คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
ขอถามพี่ VIB007 หน่อยค่ะ
อาจจะเป็นคำถามที่ดูโง่หน่อยนะคะ แต่เพราะไม่เข้าใจค่ะ พี่VIB007 เขียนไว้ว่า
{คนถาม (ผมใช้ชื่อว่า A แล้วกันครับ) เลยไปถาม Charlie Munger เพื่อนซี้ของ Buffet ว่าทำไม Buffet ไม่ยอมซื้อรถใหม่ ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของสองคนนี้นะครับ (ผมดัดแปลงบทเล็กน้อย)
Munger ถามว่า "คุณว่ารถเบนซ์คันเท่าไหร่"
Mr.A: "40,000 เหรียญ"
Munger: "รถ Lincoln Towncar คันละเท่าไหร่"
Mr.A: "15,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันราคาต่างกันเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันนี้ไปถึงที่ทำงานได้เหมือนกันหรือเปล่า"
Mr.A: "เหมือนกัน แต่เบนซ์โก้กว่ามาก"
Munger: "คุณว่าความโก้ของคุณราคาเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "นั่นเป็นมูลค่าความโก้ของคุณ แต่ไม่ใช่มูลค่าความโก้ของBuffet "
Mr.A: "ไม่เข้าใจ"
Munger: "ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% ถามว่ามูลค่าความโก้คุณจะเป็นเท่าไหร่"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "31,000 เหรียญ" (25000*1.24)
Munger: "เอางี้ ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ มูลค่าความโก้ของคุณคือ 1,022,420 เหรียญ"
Mr.A: "ไอ้หย๋า ซี้เลี้ยวหว่า เป็นไปได้ยังไง"
Munger: "ก็ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% อัตราเงินเฝ้อที่ 3% มูลค่าความโก้ของคุณก็คือ 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,420 เหรียญ"
Munger: "ถามว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อรถมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญหรือเปล่า"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "ซื้อครับ" }
คือน้องไม่เข้าใจว่า 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,240 น่ะค่ะ
เจ้าตัว " ^ " แทนเครื่องหมายอะไรหรือค่ะ และตัวเลข 1 , 1.03 และ 20
มาจากไหนคะ
รบกวนพี่ช่วยตอบด้วยนะคะ........ขอบคุณค่ะ
{คนถาม (ผมใช้ชื่อว่า A แล้วกันครับ) เลยไปถาม Charlie Munger เพื่อนซี้ของ Buffet ว่าทำไม Buffet ไม่ยอมซื้อรถใหม่ ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของสองคนนี้นะครับ (ผมดัดแปลงบทเล็กน้อย)
Munger ถามว่า "คุณว่ารถเบนซ์คันเท่าไหร่"
Mr.A: "40,000 เหรียญ"
Munger: "รถ Lincoln Towncar คันละเท่าไหร่"
Mr.A: "15,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันราคาต่างกันเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันนี้ไปถึงที่ทำงานได้เหมือนกันหรือเปล่า"
Mr.A: "เหมือนกัน แต่เบนซ์โก้กว่ามาก"
Munger: "คุณว่าความโก้ของคุณราคาเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "นั่นเป็นมูลค่าความโก้ของคุณ แต่ไม่ใช่มูลค่าความโก้ของBuffet "
Mr.A: "ไม่เข้าใจ"
Munger: "ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% ถามว่ามูลค่าความโก้คุณจะเป็นเท่าไหร่"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "31,000 เหรียญ" (25000*1.24)
Munger: "เอางี้ ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ มูลค่าความโก้ของคุณคือ 1,022,420 เหรียญ"
Mr.A: "ไอ้หย๋า ซี้เลี้ยวหว่า เป็นไปได้ยังไง"
