หัดทำสมาธิครับ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhichange
User
กระทู้: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm

โพสต์ โดย Linzhichange » พุธ ก.ค. 25, 2007 7:43 pm

ขอเสริมแล้วกันนะครับ คุณ 007 ตอบได้ละเอียดดีจริง ๆ ผมไม่รู้แทรกยังไง ก็ขอเล่าเป็นภาพรวมแล้วกัน

สมาธิ เป็นเพียงอุบาย หนึ่งของกรรมฐาน

ซึ่งกรรมฐานมีอยู่ 2 ประเภท
1. สมถะกรรมฐาน ฝึกเพื่อให้ถึงฌาน ซึ่งมีมาก่อนสมัยพระพุทธองค์ตรัสรู้เสียอีก อาจารณ์ของพระพุทธองค์ทั้งสองท่าน ก็ฝึกเข้าฌาน แต่สุดท้ายพระพุทธองค์เห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เพราะเหมือนกับเอาก้อนหินทับหญ้า เมื่อใดที่เอาก้อนหินออกไป หญ้าก็กลับมาขึ้นอีกร่ำไป ตัวอย่างที่เห็นทั่วไป คืออานาปานสติ แบบพุทโธ กำหนดหายใจเข้าออก ๆ ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิ ไม่ใช่ตั้งอยู่บนสติ

การเข้าฌานระดับสูง จะได้ขึ้นไปสูงสุดที่ชั้นอรูปพรหม เสวยชาติพรหม 84000 มหากัปต์ แต่ยังคงต้องวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฎอยู่ เหมือนหินทับหญ้า แม้หินจะทับหญ้านานเพียงใด การยกหินออก ก็ทำให้หญ้า(ความทุกข์) โตขึ้นมาได้อยู่ดี

2. วิปัสสนากรรมฐาน ฝึกเพื่อให้ถึงญาณ ซึ่งเป็นเส้นทางสู้นิพพาน ถ้าถึงญาณชั้น 16 จะบรรลุโสดาบัน และถึงญาณ 16 สี่ครั้ง ก็จะเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสทั้ง 6 ทวาร และบรรลุมรรคผลนิพพาน แนวคิดคือตั้งอยู่บนสติทั้งสี่

วิปัสสนากรรมฐาน การตั้งอยู่บนสตินั้น เราทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น คือให้รู้สิ่งที่เข้ามากระทบทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การรู้เท่าทันนี่เอง คือการดับกิเลส เพราะกิเลสสามารถเข้าหาเราได้จากหกทวารนี้เท่านั้น

ฝึกได้ทั้งสองอย่างครับ และขอยืนยันว่าดีทั้งสองอย่าง แต่โดยปกติ ถ้าฝึกเอง คนเราจะเข้าใจฝึกเป็นสมถะกรรมฐาน การฝึกวิปัสสนากรรมฐานต้องมีวิปัสสนาจารย์เพื่อสอบอารมณ์ (อย่างน้อยก็ครั้งแรก)

สุดท้าย ผมก็แนะนำให้ไปปฏิบัติตามที่ ๆ มีวิปัสสนาจารย์ ใช้เวลา 3-7 วัน ในระยะเริ่ม คุณจะได้วิชาของพระพุทธองค์ ที่ยิ่งใหญ่ และอัศจรรย์



ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhichange
User
กระทู้: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm

โพสต์ โดย Linzhichange » พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2007 9:32 pm

ผมชื่อหลินจือ ครับ อ่านแบบภาษาจีน แต่อ่านแบบไทยว่าลิ้นจี่ก็ดีเหมือนกัน น่ารักดี  :lol: แล้วพี่ 007 ผมน่าจะเป็นรุ่นน้อง อีกทั้งยังอ่อนด้อยทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ แต่บางเรื่องที่พอมีความรู้ ก็อยากจะเผยแผ่ให้พี่น้องในเวปนี้

