SYNEX

แหล่งรวบรวมข้อมูลของหุ้นต่างๆ All for one, one for all
(ข้อมูลตั้งแต่ก่อตั้งเว็บ จนถึง 30 กันยายน 2555 ห้องนี้อ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถ post ได้)
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
User
กระทู้: 2131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 17, 2005 1:07 pm

Re: ชั่งใจ

โพสต์ โดย sorawut » พุธ ม.ค. 06, 2010 9:59 am

ส.สลึง เขียน:
arwut เขียน:Synex กับ SIS เพื่อนว่าตัวไหนมีความแตกต่างโดดเด่น กว่ากันอะ ผมชั่งๆใจไม่รู้จะถือตัวไหนดี ช่วยกันแนะนำหน่อยนะคับ
ผมว่าเด่นกันคนละด้าน ผมก็เลยถือทั้ง 2 ตัว :) ...
คิดเหมือนกันครับ :cool:  :cool:  :cool:

แต่ผมถือในสัดส่วน SIS 1.5 ต่อ SYNEX 1  :8)  :8)  :8)



ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
User
กระทู้: 2131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 17, 2005 1:07 pm

โพสต์ โดย sorawut » พฤหัสฯ. ม.ค. 07, 2010 11:38 am

ข่าวเค้าแรงจริงๆ ราคาติดลมบนเลย :lol:  :lol:  :lol:



ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
User
กระทู้: 2131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 17, 2005 1:07 pm

โพสต์ โดย sorawut » พฤหัสฯ. ม.ค. 07, 2010 12:03 pm

ที่พี่นริส post ไว้ที่ห้องซี๊ดดดครับ :D  :D  :D
naris เขียน:ผู้ค้าคาดปีเสือ อุตสาหกรรมไอทีจะผงาดขึ้นมามีอัตราการเติบโตเป็นเลข 2 หลักอีกครั้ง หลังจากปี 2552 อัตราการเติบโตลดเหลือไม่เกิน 5%

 ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่ภาครัฐใส่งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่ไตรมาส 4/2552 ขณะเดียวกัน องค์กรขนาดใหญ่ที่ "อั้น" การซื้อมานาน ถึงเวลาต้องลงทุนใหม่

ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเข้ามาจังหวะนี้พอดี ทั้งไมโครซอฟท์ที่ออกวินโดว์ส 7 และชุดออฟฟิศที่กำลังตามมา รวมถึงอินเทล จะมีแพลตฟอร์มใหม่ออกสู่ตลาด นอกจากนั้น เทคโนโลยีจะหลอมรวมเข้าด้วยกันมากขึ้น ทั้งเซิร์ฟเวอร์ เน็ตเวิร์ค และสตอเรจ

เสือผงาดกลับมาโต 2 หลัก
นายวีระ อิงค์ธเนศ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสวีโอเอ กล่าวว่า ปี 2553 ตลาดไอทีไทยมีแนวโน้มจะพลิกการเติบโตขึ้น 15-20% จากยอดปี 2552 ที่ทรงตัว หรือการเติบโตไม่เกิน 5% โดยได้รับอานิสงส์จากไตรมาส 4 ซึ่งมีโครงการภาครัฐเข้าช่วยโดยเฉพาะจากงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง

ในส่วนของบริษัทเอง ก็ตั้งเป้าโตประมาณ 15% ตามอุตสาหกรรม แล้วครึ่งปีผ่านไปอย่างไรค่อยมาปรับอีกที

นายณรงค์ อิงค์ธเนศ ประธานบริหาร บริษัท เดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด ผู้ค้าส่งไอทีขนาดใหญ่รายหนึ่งของไทย กล่าวว่า ปี 2553 อุตสาหกรรมไอทีของไทยจะมีอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2552 ที่อัตราการเติบโตของรายได้มีประมาณ 3-4% แต่จำนวนเครื่องเติบโตประมาณ 10% เพราะราคาเครื่องลดลงมาก

นายณรงค์ จารุวจนะ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมโทรซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมไอทีปี 2553 จะเติบโต 15% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ ที่ภาคการส่งออก-นำเข้าจะเพิ่มขึ้น แม้การเมือง และมาบตาพุด อาจทำให้เกิดการแกว่งตัวบ้าง แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ได้เริ่มปรับตัว และจับทิศทางได้ จากดัชนีชี้วัดทั้งจีดีพี และการส่งออกต่างเริ่มดีขึ้น ถึงเวลาต้องลงทุนขยายเครื่องจักร และระบบไอที

ทั้งนี้ ทุกรายกล่าวตรงกันว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีเติบโตเป็นเลข 2 หลักดังที่กล่าวมา จะขึ้นโดยมีเงื่อนไข ว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะต้องไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นเช่นอดีต