Munger: "ก็ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% อัตราเงินเฝ้อที่ 3% มูลค่าความโก้ของคุณก็คือ 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,420 เหรียญ"
Munger: "ถามว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อรถมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญหรือเปล่า"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "ซื้อครับ" }
คือน้องไม่เข้าใจว่า 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,240 น่ะค่ะ
เจ้าตัว " ^ " แทนเครื่องหมายอะไรหรือค่ะ และตัวเลข 1 , 1.03 และ 20
มาจากไหนคะ
รบกวนพี่ช่วยตอบด้วยนะคะ........ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณพี่ๆ ค่ะ
ขอบคุณพี่ฉัตรชัย และ พี่VIB007 ค่ะ ที่ช่วยกรุณาตอบคำถามให้:D
แต่ก็ยังสงสัยอยู่บางส่วนค่ะ
1. ตัวเลข 1.03 หามาได้อย่างไรคะ เห็นพี่บอกว่า
อัตราเงินเฟ้อที่ 3% แล้ว 1.03 มาจากค่าไหนคะ
2. ที่พี่ VIB007 ถามว่า
"พี่ถามน้องสายลมนะครับว่า
ตอนนี้ คนที่ไม่คิดมาก ชอบอะไรที่มันมั่นคง
เอาเงินไปฝากแบงค์หมด คิดว่าเงินต้นไม่หาย
จะเรียกตัวเองว่า นักลงทุนได้หรือไม่ "
ในความคิดของน้องคิดว่าไม่ใช่นักลงทุนค่ะ
เพราะหากเขาเป็นนักลงทุน เขาก็ต้องพยายามทำให้
เงินที่เขามีอยู่งอกเงยขึ้นมาได้ แต่เขาเป็นพวกนักเก็บออม
เพราะเขาไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี จะเอาไปลงทุนทำอะไรกลัวไปหมด
กลัวว่าเงินต้นที่ตนเองเพียรเก็บมาจะสูญ จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยง
ในความคิดของเขา เขาก็คงจะคิดว่า ลงทุนในสิ่งที่ตนไม่รู้
และไม่เข้าใจ และไม่มีความถนัดนั้น สู้เขาเก็บเงินไว้ดีกว่า
วันดี คืนดี ก็มานึกว่าตนมีสตางค์อยู่ ก็นำออกมาใช้แบบเปล่าประโยชน์
(เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
ไม่รู้ว่าจะถูกตามแบบที่นักลงทุนอย่างรุ่นพี่ๆ มองกันอยู่หรือเปล่า)
3. อยากจะขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ
ทุกคนในเว็บนี้ ทั้งพี่ฉัตรชัย พี่VIB007 พี่มน คุณยีน พี่ธันวา คุณสต็อก คุณลูกอีสาน คุณFinance eng. พี่ปรัชญา และทุกๆท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ที่สละเวลามาให้ความรู้ซึ่งมีประโยชน์มากๆๆๆ กับมือใหม่
ติดตามอ่านมาได้หลายอาทิตย์แล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อสักกะตัว เพราะ
ยังคำนวณค่าต่างๆ ไม่เป็น เมื่อยังไม่มั่นใจจึงยังไม่ซื้อค่ะ
ก็ได้ความรู้จากพี่ที่นี่หละค่ะ ศึกษาไปเรื่อยๆ จนแน่ใจก่อน
เพราะพี่ๆทุกท่านความรู้ขั้นปรมาจารย์ทั้งนั้นเลย บางครั้งอ่านแล้วก็ยังงงๆ
แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจกับค่าต่างๆค่ะ
แต่ก็ยังสงสัยอยู่บางส่วนค่ะ
1. ตัวเลข 1.03 หามาได้อย่างไรคะ เห็นพี่บอกว่า
อัตราเงินเฟ้อที่ 3% แล้ว 1.03 มาจากค่าไหนคะ
2. ที่พี่ VIB007 ถามว่า
"พี่ถามน้องสายลมนะครับว่า
ตอนนี้ คนที่ไม่คิดมาก ชอบอะไรที่มันมั่นคง
เอาเงินไปฝากแบงค์หมด คิดว่าเงินต้นไม่หาย
จะเรียกตัวเองว่า นักลงทุนได้หรือไม่ "
ในความคิดของน้องคิดว่าไม่ใช่นักลงทุนค่ะ
เพราะหากเขาเป็นนักลงทุน เขาก็ต้องพยายามทำให้
เงินที่เขามีอยู่งอกเงยขึ้นมาได้ แต่เขาเป็นพวกนักเก็บออม
เพราะเขาไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี จะเอาไปลงทุนทำอะไรกลัวไปหมด
