแมงป่องที่ขายในร้านของตัวเองยังแพงกว่าที่ขายในร้านอื่นอีก)
เมื่อไม่สมเหตุสมผล เค้าจึงเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชี เป็นตัดค่าลิขสิทธิ์
เป็นค่าใช้จ่ายในปีแรก 55% ปีที่สอง 30% และปีที่สาม 15%
ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำไรในปีหน้าลดลงพอสมควร
ข้อมูลส่วนใหญ่ผมเอามาจากบทวิเคราะห์นะครับ อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้
ประมาณว่าซื้อลิขสิทธิ์หนังมาเรื่องนึงที่ราคา 100 ล้านบาท
ถ้าเลือกตัดจ่ายห้าปีเท่า ๆ กัน
ปีแรกก็จะมีต้นทุนขาย 20 ล้านบาทของหนังเรื่องนั้น
80 ล้านบาทที่เหลือจะบันทึกเป็นสินทรัพย์
แต่ในความเป็นจริงยอดขายของหนังใหม่มันขายได้มากแค่ปีแรกเท่านั้น
ปีที่ 5 คงขายแทบไม่ได้ เว้นแต่มีหนังภาคใหม่ออกมา ซึ่งจะช่วยกระตุ้น
ยอกขายภาคแรกด้วย
ช่วงปีที่ผ่านมาะธุรกิจ vcd โตค่อนข้างมาก การเลือกตัดค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์
ในปีแรกแค่ 20% เลยทำให้กำไรของแมงป่องเห็นแล้วน่าตกใจมาก
ค้านกับความรู้สึกของผมเวลาเห็นร้านแมงป่องตามห้าง
(หนังของแมงป่องที่ขายในร้านของตัวเองยังแพงกว่าที่ขายในร้านอื่นอีก)
เมื่อไม่สมเหตุสมผล เค้าจึงเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชี เป็นตัดค่าลิขสิทธิ์
เป็นค่าใช้จ่ายในปีแรก 55% ปีที่สอง 30% และปีที่สาม 15%
ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำไรในปีหน้าลดลงพอสมควร
ข้อมูลส่วนใหญ่ผมเอามาจากบทวิเคราะห์นะครับ อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้