ขอแจมเรื่องความทุกข์ก่อน
เวียนว่ายตายเกิดมีแต่ความทุกข์ครับ ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่าความสุขมันสั้นนิดเดียวจริง ๆ ผมลองยกตัวอย่างตัวผมเองดู
: วันสอบเอ็นทรานส์ พอเราพยายามแสนสาหัส เครียด และทุกข์ใจ
     :สอบได้ก็แสนจะมีความสุข เลี้ยงฉลองกันทั้งบ้าน
         : แต่พอเรียนไปทั้งยากและเครียด ก็กลับมาทุกข์อีกแล้ว (บางคนถึงกับทำอัตตวิบาตกรรม ฆ่าตัวเอง)
     : พอเรารับปริญญา ได้รับเกียรตินิยม เราก็มีความสุขเหลือหลาย เลี้ยงฉลองกันอีกแล้ว
         :แต่พอหางานทำงานไม่ได้ดั่งใจ ก็กลับมาทุกข์อีกแล้ว แทบจะลืมความสุขที่ได้รับตอนเอนทรานซ์หรือตอนรับปริญญาเลย
ยังมีความทุกข์และความสุขในชีวิตครอบครัว การงานอีก (ลองอ่านประวัติคุณฐิตินาถ ในเข็มทิศชีวิต จะเห็นภาพมากครับ สำหรับเรื่องนี้) มันเป็นวัฎสงสาร แบบย่อย ๆ อย่างที่พี่ 007 ว่าไว้

อันนี้เป็นภาพสั้นมาก ๆ เลยครับ ถ้ามองภาพใหญ่ ๆ บ้าง

เราเกิดมาในภพมนุษย์ พบทั้งสุขและทุกข์ (อย่างที่ยกตัวอย่างข้างบน) แต่ถ้าเราทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เราก็อาจจะเกิดไปเป็นเทวดา หายตัวไปไหนก็ได้ แสนจะสบาย (แต่ก็ต้องมีทุกข์ ซึ่งมีหลายตัวอย่างเรื่องราวในชาดก) แต่บางครั้ง เทวดาทำบาปกรรม ก็ต้องรับวิบาก เกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นอสูรกาย ซึ่งก็ทุกข์อีก เฮ้อ ....

มันวนเวียนแบบนี้แหละครับ วิบากกรรม ตามเรามาทุก(ข์)ชาติทุก(ข์)ภพ วิบากดีอาจจะช่วยให้เรามองไม่เห็นและไม่เจอทุกข์ ไม่เข้าใจอริยสัจ 4 แต่สุดท้ายเราก็ต้องเจอ

ขนาดผู้ที่มีบุญบารดั่งเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็เจอเทวดาทั้งสี่ คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย จนเห็นความทุกข์ และเดินทางแสวงหาทางพ้นทุกข์ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
       เราเป็นเพียงบุคคลที่มีบุญบารมีเพียงกระผีกเดียว
       เราจะไปหลีกหนีความทุกข์ได้อย่างไร



ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhichange
User
กระทู้: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm

โพสต์ โดย Linzhichange » พฤหัสฯ. ก.ค. 26, 2007 10:02 pm

เรื่องฌานกับญาณ ผมอยากแค่อธิบายตามควร เพราะอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ถ้าไม่ได้ลองปฏิบัติ (และผมก็ไม่ได้เขียนให้อ่านเข้าใจง่ายขนาดนั้นด้วย  :oops: )

- ฌานคือสมาธิแบบดำดิ่งครับ การนั่งสมาธิแบบท่องพุท ... โธ ... กำหนดลมหายใจ คือการทำให้จิตเข้าสมาธิ ซึ่งสมาธิที่สูงมาก ๆ ทำให้เราสงบ ทำให้เราสบาย

ถ้าใครเคยอ่านสังสารวัฎและภพภูมิ จะเห็นว่าเวลาของเทวดานั้นยาวนานกว่ามนุษย์มากนัก คนที่นั่งสมาธิแบบนี้จะเข้าใจ เพราะนั่งนานเป็นชม. กลับรู้สึกว่านั่งเพียงลมพัด นั่นเป็นเพราะเรากำลังสะสมฌาน เพื่อขึ้นไปอยู่ในชั้นเทวดา หรือพรหม

และหลายตำราตะวันตกก็บอกว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ทำให้เกิดคลื่นสมองที่ช่วยให้ความจำเราดีขึ้นด้วย ในทางตะวันออก ฌานขั้นสูงจะทำให้มีสามารถแสดงปาฎิหารย์ต่าง ๆ ได้ ผมไม่ลงรายละเอียด เพราะไม่ใช่แก่นของพระพุทธศาสนา

- ญาณคือการเจริญสติ สัมปชัญญะ (ไม่ใช่สมาธิเพราะสมาธิมาก ๆ ทำให้เราขาดสติได้) คือทำให้เราระลึกได้ (ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่) และรู้ตัวทั่วพร้อม คือรู้ทุก ๆ รายละเอียด

การเจริญสติแบบอานาปาสติ คือ
การกำหนด"สติ"ด้วย"ลมหายใจ"คือเราต้องเฝ้าดูลมหายใจหายใจตัวเอง ว่าเบาลง แรงขึ้น น้อยลง หายใจเข้ากี่ที ออกกี่ที ไม่ใช่เราไปกำหนด"ลมหายใจ" ว่าเข้าพุท ออก โธ ซึ่งลักษณะนี้จะเป็นการเข้าฌาน หรือเจริญสมถะกรรมฐาน