กลัวว่าเงินต้นที่ตนเองเพียรเก็บมาจะสูญ จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยง
ในความคิดของเขา เขาก็คงจะคิดว่า ลงทุนในสิ่งที่ตนไม่รู้
และไม่เข้าใจ และไม่มีความถนัดนั้น สู้เขาเก็บเงินไว้ดีกว่า
วันดี คืนดี ก็มานึกว่าตนมีสตางค์อยู่ ก็นำออกมาใช้แบบเปล่าประโยชน์
(เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
ไม่รู้ว่าจะถูกตามแบบที่นักลงทุนอย่างรุ่นพี่ๆ มองกันอยู่หรือเปล่า)
3. อยากจะขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ
ทุกคนในเว็บนี้ ทั้งพี่ฉัตรชัย พี่VIB007 พี่มน คุณยีน พี่ธันวา คุณสต็อก คุณลูกอีสาน คุณFinance eng. พี่ปรัชญา และทุกๆท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ที่สละเวลามาให้ความรู้ซึ่งมีประโยชน์มากๆๆๆ กับมือใหม่
ติดตามอ่านมาได้หลายอาทิตย์แล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อสักกะตัว เพราะ
ยังคำนวณค่าต่างๆ ไม่เป็น เมื่อยังไม่มั่นใจจึงยังไม่ซื้อค่ะ
ก็ได้ความรู้จากพี่ที่นี่หละค่ะ ศึกษาไปเรื่อยๆ จนแน่ใจก่อน
เพราะพี่ๆทุกท่านความรู้ขั้นปรมาจารย์ทั้งนั้นเลย บางครั้งอ่านแล้วก็ยังงงๆ
แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจกับค่าต่างๆค่ะ
คุณ Jeng
ผมคิดว่าหุ้นตัวที่2 นั้นใช่ xxxxx หรือไม่
ผมเคยอ่านบทความของ Fisher คร่าวๆ รวมถึงคนอื่นๆ แต่ไม่เคยซึมซับในการใช้ PB ในการเลือกหุ้น เข้าใจว่าอาจจะมาจาก Graham ที่คุณ jeng ว่า หรือ ดร.นิเวศย์
ในสิ่งที่ซึมเข้ามาในหัว คือ การหว้งกำไรอนาคตของกิจการ โดยดูจาด DCF หรือ วิธีอื่น การดูถึง Good Business Model (ขอใช้ศัพย์นี้แทน) ของ Warren วึ่งไม่สามารถคำนวนได้ ความสามารถของผู้บริหาร หัวข้อนี้ที่ทำให้ผมบอกว่า PB นั้นบอกได้แต่หุ้นถูกแต่ไม่สามารถบอกว่าหุ้นแพง
ความสามารถของผู้บริหาร เป็นส่วนหนึ่งที่โดนตลาดสะท้อนออกมาในรูปของ Price ที่สูง วึ่งทำให้ PB สูง
ถ้าหากหุ้นตัวที่2 เป็น xxxxx และ PB สูงมาก (โดยสมมติให้ BV ต่ำมาก เพื่อ PE เท่าเดิม) ผมคงมีความสุขมากขึ้น ว่าผู้บริหารมีความสามารถ ในกรณีนี้ใช้ ROA จะง่ายกว่า
ผมคิดว่าหุ้นตัวที่2 นั้นใช่ xxxxx หรือไม่
ผมเคยอ่านบทความของ Fisher คร่าวๆ รวมถึงคนอื่นๆ แต่ไม่เคยซึมซับในการใช้ PB ในการเลือกหุ้น เข้าใจว่าอาจจะมาจาก Graham ที่คุณ jeng ว่า หรือ ดร.นิเวศย์
ในสิ่งที่ซึมเข้ามาในหัว คือ การหว้งกำไรอนาคตของกิจการ โดยดูจาด DCF หรือ วิธีอื่น การดูถึง Good Business Model (ขอใช้ศัพย์นี้แทน) ของ Warren วึ่งไม่สามารถคำนวนได้ ความสามารถของผู้บริหาร หัวข้อนี้ที่ทำให้ผมบอกว่า PB นั้นบอกได้แต่หุ้นถูกแต่ไม่สามารถบอกว่าหุ้นแพง
ความสามารถของผู้บริหาร เป็นส่วนหนึ่งที่โดนตลาดสะท้อนออกมาในรูปของ Price ที่สูง วึ่งทำให้ PB สูง
ถ้าหากหุ้นตัวที่2 เป็น xxxxx และ PB สูงมาก (โดยสมมติให้ BV ต่ำมาก เพื่อ PE เท่าเดิม) ผมคงมีความสุขมากขึ้น ว่าผู้บริหารมีความสามารถ ในกรณีนี้ใช้ ROA จะง่ายกว่า
สงสัยช่วงนี้จะเป็นช่วงพักยกนะครับ ผมก้อเลยรอดูการแลกหมัดFCFอยู่นะครับ แต่ว่าผมยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับ เลยอยากถามคุณพี่chatchaiหน่อยครับ ตามที่พี่ให้ไว้
"FCF = กำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียน - Working Cap. - Cap Exp. - Loan Repayment"