โฉมใหม่อินเทลกระตุ้นกำลังซื้อ
นายวีระ ให้เหตุผลว่า เป็นผลสืบเนื่องจากไตรมาส 1/2553 ที่อินเทลจะประกาศแพลตฟอร์มใหม่ตระกูลคอร์ ไอทั้งหลาย เป็นส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นตลาดไอทีให้กลับมาบูมขึ้น เพราะเป็นการพลิกโฉมใหม่เป็น "เมเจอร์ เชนจ์" คล้ายๆ ช่วงเปลี่ยนซีพียูจาก 386 และ 486 เป็นเพนเทียม ซึ่งงบประมาณใช้จ่ายด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ เชิญชวนคอนซูเมอร์ให้เปลี่ยนมาใช้ซีพียูใหม่ จะต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เพื่อให้คอนซูเมอร์ต้องการใช้ไอทีมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ซอฟต์แวร์วินโดว์ส 7 จากไมโครซอฟท์ ก็จะเป็นตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งให้เกิดความต้องการอัพเกรด หรือซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ เพราะเมื่อเปรียบเทียบแล้วการอัพเกรดกับการซื้อใหม่ค่าใช้จ่ายอาจจะ "พอๆ" กัน ควบคู่ไปกับความเชื่อมั่นการใช้จ่ายมีมากขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตอุตสาหกรรมเพิ่ม

ประธานบริหาร เดอะแวลลูฯ กล่าวว่า เทคโนโลยีจะหลอมรวมเข้าด้วยกันมากขึ้น จากเดิมผู้ผลิตแต่ละรายจะชำนาญสินค้าแต่ละอย่างแตกต่างกันไป แต่ปี 2553 จะเริ่มเห็นสินค้าที่รวมศักยภาพหลากหลายไว้ในหนึ่งเดียว (ออล อิน วัน) เป็นผลจากที่ผู้ผลิตได้ซื้อกิจการข้ามสายกันไป ยกตัวอย่างซิสโก้จะไม่ขายเน็ตเวิร์คกิ้งเพียงอย่างเดียว หากจะเป็นดาต้า เซ็นเตอร์ คอมปานี ที่มีทั้งเน็ตเวิร์คกิ้ง และสตอเรจอยู่ด้วยกัน เอชพีที่ซื้อ 3 คอมไปก็จะมีเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจในตัวเดียวกัน ทั้งเป็นไปได้ที่จะเห็นเซิร์ฟเวอร์ เน็ตเวิร์คกิ้ง และสตอเรจรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์เดียว

ดังนั้น องค์กรใหญ่ที่ต้องใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ ก็สามารถลงทุนผลิตภัณฑ์ที่หลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ทำให้ประหยัดงบการลงทุนได้

จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรม
ผู้บริหารเมโทร กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ในอุตสาหกรรมจะมีข้อจำกัดเรื่องการแข่งขันข้ามตลาด อย่างสมัยก่อนมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สำหรับคอมเมอร์เชียล และโน้ตบุ๊ค สำหรับคอนซูเมอร์ แต่ปัจจุบันคอมเมอร์เชียลก็นำโน้ตบุ๊คมาใช้ แถมทั้งเครื่องตั้งโต๊ะ และโน้ตบุ๊คต่างวางขายทั่วไป ตามห้างสรรพสินค้าโมเดิร์นเทรดต่างก็หาซื้อได้ จากเดิมต้องไปซื้อเฉพาะที่อย่างพันธุ์ทิพย์พลาซา หรือไอทีซิตี้

"เมโทร ก็ได้รับผลกระทบจากโน้ตบุ๊ค พีซี โวลุ่มลดลงมาก จากการหาซื้อได้หลายแหล่ง ยกเว้นคอร์ปอเรทที่ต้องการบริการหลังการขาย แต่ก็ยังโดนคอนซูเมอร์ ไพร้ซคุมอยู่ ขายราคาต่างกันมากไม่ได้ เราขาย 2 หมื่นบาท ที่โลตัสขาย 1.9 หมื่นบาท กำไร 5% เน้นขายโวลุ่ม แต่มาร์จินลดลงแน่ แม้แนวโน้มดี แต่มีอุปสรรคระหว่างทาง" นายณรงค์กล่าว

ขณะที่เจ้าของผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์ ก็เปลี่ยนโมเดลการทำธุรกิจ อย่างไอบีเอ็มที่เคยมีคอร์ปอเรท รีเซลเลอร์ ก็หันไปตั้งดิสทริบิวเตอร์มากขึ้น นำสินค้าขายผ่านช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้น ช่วงปลายปีจึงเปิดตัวบริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ขึ้นทำธุรกิจขายส่งผลิตภัณฑ์ไอบีเอ็มผ่านตัวแทนจำหน่ายประเภทผู้รวบรวมระบบ (เอสไอ : System Integrator) ผู้พัฒนาโปรแกรมอิสระ (ไอเอสวี : Independent Software Vendor) พัฒนาโปรแกรมขึ้นก็มาซื้อเครื่องไป