อย่างไรก็ตามการทำกรรมฐาน ทำสมาธิเป็นเพียงอุบายหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด
การกำหนดอิริยาบถย่อย การเจริญสติตลอดเวลาต่างหากคือส่วนสำคัญ

พระอานนท์บรรลุพระอรหันต์ ตอนที่กำลังเอนกายนอน (ก่อนที่จะกลายเป็นพระอรหันต์ องค์ที่ 500 เพื่อเข้าร่วมทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกหลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันปรินิพพาน)

และมีอีกหลายองค์ที่สู่นิพพาน ได้ในขณะที่ไม่ได้นั่งสมาธิ
เหมือนที่กระทู้นี้พูดทุกอย่างเลยครับ รู้ทันกาย รู้ทันใจ รู้ทันอารมณ์ รู้ทันธรรมะ

รายละเอียดมีครบหมดแล้วครับ



ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhichange
User
กระทู้: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm

โพสต์ โดย Linzhichange » เสาร์ ก.ค. 28, 2007 3:52 pm

อนุโมทนา สาธุคุณ August ครับ

เห็นด้วยครับ VI กับหลักพระพุทธมันเข้ากันมาก ๆ
ผมเคยเป็นนะครับว่า อยากหาหุ้นที่แข็งแกร่งนาน ๆ มาก ๆ เติบโต
ผมเคยยึดติดหุ้นบางตัว ชอบมาก กำไรได้มาก (แต่ราคาก็เริ่มนิ่งนาน) กอดมันไว้

แต่พอเรียนรู้พระธรรม ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตอนนี้เลยไ่ม่มีัอัตตา ปรับพอร์ท เปิดใจเรียนรู้ และไม่ประมาทตั้งอยู่บนสติ

  ว่าแต่พี่ porjai ไม่ลองวิปัสสนาดูอีกซักตั้งล่ะครับ ข้อดีของวิปัสสนากรรมฐานคือช่วยให้พี่เห็นไตรลักษณ์ เห็นการเกิดดับของรูปนามได้ชัด แต่แรก ๆ มันเหมือนบอระเพ็ดจริง ๆ
  ผมก็อยากศึกษาเซน และอยากไปเที่ยวดูสวนหินที่เกียวโต นาน ๆ
เคยอ่านมานานแล้ว แต่ไม่รู้อ่านอีกทีหลังจากไปเรียนรู้วิปัสสนามาจะเป็นยังไง มันขมวดเป็นรากเหง้าความคิดเดียวกันที่จุดไหน

   การเผยแผ่ของศาสนาพุทธก็แปลกดีนะครับ ทางบ้านเรา(เถรวาท)รับมาจากพม่า รับมาเสร็จก็หยุดเลย ไม่เหมือนสายที่ไปทางจีน ทางอื่น เค้าขยายไปเรื่อยจนสุดขอบแผ่นดินที่ญี่ปุ่นโน่น (แถมวกกลับมาเวียดนามอีกตะหาก)



ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhichange
User
กระทู้: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm

โพสต์ โดย Linzhichange » จันทร์ ก.ค. 30, 2007 9:07 pm

ชอบให้มีการแลกเปลี่ยนแบบนี้เยอะ ๆ จัง

ท่านที่มีปัญญามาก มีเยอะแยะมากมายในที่นี้ และผมก็ได้เรียนรู้มาก

ผมอ่านกระทู้นี้แรก ๆ อยากแจมมาก แต่มีจิตกังวล กลัวผิด พลาด และโดนต่อว่า (ว่าใคร ถาม)

สติทำให้ระลึกรู้ว่า คิดหนอ อัตตาหนอ

โอกาสวันสำคัญทางพระพุทธ ขอเผยแผ่บุญบารมีให้พี่ทุกท่านในเวปนี้
พ้นจากความทุกข์ เต็มไปด้วยความสุข อายุ วรรณะ สุขะ พละ
อุดมไปด้วยปฏิภาณ ธรรมสาร ธนสาร สมบัติ
และได้มีโอกาสเดินตามแนวทางพระุพุทธองค์ด้วยเทอญ



ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhichange
User
กระทู้: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm

โพสต์ โดย Linzhichange » พฤหัสฯ. ส.ค. 02, 2007 10:32 pm

[quote="nano"]ก่อนจะคุยเรื่องการนั่งทำสมาธิฝึกลมปราณ



ตอบกลับโพส