รบกวนพี่ chatchai ช่วยอธิบายทีละตัวเลยได้เปล่าครับว่าแต่ละตัวความหมายคืออะไร (กำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียน,Working Cap, Cap Exp, Loan Repayment =? ) และมีวิธีหายังไงครับ ผมอยากลองหาได้ด้วยตัวเองบ้างครับในตัวอื่นๆ ขอบคุณครับ
"FCF = กำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียน - Working Cap. - Cap Exp. - Loan Repayment"
รบกวนพี่ chatchai ช่วยอธิบายทีละตัวเลยได้เปล่าครับว่าแต่ละตัวความหมายคืออะไร (กำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียน,Working Cap, Cap Exp, Loan Repayment =? ) และมีวิธีหายังไงครับ ผมอยากลองหาได้ด้วยตัวเองบ้างครับในตัวอื่นๆ ขอบคุณครับ
ผมไม่ได้เปิดเวป 2 อาทิตย์กว่าเพราะไปพักผ่อนกับครอบครัวครับ ผมกลับมาด้วยคำถาม(อีกแล้ว)ครับ คือผมเป็นคนที่อ่อนภาษาอังกฤษมาก แต่อยากเป็น vi พันธ์แท้เลยลงทุนซื้อ Warren Buffett Way มาอ่าน เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง จนมาถึงหน้า 12 ถึงตอนที่ อ.บัฟเฟตต์ซื้อบริษัทหนังสือพิมพ์ตรากระบือมา ผู้เขียนแกบอกว่า เครื่องมือที่บอกถึงความสำเร็จในหนังสือพิมพ์คือ Penetration Rate กับ News hole ผมอ่านซ้ำหลายรอบก็ไม่เข้าใจว่า มันหมายถึงอะไร อยากให้พวกพี่ๆที่เคยอ่านเล่มนี้มาแล้วช่วยอธิบายหน่อยครับ บังเอิญว่าผมสนใจธุรกิจหนังสือพิมพ์อยู่พอดี
ตัวจริงนะครับ แต่net ของผมมันช้ามากวันนี้ อาจเป็นเพราะสายโทรศัพย์ไม่ดีอีกแล้ว
พี่ๆและเพื่อนครับ ผมจะอยู่กับคุณวิบูลย์ที่กระทู้นี้จนกว่าจะไม่มีใครอ่านละครับ
ตอนนี้ผมเตรียมกระสุนเอาไว้อย่างมากเลยที่เดียว เพื่อรอพยุงตลาดหุ้นที่ผมคาดเองว่ารอบนี้สามฉ่าแน่นอน มองเอาไว้สองสามบริษัทครับ
ผมรอคุณchatchaiทำFCFไม่ไหวแล้วนะครับ ตอนนี้ผมกำลังทำของAPRINTอยู่ เสร็จแล้วจะเอามาชวนคุยนะครับ
พี่ๆและเพื่อนครับ ผมจะอยู่กับคุณวิบูลย์ที่กระทู้นี้จนกว่าจะไม่มีใครอ่านละครับ
ตอนนี้ผมเตรียมกระสุนเอาไว้อย่างมากเลยที่เดียว เพื่อรอพยุงตลาดหุ้นที่ผมคาดเองว่ารอบนี้สามฉ่าแน่นอน มองเอาไว้สองสามบริษัทครับ
ผมรอคุณchatchaiทำFCFไม่ไหวแล้วนะครับ ตอนนี้ผมกำลังทำของAPRINTอยู่ เสร็จแล้วจะเอามาชวนคุยนะครับ
คุณวิบูลย์
อยากทราบด้วยนะครับว่า มีใครทำแบบคุณวิบูลย์บ้าง ครับ?????
คุณลงทุนในหุ้น 100 % จริงหรือครับวันนึงคุณธันวาเปิดโอกาสให้ผม"ระบาย"ความในใจ
ผมบอกให้ภรรยาผมอ่านในเวป
เธอก็ทนอ่านแบบเสียไม่ได้
จนถึงวันนี้
เธอมีเงินเท่าไหร่
เธอให้ผมหมดเลยครับ
บอกให้ผมเอาไปลงทุนซื้อหุ้น
ผมถามว่า ลงทุนซื้อหุ้นไม่เสี่ยงเหรอ
เธอบอกว่า เสี่ยงน้อยกว่าฝากแบงค์
อยากทราบด้วยนะครับว่า มีใครทำแบบคุณวิบูลย์บ้าง ครับ?????
เอ๊ะ พี่วิบูลย์
เกรแฮม บอกไว้ว่า อย่าใส่ไข่ ไว้ในตระกร้าใบเดียวนี่ครับ
ไม่เผื่อไว้ใน ตราสารหนี้ fixed rate บ้างหรือครับ
เห็นพี่ ฉัตรชัย ยังลงในพันธบัตร ด้วยเลย
อิอิ..
ผมว่ามันเสี่ยงเกินไปหรือป่าว ถ้าหากเราตัดสินใจพลาด
เหมือนกับที่เกรแฮม ว่าไว้ว่า ที่น่ากลัวที่สุด คือ ใจของเรา ไม่ใช่ ดัชนี ไม่ใช่ตลาด !!!!!
อิอิ...
เกรแฮม บอกไว้ว่า อย่าใส่ไข่ ไว้ในตระกร้าใบเดียวนี่ครับ
ไม่เผื่อไว้ใน ตราสารหนี้ fixed rate บ้างหรือครับ
เห็นพี่ ฉัตรชัย ยังลงในพันธบัตร ด้วยเลย
อิอิ..
ผมว่ามันเสี่ยงเกินไปหรือป่าว ถ้าหากเราตัดสินใจพลาด
เหมือนกับที่เกรแฮม ว่าไว้ว่า ที่น่ากลัวที่สุด คือ ใจของเรา ไม่ใช่ ดัชนี ไม่ใช่ตลาด !!!!!
อิอิ...