ส่วนซอฟต์แวร์ เซอร์วิสนั้น ลูกค้าให้การยอมรับมากขึ้น ซึ่งเขาเห็นว่า เริ่มซื้อซอฟต์แวร์ครึ่งหนึ่งของที่องค์กรต้องใช้ก็ยังดี ภาพรวมธุรกิจแม้ไม่ได้เป็นวี เชฟ แต่ค่อยๆ ดีไปเรื่อยๆ

"ซอฟต์แวร์ จะต้องมีเซอร์วิสตามมา ส่วนต่างกำไรของซอฟต์แวร์ ถ้าไม่นับไมโครซอฟท์จะเฉลี่ย 20-25% หากไมโครซอฟท์จะขายเป็นจำนวนมากกว่า เป็นสัดส่วน 80% อื่นๆ 20% รายได้ซอฟต์แวร์และเซอร์วิสของบริษัทมีประมาณ 35% ที่เหลือเป็นฮาร์ดแวร์ 30% ซัพพลาย 25%" นายณรงค์กล่าว

ทุกบริษัทตั้งเป้าเติบโตพุ่ง
รองกรรมการผู้จัดการเมโทร กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าจะเติบโต 10% ที่ต้องโตเพราะค่าใช้จ่ายกดไม่ไหวแล้ว ส่วนโบนัสคงต้องจ่ายตามปกติ และการขึ้นเงินเดือนจะดูตามภาวะ ซึ่งค่าครองชีพก็ขึ้น จึงควรขึ้นเงินเดือน ตอบแทนแก่พนักงานซึ่งทำงานหนักมาทั้งปี

บริษัทได้ปรับตัวรับปี 2553 นอกจากตั้งเมโทร คอนเนคแล้ว ยังนำบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคนิคเครื่องใหญ่ไอบีเอ็ม เอเอส/400 และพี ซีรีส์ ซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ มาเป็นเทคนิคอล เซลส์ เพื่อให้พนักงานใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทจะใกล้ชิดเจ้าของสินค้า ทำให้ทราบทิศทางดำเนินงาน

ขณะที่ประธานบริหาร เดอะแวลลูฯ กล่าวว่า บริษัทวางแผนปี 2553 จะเติบโต 30% โดยเชื่อว่าเป็นปีทองอีกปีของวงการไอที ซึ่งบริษัทเตรียมตัวเสริมสินค้ามากขึ้น มีทั้งเอเซอร์ พีซี และโน้ตบุ๊ค ซัมซุง มีพรินเตอร์ และโปรเจคเตอร์ รวมทั้งจัดหาสินค้าที่เพิ่มกำไรมากขึ้นมาจัดจำหน่าย โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ต่อพ่วง และอุปกรณ์เสริมของโน้ตบุ๊ค เน็ตบุ๊ค

เขายังมองด้วยว่า เทคโนโลยีที่จะเติบโตปี 2553 ได้แก่ สมาร์ทโฟน เน็ตบุ๊คก็จะขยายตัวเป็นไคลอันท์ เบส ขณะที่ ตลาดที่จะเติบโต คือ ราชการ จากงบไทยเข้มแข็ง องค์กรที่ต้องลงทุน 3 จี องค์กรขนาดใหญ่ และเอสเอ็มอีบางกลุ่ม ได้แก่ ยานยนต์ ค้าปลีก ท่องเที่ยว ส่วนโครงการมาบตาพุด บริษัทที่จะลงทุนก็ต้องปรับตัวให้ทันต่อความปลอดภัยมากขึ้น



ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
User
กระทู้: 2131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 17, 2005 1:07 pm

โพสต์ โดย sorawut » พุธ ม.ค. 13, 2010 11:05 pm

ส.สลึง เขียน:1.88 to 4.33 .............................. หรือป่าว :shock: ?
สาธุ...  :rofl:  :rofl:  :rofl:



ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
User
กระทู้: 2131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 17, 2005 1:07 pm

Re: SYNEX

โพสต์ โดย sorawut » พฤหัสฯ. พ.ค. 12, 2011 12:07 am

ส.สลึง เขียน:
naris เขียน:
harikung เขียน:งบSISออกแล้วนะครับ กำไรโตขึ้นเบาๆ 30%เอง :shock:

หวังว่าSYNEXคงทำได้ดีไม่แพ้กันนะครับ
ยกแรก synexชนะครับ :D ถ้าsisเอาสำรองกันไว้15ล้านมารวมยังแพ้synexเลย คู่แข่งทำได้ดีจริงๆ
หวังว่าธุรกิจนี้ยังจะโตไปด้วยกันได้อีกสักสามสี่ปีนะครับ :D
ชอบทั้งคู่ เลยซื้อมาทั้งแพ็คเลยเลย :B ...
ช่ายเลยครับ เทครัวเลย :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:



ภาพประจำตัวสมาชิก
คนขายของ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 698
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 9:48 am

Re: SYNEX

โพสต์ โดย คนขายของ » พุธ ต.ค. 05, 2011 12:09 am

ความเสี่ยงเรื่องเพิ่มทุนคงมีอยู่เสมอครับ เราคงไม่สามารถทราบได้ว่าเมื่อไหร่ อย่างไร ไม่ว่าค้าส่ง หรือ ค้าปลีก ในช่วงแรกต้องการเงินเพิ่มทั้งนั้น แต่พอสร้างธุรกิจถึงจุดหนึ่ง

ธุรกิจพวกนี้ก็สามารถขึ้นไปลอยลมได้ ทั้งนี้คงต้องอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้บริหารเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของธุรกิจค้าส่ง ไม่จำเป็นต้องทำหน้าร้านสวยงาม หรือ ใหญ่โตเช่นค้าปลีก ทำให้ไม่ต้อง สร้าง Operating Cash Flow จำนวนมากเพื่อเอาเงินมาสร้าง Stores

หรือพูดอีกอย่างก็คือ สำหรับธุรกิจค้าส่ง Investing Cash Flow เป็นส่วนหนึ่งของ Operating Cash Flow ไปแล้ว เพราะว่าที่ต้องลงทุนหนักๆ ก็คือการแบก Stock

หัวใจสำคัญคือการบริหาร credit control คือหนี้สูญต้องต่ำ ไม่งั้นเจ๊ง ธุรกิจยากๆนี่ก็ดีไปอย่าง เพราะคนจะเข้ามาใหม่นั้น ไม่ง่าย ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวจะเข้ามาได้

ความเสี่ยงอีกอย่างคือว่าบริษัทจะสามารถสร้างอำนาจต่อรองกับ suppliers กับ ลูกค้าของเขาได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเพิ่ม Net Profit ได้

เช่นการเพิ่มของ NPM แค่ 0.5% สามารถทำให้กำไรโตได้ 25% เพราะ margin บางมากๆ ถ้าผู้บริหารเน้นทั้ง รายได้โต และ เพิ่ม margin บริษัทคงโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป

อดทนไว้ กำไรยั่งยืน


ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
User
กระทู้: 2131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 17, 2005 1:07 pm

Re: SYNEX

โพสต์ โดย sorawut » พุธ ต.ค. 12, 2011 12:32 am

จะได้มีเวลาให้เก็บกันนานๆ ไม่ดีหรอครับ :D :D :D



ภาพประจำตัวสมาชิก
sorawut
User
กระทู้: 2131
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 17, 2005 1:07 pm

Re: SYNEX

โพสต์ โดย sorawut » พฤหัสฯ. ต.ค. 13, 2011 11:53 am

เห็นด้วยกับคุณ Kritkarun ครับ

แต่ก็เป็น one time loss ครับ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพื้นฐานกิจการแต่อย่างใด :wink: :wink: :wink:

ยกเว้นน้ำท่วมแบบนี้ทุกปีโดยไม่มีใครคิดแก้ไข :wall: :wall: :wall:



ภาพประจำตัวสมาชิก
คนขายของ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 698
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 9:48 am

Re: SYNEX

โพสต์ โดย คนขายของ » อังคาร พ.ย. 29, 2011 9:16 pm

Credit: BLOOMBERG

http://www.bloomberg.com/news/2011-11-2 ... oding.html

Seagate Gains After Company Withstands Floods, Beats Estimates
By Aaron Ricadela - Nov 29, 2011 10:12 AM GMT+0700

Seagate Technology Plc (STX) jumped 11 percent in late trading after the company forecast higher sales than analysts had estimated, saying it withstood flooding in Thailand better than much of the disk-drive industry.

Seagate, the world’s largest maker of computer drives, will ship 43 million units in the December quarter, generating about $2.8 billion in revenue, according to a statement yesterday. Analysts had projected sales of $2.64 billion, based on data compiled by Bloomberg.

While the Thai floods will crimp supplies of components, Seagate’s own factories in the country haven’t been affected by the disaster, the company said. Two of Seagate’s biggest competitors, Western Digital Corp. (WDC) and Toshiba Corp. (6502), have major plants in the flood zone. In an interview this month, Seagate Chief Executive Officer Steve Luczo said he could raise prices 40 percent; instead, he’s offering increases of 20 percent to customers that commit to one- to three-year contracts.

To read the full article, please follow the link...

อดทนไว้ กำไรยั่งยืน


ตอบกลับโพส