เนื่องจากได้แรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ ซึ่งผมยังอ่านไม่จบหรอกครับ แต่แค่ 2 หน้าแรกก็ทำให้ผมต้องไปควานหาหนังสือการลงทุนในแบบของ Buffet มาอ่าน โชคดีที่ห้องสมุดมหาลัยที่ผมเรียนจบมีหนังสือ The WARREN BUFFET WAY ให้ยืม ตอนนี้ผมจึงตะลุยอ่าน พอผมอ่านมาถึงวิธีการหาค่า Intrinic value ของ Buffet มีอยู่หลายส่วนที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ ( เนื่องด้วยความที่ผมไม่ค่อยจะมีพื้นฐานความรู้ทางด้านการเงิน และลองเปิดหาหนังสือเกี่ยวกับการเงินมาอ่านดู แต่ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก) จึงอยากให้พี่วิบูลย์ช่วยอธิบายเกี่ยวกับหลักการณ์ของ Buffet เริ่มตั้งแต่การหาค่า Owner Earnings ของบริษัทร่วมไปถึงการหาค่า Market Value ด้วยวิธีการ Discount cash flow ที่ปรากฎในหนังสือด้วยนะครับ ไม่รู้จะขอมากไปหรือเปล่านะครับ แต่ผมเพิ่งเปิดบัญชีซื้อขายได้ไม่นานและอยากลงทุนด้วยวิธีการที่จะทำให้ความเสี่ยงลดน้อยลงให้ได้มากที่สุด จึงต้องศึกษาวิธีการลงทุนที่จะช่วยลดความเสี่ยงได้ ก่อนหน้านี้ก็มองที่ตัว P/E กับ P/Bv เป็นหลัก พอได้อ่านกระทู้นี้รู้สึกว่าจริงมูลค่าของบริษัทไม่ควรมองแค่ค่า P/E หรือ P/Bv อย่างเดียว หวังให้พี่ช่วยให้ความการกระจ่างชัดเกี่ยวกับเรื่องที่ผมขอไว้ข้างบนให้ผมด้วยนะครับ
พี่วิบูลย์ช่วยอธิบายตรงนี้หน่อยครับ
จากข้างบนนะครับ
"แต่ก่อนจบ
ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ
ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว
ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน
บัญชีก็แต่งกันได้
ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ)
ก็ค่อยๆดูไปครับ "
ความหมายของตรงนี้ หมายความว่า กู้เงินเยอะๆแล้วหนี้ก็เยอะทำให้ทุนมีน้อยพอหา ROE ออกมาก็เลยได้ค่าที่สูง หรือมีมากกว่านี้อีกครับอ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรลึกๆลงไปอีก
พี่วิบูลย์ครับ ผมนับถือในตัวพี่ครับ ผมว่าพี่เก่งนะครับเก่งจริงๆ
"แต่ก่อนจบ
ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ
ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว
ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน
บัญชีก็แต่งกันได้
ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ)
ก็ค่อยๆดูไปครับ "
ความหมายของตรงนี้ หมายความว่า กู้เงินเยอะๆแล้วหนี้ก็เยอะทำให้ทุนมีน้อยพอหา ROE ออกมาก็เลยได้ค่าที่สูง หรือมีมากกว่านี้อีกครับอ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรลึกๆลงไปอีก
พี่วิบูลย์ครับ ผมนับถือในตัวพี่ครับ ผมว่าพี่เก่งนะครับเก่งจริงๆ
จากการที่คุณตลาดอารมณ์บ่จอยในสองสามวันนี้ ทำให้ผมได้ข้อคิดครับ ว่าต้องเหลือเงินไว้ส่วนหนึ่ง จะได้ไม่เสียดายเหมือนอย่างช่วงนี้ ตอนแรกผมคิดว่า ช่วงตลาดขาขึ้นน่าจะซื้อๆไปให้หมดเลยดีกว่า เพราะมันกำลังขึ้น ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าคุณตลาดอารมณ์ยังไง และผมสังเกตได้ว่า เค้าไม่ค่อยดูข้อมูลในอดีต เช่นกำไรติดต่อกันทุกปี หนี้สินน้อยลง ผลประกอบการล่าสุดกำไรมากขึ้น แต่ราคาหุ้นกลับดิ่งลง แล้วเอาเงินไปซื้ออนาคตในบริษัทที่เพิ่งฟื้นจากขาดทุนมาเป็นกำไรเพียงแค่ไตรมาสนี้ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ ...
พี่วิบูลย์และท่านอื่นๆครับ ผมมีคำถามนะครับ คือในอดีตมีบ่อยไม๊ครับที่ให้ปันผลเป็นหุ้นนะครับ มันมีประโยชน์ยังไงเหรอครับ ทั้งที่ราคาที่คำนวณใหม่จะลดลง และจำนวนหุ้นมากขึ้นตัวหารมากขึ้น ถ้ากำไรพอๆกับปีที่แล้ว EPS ก้อลดลง ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ
พี่วิบูลย์และท่านอื่นๆครับ ผมมีคำถามนะครับ คือในอดีตมีบ่อยไม๊ครับที่ให้ปันผลเป็นหุ้นนะครับ มันมีประโยชน์ยังไงเหรอครับ ทั้งที่ราคาที่คำนวณใหม่จะลดลง และจำนวนหุ้นมากขึ้นตัวหารมากขึ้น ถ้ากำไรพอๆกับปีที่แล้ว EPS ก้อลดลง ผมไม่ค่อยเข้าใจครับ
หวัดดี ครับ พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน ผมอยากเป็น VI บ้าง เพิ่งสนใจมาลงทุนในหุ้นประมาณปีกว่าๆ เอง แต่ผมมีปัญหาบางอย่างอยากให้พี่ๆ โดยเฉพาะพี่ VIB007 ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย ก็คือว่า ก่อนลงทุน ผมก็จะศึกษาพื้นฐานของบริษัทก่อนว่าน่าสนใจหรือไม่ ดู เรโชต่างๆ เช่น D/E P/E ROE ROA net profit margin และดูกำไรในปีที่ผ่านๆมาว่าเป็นอย่าง มีกำไรจากรายการพิเศษหรือไม่ นอกจากนี้สุดท้ายผมก็จะมาดูว่า ราคาน่าซื้อใหม dividend yield เท่าไร p/e เท่าไร p/b เท่าไร หากว่ามีค่าต่ำ ผมก็จะดูว่าราคานี้เป็นราคาที่เพิ่งขึ้นมา เพราะบางช่วงเวลาหุ้นที่เราสนใจอาจจะมีการขึ้นเพื่อตอบรับข่าวดีบางอย่าง ทั้งๆที่ข่าวดีนั้น อาจจะไม่ได้มีผลต่อบริษัทเลยก็ได้ แต่หากราคาหุ้นอยู่ที่ตรงนี้นานแล้วผมก็จะตัดสินใจซื้อเลย แต่ปัญหาของผมก็คือว่า ผมไม่สามารถหามูลค่าหุ้นได้ว่าหุ้นตัวที่ซื้อควรจะมีราคาเท่าไร อยากจะขอให้พี่ ช่วยแนะแนวทางหามูลค่าให้หน่อย อยากได้แบบหามูลค่าที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ซึ่งอาจจะทำให้ประเมินมูลค่าได้ไม่แม่นยำ ก็ไม่เป็นไร อยากได้แค่ประมาณมูลค่าคร่าว ๆก็พอ
อยากถามพี่ๆหน่อยนะครับ
เนื่องจากว่าผมได้รับเงินปันผลมาให้รูปของเช็คนะครับ
เราจะต้องนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารเอง
อยากถามว่าพี่ๆมีวิธีการรับเงินปันผล แบบว่าเค้านำมาเข้าบัญชีเราเลย
มีหรือเปล่าครับ เพราะว่ามีได้เงินปันผลไม่มากเท่าำไร มันค่อยคุ้มนะครับ
ที่จะต้องเดินทางไปธนาคาร
เผอิญผมอยู่ที่ต่างจังหวัดนะครับ
เนื่องจากว่าผมได้รับเงินปันผลมาให้รูปของเช็คนะครับ
เราจะต้องนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารเอง
อยากถามว่าพี่ๆมีวิธีการรับเงินปันผล แบบว่าเค้านำมาเข้าบัญชีเราเลย
มีหรือเปล่าครับ เพราะว่ามีได้เงินปันผลไม่มากเท่าำไร มันค่อยคุ้มนะครับ
ที่จะต้องเดินทางไปธนาคาร
เผอิญผมอยู่ที่ต่างจังหวัดนะครับ
สวัสดีพี่ๆทุกคนครับ
อยากทราบว่าพวกหนังสือ Value Investor Made Easy(Thai version) หรือ Thailand Company Handbook และพวกหนังสือดีๆที่พี่ช่วยแนะนำเกี่ยวกับ Value Investor ว่าควรอ่านเล่มไหนบ้าง และหาซื้อที่ไหนได้บ้างครับ อย่าง 2เล่มแรกหาดูที่ Se-ed ไม่เห็นเจอเลยครับ
พึ่งเริ่มศึกษาเกี่ยวกับ Value Investor แต่ก่อนเคยแต่เล่นเกมหุ้นผ่านเน็ต
ขอบคุณมากครับ
อยากทราบว่าพวกหนังสือ Value Investor Made Easy(Thai version) หรือ Thailand Company Handbook และพวกหนังสือดีๆที่พี่ช่วยแนะนำเกี่ยวกับ Value Investor ว่าควรอ่านเล่มไหนบ้าง และหาซื้อที่ไหนได้บ้างครับ อย่าง 2เล่มแรกหาดูที่ Se-ed ไม่เห็นเจอเลยครับ
พึ่งเริ่มศึกษาเกี่ยวกับ Value Investor แต่ก่อนเคยแต่เล่นเกมหุ้นผ่านเน็ต
ขอบคุณมากครับ
รบกวนท่านผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ
ผมเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมก็เป็นคนที่เล่นหุ้นเหมือนกัน (ใช้คำว่าเล่น เพราะเล่นจริง ๆ) ไม่ค่อยได้สนใจพื้นฐานเท่าไร แล้วก็เหมือนคนทั่วไปเลยละครับ เคยกำไรมาก แล้วก็ขาดทุนมาก ลองมานั่นคิดก็พบว่ามันเหมือนกับที่ผ่านมาแทบไม่ได้อะไรเลย แต่แน่นอนละอาจจะได้ประสบการณ์นิดหน่อย แต่ไม่คุ้มเลยจริง คิดไปคิดมาได้มานั่งอ่านกระทุ้งในนี้ ทำให้ดวงตาเห็นธรรม กลับตัวกลับใจใหม่หันมาใช้เหตุผลในการลงทุน(ขอใช้คำว่าลงทุนนะครับ) แต่มันก็ไม่ใช้เรื่องง่าย ๆ เลย เหมือนกับว่าเราเคยเสพยาเสพติดแล้วต้องเลิกมันทันที ทำตัวไม่ถูก เลิกดูหุ้นปั้นหันมาดูหุ้นที่พื้นฐานดี มันสับสนยังไงไม่รู้ บ้างที่ก็คิดว่าเราทำถูกหรือเปล่า คิดไปคิดมา ก็ต้องมาอ่านกระทู้ใหม่ให้มันมั่นใจว่าเราเดินถูกทางแล้ว ผมเลยอยากถามว่าที่ผมใช้วิเคราะห์เนี่ยมันใช้ได้ไหม เช่น ตอนนี้ผมกำลังดู เดลต้าอยู่ คือผมเห็นว่าเป็นบริษัทที่ผลิตพวกอุปกรณ์ พวกเพาเวอร์สัพพาย แล้วก็จอมอนิเตอร์ ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับคอมพิวเตอร์ บังเอิญผมไปเดิมที่บ้านหม้อ เห็นพัดลมระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเลคฯ เป็นของเดลต้า ผมถามคนขาย ว่าดีไหมยี่ห้อนี้ คนขายก็บอกว่าใช้ได้ลูกค้าซื้อไปก็ไม่เคยมีปัญหา ลูกค้าชอบ ทำให้ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้น ผมไปหาหนังสือรายงานประจำปีของบริษัทมาดู ยอดขายมันขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกันแล้วก็กำไรก็ขึ้น ๆลง ๆ แต่ก็ยังถือว่าใช้ใด้ถ้าเทียบกับราคาหุ้น ผมคิดว่าที่กำไรมันยังไม่ดีมากเพราะว่าคู่แข่งมีมาก แล้วก็ค่าเงินมันแข็ง แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะว่ามันจะดีจริง ผมก็เลยไปถามมาร์เก็ตติ้ง หลายคนบอกว่ามันกำลังdown เพราะไปเทคโอเวอร์บริษัทที่ขาดทุนในต่างประเทศ ทีนี้ทำไงผมไม่มีข้อมูลเลยว่าบริษัทที่เทคนั้นเป็นไง ทำให้ผมสับสน ผมไม่รู้ว่าการเป็นนักลงทุนแบบ vi ทำไมยังยากจัง ใครก็ได้ช่วยแนะนำผมหน่อยครับ
ผมคิดว่า ท่านอาจารย์ น่าจะให้ความสำคัญกับข้อ 15 มากที่สุด
อิอิ .....
คือ ความซื่อสัตย์ ของผู้บริหารง่ะ
เนื่องจาก เขียนไว้ในตอนจบว่า
บริษัท ใดๆก็ตาม แม้ว่า จะมีคุณสมบัติไม่ครบ ทั้ง 15 ข้อ
ก็ยังน่าสนใจ
ถ้าหากมีบางข้อ ที่สามารถ มาชดเชยข้อที่ขาดไปได้
แต่ถ้าหาก ขาดข้อ 15 คือ ความซื่อสัตย์ของผู้บริหารเสียแล้ว
อย่าได้ร่วมเข้าไปสังฆกรรมด้วย กับริษัทนั้น
ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญ สมหวังครับ
โดยเฉพาะ คุณวิบูลย์ ขอให้มีความสุขที่สุดครับ...อิอิ
อิอิ .....
คือ ความซื่อสัตย์ ของผู้บริหารง่ะ
เนื่องจาก เขียนไว้ในตอนจบว่า
บริษัท ใดๆก็ตาม แม้ว่า จะมีคุณสมบัติไม่ครบ ทั้ง 15 ข้อ
ก็ยังน่าสนใจ
ถ้าหากมีบางข้อ ที่สามารถ มาชดเชยข้อที่ขาดไปได้
แต่ถ้าหาก ขาดข้อ 15 คือ ความซื่อสัตย์ของผู้บริหารเสียแล้ว
อย่าได้ร่วมเข้าไปสังฆกรรมด้วย กับริษัทนั้น
ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญ สมหวังครับ
โดยเฉพาะ คุณวิบูลย์ ขอให้มีความสุขที่สุดครับ...อิอิ
สวัสดีปีใหม่ พี่ๆและเพื่อนๆใน TVI ทุกคนครับ ผมอยากตั้งประเด็นให้พวกพี่ๆช่วยแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ capital expenditure ว่ามีความสำคัญในการเลือกบริษัทที่จะลงทุนหรือไม่ และค่านี้มีอะไรบ้าง ผมขอยกตัวอย่าง เช่น ค่าโฆษณา ที่บริษัทต้องจ่ายทุกปี จะเป็น cap.exp. หรือไม่ หรือ การปรับปรุงระบบคอม ของบริษัทที่นานๆจะจ่ายที จะเป็น cap.exp. หรือไม่ รบกวนช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ
ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ทำให้ผมเข้าใจเรื่องการลงทุนขึ้นอีกมากเลย ผมขอความเห็นอีกเรื่องนะครับ เกี่ยวกับ โบชัวร์ที่แจกตามบ้านของห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ยักษ์ใหญ่ต่างๆ คิดว่าทุกท่านคงเคยเห็นนะครับ ในนั้นจะมีโชว์รูปสินค้าและราคาให้ อยากขอความเห็นจากทุกท่านครับว่าสินค้าที่อยู่ในโบชัวร์นั้น เป็นประเภทที่ขายดีเป็นที่ต้องการของผู้คน ทางห้างเลยเอามาลงไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าหรือว่าเป็นพวกขายไม่ออก ทางห้างเลยต้องการจะโละสต๊อก รบกวนช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะครับ
ขอบคุณครับสำหรับ คำแนะนำเกี่ยวกับหนังสือVIB007 เขียน:ถ้าเกี่ยวกับการหามูลค่าหุ้นก็ต้องAnonymous เขียน:หวัดดีครับ เพิ่งเข้ามาอ่าน ดีมากๆ น่าจะเจอนานแล้ว เห็นมีการพูดกันถึงการหา intrinsic value (ทางบัญชี หรือ การเงิน ??) อยากให้ช่วยแนะนำหนังสือดี ๆ ภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ครับ แบบที่เข้าใจง่าย (ไม่ได้เรียนมาทางบัญชี ) และ ซับซ้อนด้วยครับ ตั้งใจว่าจะศึกษาอย่างจริงจัง
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หน้าใหม่
"การปรับโครงสร้างทางการเงินและการหามูลค่าหุ้น เล่ม2" ของ สนพ FPM Consultant
หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ดครับ
ถ้าหลักการลงทุนแบบคุณค่าก็ต้อง
Value Investing Made Easy และ The New Buffetology ฉบับภาษาไทย
หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ด เช่นเดียวกันครับ
ผมได้ หนังสือ"ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ของ FPM (ที่ SE-ED) กับ Value Investing Made Easy มาแล้ว ... แต่ The New Buffettology (ภาษาอังกฤษ ที่ Asiabooks) ไม่มี มีแต่ The Buffettology (ของ Marry Buffet) ไม่ทราบเป็นเล่มเดียวกันหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ ควรอ่าน Buffettology ก่อน The New Buffettology หรือเปล่าครับ
ผมลองอ่านเรื่อง การกำหนดราคาหุ้นดู (ใน "ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ) ในส่วนของ Terminal value เค้าใช้
Terminal Value (ของปีสุดท้าย ) = FC (1+g) / (WACC-g) x (ส่วนที่ปรับให้เป็น PV)
ผมเข้าใจว่าหลักการหาค่าราคาปีสุดท้ายคล้ายๆกับการใช้วิธี earning power value (ในกระทู้เก่า) ถ้าใช่ส่วนหารน่าจะเป็นสัดส่วน % ผลตอบแทนที่อยากได้ แต่สงสัยว่าทำไมใช้ (WACC - g) อีกอย่างค่า g (growth) ที่ใช้ควรกำหนดจาก ค่าการเติบโต ในอดีดของ earnings มากกว่า retained earnings ไช่เปล่าครับ ในหนังสือพูดคล้ายกับให้ใช้สัดส่วนที่เพิ่มเข้าไปใน retained earning เป็นหลัก
อู้ ... ไม่รู้ตั้งคำถามรู้เรื่องหรือเปล่า มือใหม่ครับ (แต่ไม่เด็กแล้ว แฮ่ แฮ่ ) ขอโทษด้วยที่ถามนอกเรื่องที่คุยกันอยู่ ... ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